ตอนที่ 635 แผนของเว่ยฉิง
ชะตากรรมของเหยียนโจวนั้นถึงแก่ชีวิต ทว่าหลังจากถูกระเบิดเขากลับยังไม่ตาย และถูกนำตัวไปรักษาในขณะที่ยังมีลมหายใจ แต่การยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร เหยียนโจวละเมิดกฎบรรพบุรุษของสกุลเหยียน เขาต้องถูกลงโทษตามกฎของตระกูล ซึ่งการลงโทษไม่เบานัก หากเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้ แต่ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของเขา
จ้าวชูเชิญเหยียนเสี่ยวต้วน และคุณชายสี่สกุลเหยียนไปยังห้องโถงรับรอง ฮ่องเต้โจวก็เสด็จไปด้วยเช่นกัน เขายังไม่เปิดเผยตัวตนของเขา แต่ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดจากเรื่องการระเบิดของปืนใหญ่ทำให้ฮ่องเต้โจวและจ้าวชูไม่อาจจะเสแสร้งได้อีกต่อไป เหยียนโจวคนทรยศผู้นี้ไม่มีทักษะอะไรเลย เขาไม่มีค่าที่จะต้องรักษาเอาไว้ สู้มอบให้สกุลเหยียนไปเสียยังจะดีกว่าเพื่อไม่ต้องมีการขุ่นข้องหมองใจกัน
จ้าวชูมองเหยียนเสี่ยวต้วนด้วยท่าทางจริงใจ
“เป็นข้าเองที่ดูคนไม่ดีและไม่รู้จักผู้คนเอง”
“ท่านโง่หรือ?” เหยียนเสี่ยวต้วนพูดอย่างไม่เกรงใจ
จ้าวชู “…” เขาหายใจเข้าลึกๆ “ข้าเองก็โดนคนทรยศแซ่เหยียนผู้นั้นหลอกเอาเช่นกัน”
“ท่านอ๋องมีสมญานามว่า ‘รุ่ย’ ข้าคิดว่าท่านจะฉลาดมากเสียอีก ท่านถูกผู้อื่นหลอกได้ง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” ว่าแล้วเหยียนเสี่ยวต้วนแสดงท่าทีตกใจ เขาจำได้ว่าจ้าวชูผู้นี้เป็นศัตรูของเหล่าถัง พอเขาได้มีโอกาสที่จะแก้แค้นแทนเหล่าถัง เขาจึงย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดไปง่ายๆ
สีหน้าของจ้าวชูน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น เสด็จพ่ออยู่ที่นี่ นายน้อยเหยียนผู้นี้ไม่ไว้หน้าเขาเลย คำพูดของคนผู้นี้มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ความประทับใจของเสด็จพ่อที่มีต่อเขาก็ยิ่งแย่ลง ต่อให้เขาไม่พอใจคนนับหมื่น เขาก็ต้องอดทน อดกลั้นเอาไว้ เขาฝืนยิ้มออกมา
“เป็นความผิดของข้าเอง นายน้อยเหยียนและคุณชายสี่ได้โปรดพำนักอยู่ในเมืองหลวงต่ออีกสักพักให้โอกาสข้าได้แก้ไขเถอะ”
“พวกเรามาที่นี่เพื่อจัดการกับคนทรยศ ตอนนี้จับคนทรยศได้แล้ว พวกเราจะต้องรีบกลับบ้านสกุลเหยียน ท่านอ๋องต้องการกักขังพวกข้าไว้ยังเมืองหลวงเพื่อต้องการให้ข้าและคุณชายสี่โดนท่านประมุขตำหนิหรือ?” เหยียนเสี่ยวต้วนพูดโพล่งขึ้น
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น หากเรื่องนี้ทำให้พวกท่านได้รับคำตำหนิจากท่านประมุขเหยียน ความผิดของข้าย่อมร้ายแรงมากขึ้น” จ้าวชูพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ ในที่สุดการสนทนาของเหยียนเสี่ยต้วนและจ้าวชูก็จบลงอย่างไม่สวยงาม หลังจากที่ทั้งคู่ได้จากไปแล้ว ฮ่องเต้ก็จะเสด็จกลับทันที
“เสด็จพ่อ..” จ้าวชูร้องเรียก “ข้าจะไปเข้าเฝ้า..” ฮ่องเต้โจวโบกพระหัตถ์ไม่รับฟังคำพูดของเขา และรีบจากไปโดยไม่ลังเล
ทันทีที่พระบิดาเสด็จจากไปแล้ว จ้าวชูทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง เสด็จพ่อไม่ได้เบือนพระพักตร์หันกลับมา เขาจินตนาการได้ถึงความผิดหวังในสายพระเนตรของพระองค์ ครั้งนี้เขาทำให้เสด็จพ่อผิดหวังมาก
เทพเซียนผู้ชั่วร้ายหาคนทรยศแซ่เหยียนมาให้เขาได้อย่างไร?! เขาไม่ได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้ แต่เสด็จพ่อของเขาก็ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก! จ้าวชูลุกขึ้นเตะเก้าอี้อย่างรุนแรง….
…….
เหยียนเสี่ยวต้วนกำลังจะออกจากเมืองหลวง เขาจึงไปกล่าวลาถังหลี่ ณ จวนอู่โหว
“เหล่าถัง ท่านไม่เห็นเหตุการณ์ ข้าหัวเราะแทบตาย ตอนที่เหยียนโจวยิงปืนอย่างมั่นใจแล้วจบลงที่ปืนระเบิดใส่ตนเอง ฮ่าๆๆ”
“ปัง! เขาบินออกไปไกลแล้วตกลงมาที่พื้น” เหยียนเสี่ยวต้วนใช้มือใช้เท้าประกอบการเล่า เขาสูญเสียความเคร่งขรึมที่เคยแสดงต่อหน้าจ้าวชูอย่างสิ้นเชิง ยามอยู่ต่อหน้าถังหลี่ เขายังคงเป็นแค่เด็กหนุ่มรักสนุกผู้หนึ่งเท่านั้น แม้ถังหลี่จะเคยได้ฟังมาบ้างแล้ว หากแต่เมื่อฟังลีลาการเล่าของเหยียนเสี่ยวต้วนแล้วก็ยังอดสนใจฟังอีกครั้งไม่ได้
เหยียนโจวสมควรได้รับในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปแล้ว! เขาเป็นคนทรยศต่อสกุลเหยียน เขาไม่รู้วิธีสร้างอาวุธปืน แต่ในนิยายดั้งเดิม เขาถูกจ้าวชูนำมาใช้ให้สร้างปืนใหญ่จากนั้นก็เพลิดเพลินไปกับชื่อเสียงและความมั่งคั่งอย่างไม่รู้จบ จนในที่สุดก็ช่วยให้จ้าวชูรวบรวมแคว้นทั้งสามจนเป็นปึกแผ่น ส่งผลให้ชื่อของจ้าวชูได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
ถังหลี่ถอนหายใจ เส้นเรื่องเดิมของลิขิตสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย นางคิดเอาเองว่าเทียนเต๋าของจูชุนเจียวจะหายไป และนางจะไม่ได้เป็นบุตรแห่งโชคชะตาอีกแล้ว ดังนั้นโครงเรื่องในนิยายตามเดิมไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก แต่กระนั้นจ้าวชูก็ยังได้พบกับเหยียนโจว โชคดีที่หมอซูได้ช่วยรักษาชีวิตของท่านประมุขเหยียนเอาไว้ได้ จากนั้นชะตาชีวิตของเขาจึงได้เปลี่ยนไป
หากเป็นไปตามที่ถังหลี่ได้คาดเดา เทียนเต๋าของจูชุนเจียวคงยังไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…จูชุนเจียวเป็นนางเอกของนวนิยายเรื่องนี้ มีจ้าวชูเป็นพระเอก และด้วยความที่เป็นนวนิยายเชิดชูหญิงแกร่ง เมื่อจูชุนเจียวผู้เป็นบุตรแห่งโชคชะตาถูกทอดทิ้ง โชคลาภทั้งหลายจึงได้ไหลไปสู่จ้าวชูแทน?
แต่ไม่ว่าเทียนเต๋าผู้นี้จะเลือกใครก็ตามที่ หากยังมีถังหลี่อยู่ นางจะคอยขัดขวางไม่ให้เขาทำได้สำเร็จ ถังหลี่ต้องจับตาดูเอาไว้ให้ดี !
“เหล่าถัง…ข้าต้องไปแล้วนะ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบท่านอีกเมื่อไหร่ ข้าคงคิดถึงท่านมากจริงๆ” เหยียนเสี่ยวต้วนอาลัยอาวรณ์ ถังหลี่เองก็อดเศร้าใจไม่ได้เช่นกัน นางซื้อเหยียนเสี่ยวต้วนมาเป็นบ่าวรับใช้ตั้งแต่เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แม้ว่าเขาจะกินเก่งเป็นที่สุด หากถังหลี่ก็ยังตามใจเขา…ตอนนี้เหยียนเสี่ยวต้วนกำลังจะเข้ารับภาระของสกุลเหยียน เขาไม่อาจจะใช้ชีวิตอย่างอิสระได้เช่นเมื่อก่อน หลังจากเขาจากไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้พบกันอีก
ถังหลี่ตบหัวเขาเบาๆ “การได้พบปะกันอีกย่อมเป็นไปได้เสมอ หากโชคชะตาได้กำหนดไว้ พวกเราจะได้พบกันอีกเป็นแน่”
เหยียนเสี่ยวต้วนได้ฟัง เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างทรนง “เหล่าถัง ครั้งหน้าหากพวกเราได้พบกันอีก ข้าจะไม่ใช่เหยียนเสี่ยวต้วนอย่างเช่นที่ท่านเห็น ข้าจะต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากๆ อย่างแน่นอน” ถังหลี่ยิ้ม
“ข้าจะรอดูวันนั้น”
ถังหลี่จ้องมองเหยียนเสี่ยวต้วนด้วยสายตาอ่อนโยนและมีเสน่ห์ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาจะต้องทำงานให้หนักมากขึ้น จะได้เป็นประมุขที่โดดเด่นของสกุลเหยียนเพื่อจะได้เป็นความภาคภูมิใจของเหล่าถัง หากวันใดที่เหล่าถังต้องการความช่วยเหลือ เขาจะคอยสนับสนุนช่วยเหลือนางได้มากกว่านี้! เหยียนเสี่ยวต้วนเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
เขาอยู่จนเย็นเพื่อรอที่จะพบและกล่าวคำอำลาแก่เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย
ถังหลี่และเว่ยฉิงยืนอยู่ที่หน้าประตูจวนอู่โหว เฝ้ามองเขาจากไป ศีรษะของถังหลี่วางซบที่หน้าอกของเว่ยฉิง ในขณะที่เขากอดนางเอาไว้ เว่ยฉิงรู้ว่านางทำใจลำบาก ที่จะแยกจากเหยียนเสี่ยวต้วน เขาปลอบโยนนางเงียบๆ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสองคนติดตามไปเพื่อที่จะส่งเหยียนเสี่ยวต้วน เดินทางไกล
“พี่เสี่ยวต้วน พี่ต้องเขียนจดหมายมาหาพวกเราบ่อยๆ นะ” เว่ยจื่ออั๋งพูดขึ้น
“ฮึ่ม! ข้าจะเขียนถึงเด็กผู้ชายตัวเหม็นเช่นพวกเจ้าไปเพื่อเหตุใดกัน! ” เหยียนเสี่ยวต้วนตอบด้วยท่าทางรังเกียจ
เว่ยจื่ออั๋งยิ้มอย่างอ่อนโยน “เพราะข้าคิดถึงพี่”
ดวงตาของเหยียนเสี่ยวต้วนเป็นสีแดง “ข้าเกลียดพวกเจ้านักเชียว ทั้งเหล่าถังทั้งนายตัวใหญ่…”
ในโลกใบนี้ย่อมมีงานเลี้ยงที่ต้องเลิกราอยู่เสมอ ..
เหยียนเสี่ยวต้วนสาวเท้ามุ่งไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ เขาไม่หันมามองผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีก
วันต่อมา…
เหยียนเสี่ยวต้วน คุณชายสี่สกุลเหยียน และเหยียนโจวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขึ้นรถเพื่อจะเดินทางกลับไปยังจวนสกุลเหยียน เหยียนเสี่ยวต้วนคอยเปิดม่านหน้าต่างหันกลับไปดูด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่ตลอดเวลา
“ยังอาลัยเมืองหลวงอยู่อีกหรือ?” คุณชายสี่ถามเมื่อเห็นอาการละล้าละลังของเขา
“ที่จริงข้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์ความสนุกสนานในเมืองหลวงหรอก ข้าเพียงแต่อาวรณ์คิดถึงผู้คน”
“ผู้คนหรือ?” คุณชายสี่แปลกใจ
“ใช่! ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องแยกจากผู้คนเหล่านั้น ท่านอาสี่..ท่านเคยชอบใครบ้างหรือไม่?”
ใบหน้าของใครบางคนผุดขึ้นมากลางใจของคุณชายสี่..เมื่อเห็นครั้งแรกเขาแทบเข่าอ่อน หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
บ้าไปแล้ว! เขาจะเอาผู้ชายคนนั้นไปทำอะไร? น่าคลื่นไส้!
สีหน้าคุณชายสี่แข็งทื่อขึ้นมา เขาพูดอย่างเย็นชา
“ไม่!” เหยียนเสี่ยวต้วนไม่ทันได้สังเกตอาการแปลกประหลาดของเขา เด็กหนุ่มยังหันหลังไปมองเมืองหลวงที่กำลังลับหายไปจากสายตาของเขา
ลาก่อนเหล่าถัง คงมีวันที่จะได้เจอกันอีก….
……………..
หลังจากเหยียนเสี่ยวต้วนและคุณชายสี่เดินทางออกไปจากเมืองหลวงแล้ว ผลที่ตามมาก็คือเกิดคลื่นลมในราชสำนัก ฮ่องเต้ทรงมีพระบรมราชโองการยกเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการกองอาวุธปืนของจ้าวชู เพราะตามกฎบรรพบุรุษสกุลเหยียน ห้ามนำดินปืนมาทำอาวุธ เหยียนโจวเป็นคนทรยศของสกุลเหยียน หากต้าโจวยังดื้อแพ่งนำภาพวาดปืนใหญ่ที่เหยียนโจวลอบนำมาพัฒนาต่อไป นั่นจะทำให้ต้าโจวกลายเป็นศัตรูของสกุลเหยียน ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีอะไร กองอาวุธปืนจึงได้ปิดตัวลง
ยิ่งก่อนหน้านี้จ้าวชูรุ่งเรืองมากเพียงใด ในยามนี้เขาย่อมตกอับเป็นที่น่าอับอายมากขึ้นเท่านั้น
จากที่จวนรุ่ยอ๋องมีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยือนมากมายกลับกลายเป็นว่างเปล่า
ภายในท้องพระโรงของวังหลวง
“ฝ่าบาท รุ่ยอ๋องมาขอเข้าเฝ้าที่ด้านนอกพะย่ะค่ะ” เต๋อซุนกราบทูลฮ่องเต้โจวตรัสว่า
“ไม่ให้เข้าพบ!” ครั้งนี้ฮ่องเต้ทรงผิดหวังในตัวบุตรชายคนนี้มากเหลือเกิน ทรงให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาทำพลาดไปเสียทุกครั้ง ช่างเป็นโคลนที่ฉาบไม่ติดกำแพงจริงๆ
“ตอนนี้ลูกหกทำอะไรอยู่?”
“องค์ชายหกยังอยู่ในสำนักศึกษาพะย่ะค่ะ” เต๋อชุนทูลตอบ
ฮ่องเต้โจวทรงแปลกพระทัย
“ยังไปเรียนที่สำนักศึกษาอยู่อีกหรือ? ข้าจำได้ว่าเขาไปเรียนมาเกือบปีแล้วใช่หรือไม่?”
บุตรชายคนนี้ของพระองค์ซุกซน ดื้อรั้น จนไม่มีใครเอาอยู่ จึงทรงอดที่จะแปลกพระทัยไม่ได้ เขาไปเรียนที่สำนักศึกษาอยู่ได้เกือบปีเลยหรือ?
“พะย่ะค่ะ องค์ชายหกมีความสนิทสนมเป็นอันดีกับบุตรชายบุญธรรมของอู่อวี้โหว องค์ชายหกจึงได้หมั่นไปเรียนที่สำนักศึกษาพะย่ะค่ะ” เต๋อซุนยังคงกราบทูลถวายรายงานต่อไป
ฮ่องเต้โจวทรงครุ่นคิด ไม่นานจึงตรัสขึ้นมาว่า
“คืนนี้ข้าจะไปหาพระสนมเหลียง”
ตกกลางคืน ฮ่องเต้จึงได้เสด็จไปยังพระตำหนักของพระสนมเหลียง
เมื่อเร็วๆนี้ อารมณ์ของพระสนมเหลียงดีขึ้นมาก นั่นเป็นเพราะได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหวังกุ้ยเฟยซึ่งถือได้ว่าเป็นคู่แข่งของนาง และองค์ชายสามผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์
ตั้งแต่เรื่องที่องค์ชายสามได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองอาวุธปืน จนทำให้หวังกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ทำให้พระสนมเหลียงอดที่จะเกิดโทสะขึ้นมาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ได้แต่กลืนความกริ้วโกรธลงท้องไป
ในยามนี้เมื่อเห็นองค์ชายสามหล่นจากที่สูงลงมาได้ เพราะเขาไปเชิญเอาคนทรยศจากสกุลเหยียนมาทำงานให้ นอกจากจะไปล่วงเกินสกุลเหยียนที่มีอำนาจแล้วยังทำให้ถูกยกเลิกตำแหน่งและยุบกองอาวุธปืนอีกด้วย พระสนมเหลียงเมื่อได้ทราบข่าวก็ทรงขบขัน แย้มสรวลและมีพระอารมณ์เบิกบานขึ้นเป็นอันมาก
เมื่อนางมีพระอารมณ์ดีแจ่มใส จึงได้ถวายการปรนนิบัติฮ่องเต้อย่างทุ่มเทและเต็มพระทัย ราวกับทั้งคู่ได้ย้อนไปในวันวานที่นางได้เข้าวังถวายตัวเป็นครั้งแรก
“เจ้าเด็กจิ่งซวน ตอนนี้โตขึ้นมาก รู้จักที่จะเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวงมาเกือบปีแล้ว ..” ฮ่องเต้โจวทรงเอ่ยขึ้นมา
“ไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพคะ แต่นิสัยยังคงต้องเรียนรู้เพิ่มอีกสักหน่อย” พระสนมเหลียงแย้มสรวลเอ่ยถึงโอรสอย่างโล่งพระทัย
“อายุจะครบสิบแปดอีกไม่นาน ไม่ใช่เด็กแล้วล่ะ ถึงเวลาที่จะแบ่งปันความกังวลของข้าไปบ้างแล้ว” ฮ่องเต้ทรงหยุดชะงักใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยว่า
“ยามนี้มีโจรชุกชุมมากมายในเหลียงโจว หมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านเทียนป้า มีราษฎรอยู่หมื่นกว่าคน ที่นั่นเป็นแหล่งซ่องสุมโจร พวกมันล้วนผยองจนแม้แต่เจ้าเมืองก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้ ข้าต้องการให้จิ่งซวนไปปราบโจรเหล่านี้ เจ้ามีความเห็นเป็นอย่างไร?”
พระสนมเหลียงทรงครุ่นคิดว้าวุ่นพระทัย มณฑลเหลียงโจวมีป่าและภูเขาล้อมรอบ สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยภยันอันตราย ซ้ำโจรร้ายก็ฮึกเหิมดุร้าย เจ้าเด็กจิ่งซวนคนนั้นไร้ประสบการณ์และไม่เคยได้ตกระกำลำบาก หากเขาไปที่นั่น เขาย่อมทุกข์ทรมานมากเป็นแน่ บางที..เขาอาจจะเอาตัวรอดกลับมาไม่ได้…นั่นเป็นพระโอรสองค์เดียวของนาง นางย่อมไม่ยินดีอยู่แล้ว แต่รู้ว่าฝ่าบาททรงผิดหวังกับจ้าวชูเป็นอย่างมาก พระองค์จึงได้ต้องการทดสอบความสามารถของจิ่งซวน นับได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก
หากจิ่งซวนจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทคงจะไม่หนีไปไหน..หากไม่ลุกขึ้นสู้ในยามนี้ให้เต็มที่ จะรอให้พระอาทิตย์ตกใส่หัวผู้อื่นในอนาคตหรือ? หรือจะรอให้ตนเองกลายเป็นปลาที่นอนรอความตายอยู่บนเขียง ในที่สุดพระสนมเหลียงจึงตัดสินพระทัย
“ทุกอย่างล้วนแต่ฝ่าบาททรงวินิจฉัยเพคะ”
ในไม่ช้าข่าวนี้ก็รู้ไปถึงหวังกุ้ยเฟย พระพักตร์ของนางซีดเผือดลงในทันทีที่ได้ยิน
ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยที่จะฝึกเด็กคนนั้น จิ่งซวน!
น่าโมโหชูเอ๋อจริงๆ!
ณ จวนอู่โหว
ภายในห้องมีสองสามีภรรยานั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่ต่างกระซิบพูดจากัน
เว่ยฉิงพูดเรื่องจ้าวจิ่งซวนขึ้นมา
ถังหลี่เลิกคิ้ว “ฝ่าบาททรงผิดหวังในตัวของจ้าวชูเป็นอันมาก ถึงได้หันไปหาจิ่งซวนสินะ”
เว่ยฉิงอารมณ์ดีเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขารำคาญจ้าวชูราวกับเป็นแมลงวันที่คอยมาตอมหน้าตอมหลังเขา แม้ว่าเขาจะไม่อยากสนใจ แต่กระนั้นก็ทำความรำคาญให้เป็นอย่างมากอยู่ดี
ในที่สุดแมลงวันก็ได้หายไป
“สามี ท่านวางแผนที่จะแก้แค้นให้สกุลเซียวอย่างไรบ้าง?” นับตั้งแต่ที่สามีของนางได้ล่วงรู้ว่าฮ่องเต้โจวเป็นคนจัดฉากวางแผนเข่นฆ่าผู้คนในสกุลเซียว แผนการก่อนหน้าของเขาได้ถูกระงับไปในทันที จากนั้นจึงได้ระมัดระวังไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเอง แต่ถังหลี่รู้ว่าสามีของนางย่อมมีแผนของตนเอง
“ถ้าฮ่องเต้ยอมรื้อคดีสกุลเซียว นั่นจะไม่เป็นการตบหน้าตนเองหรอกหรือ? ตามปกติแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะยอมรับความผิดพลาดของตัวเขาเอง นอกเสียจากจะมีฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เท่านั้น…” ถังหลี่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย สามีของนางได้วางแผนเอาไว้แล้ว หากเขาทำข้อตกลงกับองค์ชายหกเพื่อช่วยให้เขาขึ้นครองราชย์ได้ จากนั้นจึงจะได้รื้อฟื้นคดีของสกุลเซียว
นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกวิธีหนึ่งนั่นคือสามีของนางขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเอง
เว่ยฉิงมีสายเลือดของราชวงศ์ หากเขาต้องการขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว ถ้าเขาต้องการ นางจะผลักดันเขาอย่างเต็มที่ แต่เห็นได้ชัดว่าสามีของนางไม่ได้สนใจที่จะครอบครองบัลลังก์แต่อย่างใด นั่นก็ตรงกับความต้องการของถังหลี่เช่นกัน นางอยากจะใช้ชีวิตที่เป็นอิสระและไร้กังวลกับสามีของนางเท่านั้น
“สามี ท่านเลือกจ้าวจิ่งซวนหรือ?” เว่ยฉิงพยักหน้า
“ข้าหวังว่าเด็กคนนั้นคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
——————————-