บทที่ 46 ผมแพ้แล้ว
บทที่ 46 ผมแพ้แล้ว
“ไม่มีใครบัญญัติไว้ว่า การเป็นอาจารย์สอนหนังสือนั้นหมายความว่าคุณไม่สามารถทำอาหารที่ดีได้ ไม่ใช่หรือ?” อู๋ฝานมองนายน้อยหวังและพูดอย่างเฉยเมย
หวังจื่อหมิงเหลือบมองอู๋ฝานด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าอู๋ฝานจะกล้าโต้เถียงกลับมาแบบนี้
“แน่นอนว่าอาจารย์ก็สามารถมีทักษะการทำอาหารที่ดีได้” หวังจื่อหมิงพยักหน้ากล่าวคำ “เพียงแต่ คำว่า ‘ดี’ นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเปรียบเทียบกับใคร”
มันเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความหมายที่หวังจื่อหมิงต้องการสื่อ แม้อู๋ฝานจะมีทักษะการทำอาหารอยู่บ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเชฟใหญ่หลิวแล้ว อู๋ฝานอาจไม่ได้มีค่าพอให้พูดถึง
“นายน้อยหวังรู้ได้อย่างไรว่า ‘ดี’ ของผมจะไม่ดีไปกว่าคนอื่น?” อู๋ฝานถาม
“ฮ่า ๆ นี่ฟังดูบ้าชะมัด” หวังจื่อหมิงหัวเราะ เขาไม่ได้รู้สึกโกรธ และสีหน้าของเขาเหมือนกับเพิ่งได้ยินเรื่องขบขันเท่านั้น
“คนบ้าที่มีความสามารถเรียกว่ามั่นใจในตัวเอง ส่วนคนบ้าที่ไม่มีทักษะเรียกว่าไม่เจียมตัว” อู๋ฝานกล่าว
“แล้วคุณมั่นใจในตัวเองหรือไม่เจียมตัวล่ะ?” หวังจื่อหมิงถาม
“นายน้อยหวัง หากลองชิมปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวานสองจานตรงหน้านี้ คุณจะรู้คำตอบนั้นเอง” อู๋ฝานตอบ
หวังจื่อหมิงมองจานปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวานทั้งสองที่มีหน้าตาภายนอกคล้ายกัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตกลง เอาแบบนั้นก็ได้”
หลี่ปิงมองอู๋ฝานด้วยความกระหยิ่มใจ
เดิมทีแค่อู๋ฝานแพ้การแข่งขัน เขาก็ต้องอับอายมากแล้ว ตอนนี้อู๋ฝานกลับกล้าต่อปากต่อคำกับ หวังจื่อหมิงแบบนี้ ในมุมมองของหลี่ปิง หวังจื่อหมิงจะต้องรู้สึกอคติกับอู๋ฝานเป็นแน่ หลังจากนั้นคงตัดสินว่าอู๋ฝานพ่ายแพ้ ทำให้ทั้งสองอคติต่อกันยิ่งกว่าเดิม ตราบใดที่ข่าวนี้แพร่ออกไป อู๋ฝานจะไม่ได้สามารถกลับไปทำงานในมหาวิทยาลัยเจียงโจวได้อีก และอาจไม่สามารถอาศัยอยู่ในเจียงโจวต่อไปด้วยซ้ำ
“อู๋ฝาน นายเป็นคนขอเองนะ นี่คิดว่าตัวเองมีฝีมือดีจริง ๆ หรือยังไง ความคิดบ้าชะมัด” หลี่ปิงคิดในใจด้วยความดูแคลน
ในทางกลับกันเกิ่งหย่าเฟยมองอู๋ฝานด้วยความกังวล ครุ่นคิดในใจว่าจะพูดปลอบใจอู๋ฝานในภายหลังอย่างไรดี
ภายใต้ห้วงอารมณ์อันซับซ้อนของทุกคน หวังจื่อหมิงหยิบตะเกียบขึ้น คีบเนื้อปลากระรอกทอดเปรี้ยวหวานบนจานสีขาวเข้าปาก จากนั้นเขาเผยสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่ง
“นี่จะต้องเป็นจานฝีมือเชฟใหญ่หลิว รสชาติไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงสุดยอดเหมือนเดิม หากได้ลองกิน รสชาติอร่อยอบอวลอยู่ในปากไม่รู้จบ ในเจียงโจวแห่งนี้ สำหรับเมนูจานปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวาน ผมไม่เคยเจอเชฟคนไหนที่มีฝีมือดีกว่าเชฟใหญ่หลิวเลย” หวังจื่อหมิงกล่าวชม
เชฟทุกคนมีอาหารจานพิเศษของตัวเอง แม้ว่าอาหารจานอื่นอาจไม่เลวร้ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเชฟใหญ่หลิว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำอาหารรสชาติแย่ แต่เมื่อเทียบกับอาหารจานพิเศษแล้ว มันย่อมด้อยกว่าแน่นอน
และค่อนข้างชัดเจนว่าปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวานเป็นหนึ่งในอาหารจานพิเศษของเชฟใหญ่หลิว
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับนายน้อยหวัง” เชฟใหญ่หลิวมีสีหน้าดูดีขึ้น แม้เขาจะแพ้อู๋ฝานในอาหารก่อนหน้า ซึ่งทำให้เขาเสียใจมาก แต่หลังได้รับฟังคำชมจากหวังจื่อหมิง เขาก็เริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นบ้าง
“จะต้องเป็นเพราะลูกค้าโต๊ะนั้นไม่รู้วิธีชิมอาหาร มีเพียงคนอย่างนายน้อยหวังที่เคยได้ชิมอาหารทุกชนิดเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นผู้ตัดสิน” เชฟใหญ่หลิวคิดกับตัวเองในใจ จากนั้นเขาชำเลืองมองอู๋ฝานด้วยความมั่นใจอยู่ลึก ๆ
เดิมทีเชฟใหญ่หลิวไม่ได้จริงจังกับการแข่งขันนี้ แต่เขาพ่ายแพ้ให้แก่อู๋ฝานในอาหารจานแรก ซึ่งนั่นทำให้เขาโกรธและกระตุ้นความปรารถนาที่จะเอาชนะให้ได้
อู๋ฝานเพิกเฉยต่อสายตาของเชฟใหญ่หลิว ขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวลถึงตัวตนของหวังจื่อหมิง
ถ้าหากหวังจื่อหมิงตัดสินอย่างไม่ยุติธรรมเพราะเขาคุ้นเคยกับเชฟใหญ่หลิวเป็นการส่วนตัวล่ะ แบบนั้นเขาก็ต้องพ่ายแพ้ด้วยความไม่ยุติธรรมน่ะสิ?
“ถ้านึกได้เร็วกว่านี้ เราคงไม่แสดงนิสัยเสียออกไป เรานี่ยังอายุน้อยไม่ประสีประสาจริง ๆ” อู๋ฝานคิดกับตัวเอง “ตอนนี้คงได้แต่หวังว่าเกิ่งหย่าเฟยจะสามารถเลือกคนที่มีความยุติธรรมมาตัดสินจานที่สาม”
ท่ามกลางความกังวลของอู๋ฝาน ตะเกียบในมือหวังจื่อหมิงได้เอื้อมไปยังจานปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวานของอู๋ฝาน เขาเหลือบมองอู๋ฝานก่อนนำอาหารเข้าปาก แต่ไม่เห็นว่าอู๋ฝานจะมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเลย
ในความจริงอู๋ฝานเตรียมใจแล้วว่าหวังจื่อหมิงคงทำการตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม เนื่องจากความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเชฟใหญ่หลิว และเขาต้องพ่ายแพ้ในรอบนี้ไป ดังนั้นเขาจึงไม่คาดหวังสิ่งใด
หวังจื่อหมิงคีบเนื้อปลาเข้าปาก สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยปกติ แต่ทันใดนั้นดูเหมือนเขาจะแข็งค้างไป สิ่งที่เคลื่อนไหวเวลานี้มีเพียงปากที่เคี้ยวอย่างละเมียดละไม
ขณะที่ทุกคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหวังจื่อหมิง คิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากันและเริ่มเคี้ยวเร็วขึ้นสองเท่า จากนั้นเขาคีบเนื้อปลาอีกชิ้นเข้าปาก แม้คิ้วจะยังขมวดเป็นปม แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปราวกับเจอสิ่งน่าเหลือเชื่อ
ทุกคนไม่เข้าใจว่าหวังจื่อหมิงเจอกับปัญหาอะไร ทำไมเขาถึงมีสีหน้าเช่นนี้ แล้วยังขมวดคิ้วแน่น หรืออาจเป็นเพราะอาหารของอู๋ฝานรสชาติแย่เกินกว่าจะกลืนลงไป?
อย่างน้อยหลี่ปิงและผู้จัดการหวงก็คิดเช่นนั้น
เกิ่งหย่าเฟยเกิดกังวลถึงอู๋ฝานมากขึ้น
หวังจื่อหมิงไม่ได้ปล่อยให้ทุกคนคาดเดานานเกินไป เขาวางตะเกียบลง เงยหน้ามองอู๋ฝาน จากนั้นมองไปทางเชฟใหญ่หลิว ก่อนกล่าวคำอย่างเชื่องช้า “ปลากระรอกทอดซอสเปรี้ยวหวานสองจานนี้ จานของอาจารย์พละมีรสชาติดีกว่า!”
แม้เสียงของหวังจื่อหมิงจะไม่ดังมาก แต่สำหรับทุกคนแล้ว เสียงของมันเหมือนกับสายฟ้าฟาดผ่าลงมา แม้แต่อู๋ฝานเองก็ไม่คาดคิดว่าหวังจื่อหมิงจะตัดสินให้ผลออกมาเป็นเช่นนี้
“เป็นไปไม่ได้!” เชฟใหญ่หลิว หลี่ปิง และผู้จัดการหวงโพล่งคำออกแทบจะพร้อมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชฟใหญ่หลิว เขาคิดว่ารอบนี้ตนเองจะต้องชนะ เพราะมันเป็นอาหารจานพิเศษของเขา และผู้ตัดสินอาหารจานนี้คือหวังจื่อหมิงที่มักโปรดปรานอาหารฝีมือเขาเป็นพิเศษ มันไม่มีเหตุผลใดเลยที่เขาจะเป็นฝ่ายแพ้!
แต่ท้ายที่สุดเขากลับยังคงแพ้!
เชฟใหญ่หลิวรับความจริงในเรื่องนี้ไม่ได้ และไม่สนใจแล้วว่าการกระทำของตัวเองจะเป็นเรื่องหยาบคายหรือไม่ เขาหยิบตะเกียบด้านข้างขึ้นมาคีบเนื้อปลาจากจานของอู๋ฝาน แล้วนำใส่เข้าปากทันที
หลังจากนั้นการแสดงออกของเขาคล้ายคลึงกับหวังจื่อหมิงก่อนหน้า เขารู้สึกตกตะลึงอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดจึงวางตะเกียบลงด้วยท่าทางหดหู่และพูดว่า “ผมแพ้แล้ว”
หลังจากลองชิมอาหารของอู๋ฝานด้วยตัวเอง เชฟใหญ่หลิวก็รับรู้ได้ถึงช่องว่างระหว่างตัวเขาและคู่ต่อสู้ อาหารของอู๋ฝานอร่อยกว่าอาหารฝีมือเขาจริง ๆ นอกจากนี้ความแตกต่างดังกล่าวยังมีมากกว่าหนึ่งระดับ ฝีมือของพวกเขาต่างชั้นกันเกินไป…
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกค้าในร้านทุกคนจะเห็นพ้องต้องกันว่าอาหารของอู๋ฝานมีรสชาติดีกว่า เป็นเพราะความแตกต่างของรสชาติอาหารระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นชัดเจนเกินไป แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นนักชิมมืออาชีพก็ยังสามารถแยกความแตกต่างนั้นได้
เมื่อเห็นว่าเชฟใหญ่หลิวยอมแพ้ด้วยความสมัครใจ ทั้งหลี่ปิงและผู้จัดการหวงก็เผยท่าทีเป็นกังวล!
พวกเขาไม่สนใจเงินหนึ่งหมื่น เงินจำนวนนี้ไม่ได้สำคัญสำหรับพวกเขา สิ่งที่พวกเขาสนใจคือการรักษาหน้า นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วพวกเขายังพูดสาบานไว้ก่อนหน้าด้วยว่าอู๋ฝานจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดผู้แพ้กลับเป็นเชฟใหญ่หลิว มันจึงทำให้พวกเขายอมรับไม่ได้