บทที่ 615 ขอแต่งงาน
หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนกลับมา พวกเขาตรงไปยังเรือนพักผ่อนของบิดามารดาทันที เมื่อเห็นเว่ยฉิง ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายอย่างมีความสุข
“ท่านพ่อ”
เด็กหนุ่มทั้งสองยังไม่ถอดเสื้อคลุมขุนนางกันเลยด้วยซ้ำ
ทั้งสองคนมีรูปร่างสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าหล่อเหลาและสง่างาม ตอนนี้ทั้งคู่ทำงานอยู่ในสำนักฮั่นหลินมาเกือบปีแล้ว แม้จะมีพัฒนาการเพิ่มมากขึ้น ดูสุขุมและภูมิฐานมากเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดามารดา ทั้งสองยังเป็นเพียงเด็กน้อยของเขาเท่านั้น
เว่ยฉิงอ้าแขนรอพวกเขา เมื่อบุตรชายทั้งคู่เดินมาเขาก็โอบรั้งร่างเด็กหนุ่มเข้าไปกอด เว่ยฉิงเป็นคนตัวสูงใหญ่ จนทำให้พวกเขาอยู่ในอ้อมกอดของบิดาได้ เขากระชับกอดบุตรชายไว้สักพัก จากนั้นจึงได้ปล่อยออก ถามไถ่เรื่องราวของพวกเขาในสำนักฮั่นหลิน เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยตอบคำถามของเว่ยฉิง เกี่ยวกับสหายร่วมงานของพวกเขา และหนังสือที่พวกเขากำลังเขียนขึ้นมา
เว่ยฉิงตั้งใจฟัง เมื่อทั้งสองคนพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนร่วมงาน เว่ยฉิงโต้ตอบให้ความเห็นไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อพูดถึงหนังสือที่เริ่มเขียน เขาได้แต่พยักหน้ารับฟังด้วยความชื่นชมในตัวบุตรชายเท่านั้น
สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งมีความสุขมากที่ได้รับการยอมรับจากบิดา ตอนนี้เด็กทั้งสองพูดจาเป็นทางการมากขึ้นจนเว่ยฉิงอดไม่ได้ที่จะไต่ถามไปสองสามคำ เขามีสีหน้าครุ่นคิด จนกระทั่งถังหลี่ก็เดินเข้ามาในห้อง
“เอาล่ะ เลิกคุยกันได้แล้ว พวกเจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วมากินอาหารเย็นกันเถอะ”
เด็กหนุ่มทั้งสองไม่รบกวนบิดาของตัวเองต่อไป เขากลับไปยังห้องของตัวเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ในขณะที่เว่ยจื่ออี้พาซานเป่าไปยังห้องกินอาหาร ตอนนี้ในลานบ้านมีเพียงถังหลี่และเว่ยฉิงเท่านั้น ถังหลี่สะกิดสามี
“ท่านไม่เข้าใจที่พวกเขาพูดใช่หรือไม่?” เว่ยฉิงปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับลูกหนังที่ถูกสูบลมออก
เขามองภรรยาด้วยท่าทางที่น่าสมเพช
“ใช่ ข้าเกือบจะรักษาภาพลักษณ์ของบิดาที่น่าเคารพเอาไว้ไม่ได้แล้ว ในหัวใจของพวกเขานับถือข้ามาก ข้าต้องทำเป็นเข้าใจทุกอย่างทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจเลยสักประโยคเดียว” ถังหลี่ได้ฟังก็นึกขำ
ในสายตาของลูกๆ บิดาของพวกเขาจะเป็นบุรุษผู้ทรงอำนาจ เก่งกาจและเชื่อถือได้ มีเพียงต่อหน้านางเท่านั้นที่สามีจะแสดงท่าทีโง่เขลาเปิดเผยออกมาให้เห็นบางครั้ง
“ฮูหยิน เจ้าช่วยข้าไว้” เว่ยฉิงพูด เขาโน้มตัวไปกอดนางพร้อมกับใช้ศีรษะถูไถที่หัวไหล่ของถังหลี่ หญิงสาวลูบหัวของเขาเพื่อปลอบโยน
“ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าโง่เขลาหรอกนะ แต่ลูกๆ มีพรสวรรค์มากเกินไปต่างหาก..เอาล่ะ ไปกินมื้อเย็นกันเถอะ” ถังหลี่จับมือเว่ยฉิงเดินไปที่ห้องอาหาร
ฮูหยินอู่ นายผู้เฒ่าอู่ก็อยู่ที่โต๊ะอาหารเช่นกัน ทั้งครอบครัวได้รับประทานอาหารร่วมกันอีกครั้ง เมื่อเว่ยฉิงกลับมาพวกเขามีความสุขมากขึ้น
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ทั้งครอบครัวไม่ได้แยกย้ายไปไหนแต่นั่งคุยกันสักพักที่โต๊ะอาหารตัวเดิม เย็นนี้ฮูหยินกู้ก็ได้มาที่จวนอู่โหวด้วยเช่นกัน บุตรเขยของนางเป็นคนดี ถังหลี่รักเขาสุดหัวใจ นางจึงอดเป็นห่วงเว่ยฉิงไปด้วยไม่ได้ เมื่อเห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัย ฮูหยินกู้จึงพลอยโล่งใจไปด้วย
เมื่อท้องฟ้ามืดลง
เว่ยฉิงและถังหลี่นอนคุยกันอยู่บนเตียง พวกเขามีเรื่องราวให้พูดคุยไม่จบสิ้น เหตุการณ์ที่เว่ยฉิงไปเป็นราชทูตในต้าฉีครั้งนี้ เว่ยฉิงเล่าถึงอัครเสนาบดีต้าฉีที่ชื่อเซี่ยซิ่วส่งมือสังหารมาล้อมตั้งใจจะฆ่าพวกเขา กู้หวนจิ่นได้เข้ามาปกป้องขวางวิถีดาบไว้ให้ โชคดีที่องครักษ์ขององค์หญิงอันหยางตามมาช่วยไว้ได้ทันเวลา
“อาการบาดเจ็บของหวนจิ่นเกิดจากข้า ตอนที่ข้าเห็นบาดแผลของเขา ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” เว่ยฉิงพูดด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
ถังหลี่รู้สึกหวาดกลัวมากเมื่อได้ยิน โชคดีที่สามีและพี่ชายของนางไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เมื่อเว่ยฉิงสังเกตเห็นถึงความกังวลของนาง เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เขาเล่าเรื่องที่องค์หญิงอันหยางคิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น นางจึงเข้าใจว่าพวกเขาทั้งสองคนมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันถึงได้มอบหยกประดับรูปปลาคู่ให้แก่พวกเขา
ถังหลี่ได้ฟังอดยอมรับในความเฉลียวฉลาดของพี่สามของตนไม่ได้ มีแต่พี่สามของนางเท่านั้น ที่จะคิดวิธีพิสดารเช่นนี้ขึ้นมาได้
องค์หญิงอันหยางนิสัยดีและเฉลียวฉลาดมาก หาได้ไม่ง่ายเลย..
องค์หญิงอันหยาง…
ถังหลี่นึกถึงโครงเรื่องของนวนิยายต้นฉบับที่มีกู้อิ๋นและจ้าวชูเป็นตัวเอก เนื้อหาส่วนใหญ่จึงเกี่ยวกับแคว้นต้าโจว ไม่ได้เน้นพูดถึงต้าฉีมากนัก ต่อมาเมื่อจ้าวชูขึ้นครองบัลลังก์ เขาต้องการจะครอบครองใต้หล้าจึงได้โจมตีต้าฉี เพราะเขาเป็นพระเอกของนวนิยายเรื่องนี้ จึงทำให้ต้าโจวโจมตีต้าฉีได้สำเร็จ ส่วนองค์หญิงอันหยางเสียสละชีวิตเพื่อแคว้นของตน…
องค์หญิงอันหยางมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มาก ไม่เพียงเพราะนางได้พลีชีพเพื่อแคว้นของตนเท่านั้น แต่ยังเพราะพระปรีชาสามารถขององค์หญิงในหลายด้าน เช่น การแก้ปัญหาความขัดแย้งในราชวงศ์ การวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อการปกครองแคว้น และอีกมากมายหลายอย่าง ทำให้ชนรุ่นหลังเคารพนางมาก
หากมีโอกาสถังหลี่ก็อยากจะพบสตรีผู้นี้สักครั้งจริงๆ
สามีภรรยาคุยกันจนค่อนคืนก่อนจะผล็อยหลับไป
เช้าวันต่อมา เว่ยฉิงลุกขึ้นจากเตียงพร้อมเปลี่ยนเป็นชุดทางการของเขาแล้วเข้าวังหลวงไปพร้อมกับกู้หวนจิ่นเพื่อทูลรายงานเรื่องราวแก่ฮ่องเต้เกี่ยวกับภารกิจ ทว่ากู้หวนจิ่นรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“น้องเขย เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะให้ข้าแต่งงานกับอาจื่อหรือไม่?”
“เมื่อคืนข้าฝันว่าพระองค์ปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน ทำให้ข้าเสียใจมาก”
กู้หวนจิ่นกระวนกระวาย เขาพูดพล่ามมาตลอดทาง กู้หวนจิ่นพูดไม่หยุดปาก จนกระทั่งพวกเขามาถึงที่หน้าห้องโถงใหญ่ กู้หวนจิ่นยืดหลังตรงท่าทีเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ดูสงบและน่าเชื่อถือ
“คุณชายกู้ ใต้เท้าอู่ เชิญขอรับ ฝ่าบาทกำลังรอพวกท่านด้านใน” ขันทีกล่าว
ทั้งสองคนเดินเข้าไป พวกเขารีบคารวะฮ่องเต้โจวทันที
“ตามสบายเถอะ” ฮ่องเต้โจวตรัสด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“พวกเจ้าทำงานอย่างหนักมากในแคว้นต้าฉี”
“กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แบ่งเบาภาระและความกังวลพระทัยของฝ่าบาทพะย่ะค่ะ” กู้หวนจิ่นกล่าว
เขาเริ่มทูลรายงานถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ฮ่องเต้โจวทรงสนพระทัยในการถวายรายงานของเขาเป็นอย่างมาก จากข้อมูลที่ได้รับรวมถึงความเฉลียวฉลาดของฮ่องเต้น้อยแห่งต้าฉี ฮ่องเต้โจวรู้สึกไม่ค่อยสบายพระทัย ไม่ใช่เกี่ยวกับฮ่องเต้น้อยผู้นั้น แต่กลับเป็นพระโอรสของพระองค์เอง..
แต่เดิมเขาคิดว่าลูกสามของตนเป็นคนอ่อนโยน ถ่อมตน สุภาพและกล้าหาญ แต่ผ่านมาสองปี เขารู้สึกว่าบุตรชายผู้นี้ยังไม่ดีพอ ในขณะที่ลูกหก… ลูกหกของเขายังเด็กเกินกว่าจะรับผิดชอบบริหารบ้านเมืองได้
ฮ่องเต้น้อยผู้นี้มีอายุเท่ากับลูกหกของเขา แต่ความแตกต่างของสองคนช่างมีมากมายนัก…
ฮ่องเต้โจวทรงตระหนักดีว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทมีความสำคัญมากเพียงใด หากองค์รัชทายาทไร้ความสามารถ เขาจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นมาจนหมด
บทเรียนนองเลือดหาอ่านได้มากมายในหน้าประวัติศาสตร์…ฮ่องเต้โจวทรงกังวลพระทัย หวั่นเกรงว่าผู้สืบทอดบัลลังก์จะไม่ดีพอ ทุกวันนี้เขาเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ หากในวันนั้นเขาไม่สังหารทั้งตระกูล..องค์รัชทายาทคงจะไม่…
ฮ่องเต้โจวถอนพระปัสสาสะออกมา เรื่องนี้จบสิ้นไปนานแล้วไม่ควรนำมาคิดให้เสียใจอีก
หลังจากที่กู้หวนจิ่นทูลถวายรายงานเสร็จเขามองพระพักตร์ของฮ่องเต้โจว เห็นว่าพระองค์ยังเพิกเฉยไม่ตรัสถึงเรื่องการแต่งงานของเขา กู้หวนจิ่นจึงริเริ่มเอ่ยขึ้นมา
“ฝ่าบาท… ก่อนที่กระหม่อมจะออกเดินทาง พระองค์ตรัสถึงเรื่องการอภิเษก..”
“ใช่ ข้าให้สัญญากับเจ้า ว่าตราบใดที่เจ้าเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ฉีไม่ให้เป็นพันธมิตรกับต้าฉู่ได้ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าแต่งงานกับอาจื่อ แต่เรื่องในครั้งนี้จบลงเพราะการสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันของฮ่องเต้ฉู่ ไม่ใช่ผลงานของเจ้าเลย”
หัวใจของกู้หวนจิ่นสลดเฉาลงทันที
นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ครั้งนี้โชคได้เข้าข้างพวกเขา จริงอยู่ที่ความร่วมมือของทั้งสองแคว้นพังทลายลง แต่นั่นไม่ใช่ฝีมือของเขาอย่างแท้จริง
ราชทูตแห่งแคว้นต้าโจวเดินทางไปต้าฉี ทำให้ต้าโจวสั่นคลอน หลายคนไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ ทว่าการลอบสังหารจนสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันของฮ่องเต้ต้าฉู่ผู้นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริงหรือ?
นั่นขึ้นอยู่กับสายพระเนตรของพระองค์…
หากฮ่องเต้โจวทรงพระราชทานอภิเษกในครั้งนี้ให้ เท่ากับฮ่องเต้โจวทรงยอมรับว่าผลงานในครั้งนี้เป็นเพราะการเจรจาของเขา หากไม่ต้องการพระราชทานองค์หญิงจิ้งชูให้กับเขา พระองค์ย่อมตรัสอ้างได้ว่าเป็นเพราะสวรรค์ลิขิตมาเช่นนั้น ครั้งนี้ฮ่องเต้โจวคงไม่มีพระประสงค์ที่จะให้เกิดการแต่งงานระหว่างเขากับองค์หญิงจิ้งชู
อย่างไรก็ตามกู้หวนจิ่นยังไม่ยอมแพ้ เขาอยากแต่งงานกับอาจื่อ ให้นางเป็นภรรยาของเขา อยากใช้ชีวิตเหมือนคู่รักธรรมดาทั่วไป ได้กิน ได้นอนและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่แค่แต่งงานไปตามพิธีเท่านั้น เขาไม่อยากเห็นนางต้องตกไปเป็นของชายอื่นที่ไม่ใช่เขา ….
“ฝ่าบาท กระหม่อมรักองค์หญิงจิ้งชูจากใจจริง ได้โปรดเมตตาพระหม่อมด้วยเถิดพะย่ะค่ะ” กู้หวนจิ่นเอ่ยทูลอย่างไม่อ้อมค้อม ฮ่องเต้โจวตรัสว่า
“จิ้งชูเป็นธิดาที่ข้ารักและทะนุถนอม เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากในชีวิตของนาง ข้าต้องการบุรุษที่ดีพร้อมมาเป็นพระสวามีให้กับนาง….”
ในขณะนั้นเอง ขันทีเต๋อชุนเดินเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ ราวกับต้องการทูลถวายรายงาน ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรไปที่เต๋อชุน
“มีอะไร?”
“ฝ่าบาท องค์หญิงจิ้งชูขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“อะไรกัน..เหตุใดถึงมาเวลานี้ นางไม่รู้หรือว่าข้ากำลังหารืออยู่” ฮ่องเต้โจวตรัส แต่พระพักตร์ของพระองค์ไม่ฉายแววโกรธเลย
“หม่อมฉันบอกองค์หญิงแล้วพะย่ะค่ะ..แต่องค์หญิงรับสั่งว่าหากไม่ให้เข้าเฝ้าจะอดพระกระยาหารประท้วงพะย่ะค่ะ..” ฮ่องเต้โจวปวดพระเศียร เขาครุ่นคิดก่อนตัดสินพระทัย
“ให้นางเข้ามา”
องค์หญิงจิ้งชูเสด็จเข้ามาในห้องโถง นางสบตากับกู้หวนจิ่น เห็นความสงสัยในดวงตาของเขา เหมือนกับจะถามว่าเหตุใดนางถึงมาที่นี่? แต่หญิงสาวกลับคลี่ยิ้มให้
กู้หวนจิ่นพยายามมามากแล้วในขณะที่นางได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ เท่านั้น คนรักกันจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน… องค์หญิงจิ้งชูส่งสายตาไปที่พระบิดา
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันต้องการแต่งงานกับกู้หวนจิ่นเพคะ” ฮ่องเต้โจวพระโอษฐ์กระตุก
“เจ้าเป็นสตรีควรสงวนท่าทีให้มาก จะพูดโพล่งออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“เสด็จพ่อ ท่านไม่ได้ตรัสหรือว่าจะทรงมอบทุกอย่างที่หม่อมฉันโปรดปรานให้ ในเมื่อหม่อมฉันชอบกู้หวนจิ่นอยากแต่งงานครองรักไปจนแก่เฒ่ากับเขา เหตุใดหม่อมฉันจะเอ่ยทูลขอไม่ได้เพคะ?” นางเชิดพระหนุขึ้น ท่วงท่ากล้าหาญไม่สะทกสะท้าน
“หากหม่อมฉันไม่ได้แต่งงานกับเขาหม่อมฉันจะไม่แต่งงานกับผู้ใด จะอยู่ไปเช่นนี้จนแก่เฒ่าเข้าโลง!”
วาจาขององค์หญิงจิ้งชูดังก้อง สายพระเนตรแน่วแน่จ้องไปที่ฮ่องเต้โจว