บทที่ 50 ไม้ชิงชัน
บทที่ 50 ไม้ชิงชัน
เพราะเหตุผลใดไม่อาจทราบ มันถึงมีภารกิจเสริมอย่างกะทันหัน อู๋ฝานที่สมควรยินดีเพราะได้รับสองภารกิจในหนึ่งวัน แต่เพราะภารกิจทั้งสองค่อนข้างพิเศษจนเกินไป ทำให้ตัวอู๋ฝานไม่ทราบว่าควรจะทุกข์หรือว่าสุขดีกันแน่
ทว่า สองภารกิจดังกล่าวก็รับมาแล้วเป็นอันเรียบร้อย รางวัลของภารกิจก็ไม่ใช่เลวร้าย ส่วนดังกล่าวจึงทำให้อู๋ฝานสามารถโล่งใจได้ระดับหนึ่ง
“ยังเหลือเวลาอีกสามวัน ไปที่ป่าด้านหลังของภูเขาก่อนก็แล้วกัน” อีกสามวันจากนี้ อู๋ฝานจะต้องออกจากหมู่บ้านเป็นการชั่วคราว เรื่องนี้จึงทำอู๋ฝานที่เดิมวางแผนจะออกไปก็ตอนที่เลเวลสูงขึ้นแล้ว ต้องเกิดเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหัน
ในช่วงเวลาสามวันสุดท้ายนี้ อู๋ฝานจึงวางแผนสำรวจป่าที่อยู่ด้านหลังของภูเขา ประการแรก ตัวเขาต้องการสำรวจทุกซอกทุกมุมของด้านหลังภูเขา อย่างไรแล้วหากจะกล่าวว่ามันคือพื้นที่ของเขาก็ไม่ผิด การทราบรายละเอียดพื้นที่ของตนเองเป็นอย่างดีถือเป็นเรื่องที่ดี
ประการที่สอง มันมีมอนสเตอร์ให้ต่อสู้เพื่อเพิ่มเลเวล เพื่อจะได้เพิ่มพูนเหรียญทองให้มากขึ้น หากว่าได้รับอุปกรณ์อะไรมาเพิ่มเติม ก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดี
หัวหน้าหมู่บ้านยินยอมลดราคาค่าสัญญาณเช่าด้านหลังภูเขาลงครึ่งหนึ่ง มันจึงทำอู๋ฝานเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา เขาคิดใช้โอกาสของ “ส่วนลด” ที่ได้รับมา หาทางยืดขยายมันอีกสักหลายปี ทำเช่นที่ว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก และความลับเรื่อง “กำแพงโลหะ” ที่อยู่ด้านหลังของภูเขาก็จะยังสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้
ด้วยเหตุนี้ ช่องว่างทางการเงินของอู๋ฝานที่เคยกว้างใหญ่ ตอนนี้จึงเริ่มถมให้เต็มได้มากขึ้นทีละนิด
ยามเมื่อมาถึงด้านหลังของภูเขา ยืนอยู่ด้านหน้าของพื้นที่โล่ง จึงได้เห็นพื้นที่เดิมที่รกร้างเต็มไปด้วยแปลงเพาะปลูกสารพัด แปลงเพาะปลูกเหล่านั้นคือสิ่งที่อู๋ฝานได้รับมาจากการต่อสู้ในช่วงเวลาหลายวัน เมล็ดพันธุ์ที่ใช้เงินซื้อมาทั้งหมดได้รับการเพาะปลูกหมดสิ้น ภายในเวลาไม่กี่วัน พวกมันจะเติบโต จนพืชพรรณกลุ่มแรกได้สูงจนถึงระดับยี่สิบเซนติเมตรได้แล้ว อัตราการเติบโตของมันไม่ใช่เชื่องช้าเลยทีเดียว
“ด้วยอัตราการเติบโตระดับนี้ น่าจะใช้เวลาราวหนึ่งเดือนก็สมควรโตเต็มที่ แต่เวลานั้นก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้ไหม” อู๋ฝานมองพื้นที่นับหมื่นมู่ตรงหน้า ในใจเกิดความภาคภูมิเปี่ยมล้น แต่ก็กังวลว่าจะไม่อาจกลับมาเก็บเกี่ยวพวกมันได้ทันเวลา
“สำหรับเราแล้ว ที่นี่คือโลกแห่งเกม ดังนั้นต่อให้ไม่มาเก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสม ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง
ด้วยพืชผลเหล่านี้ ต่อให้ไม่อาจนำไปใช้ทำบาร์บีคิวขาย เขาก็ยังสามารถทำเงินได้โดยการอาศัยขายผักและผลไม้โดยตรง
อู๋ฝานไม่คิดอยู่ดูพื้นที่ฟาร์มนานนัก เพียงไม่ช้าจึงมุ่งหน้าไปยังป่าที่อยู่ใกล้เคียง
“หือ? ทำไมป่านี้ดูคุ้นเคย” อู๋ฝานที่กำลังคิดเข้าป่า กลับต้องชะงักกับทางเข้า เพราะพบเห็นต้นไม้ที่ทางเข้า มันดูคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเขาเคยพบเห็นมันมาก่อน
ถัดจากนั้น อู๋ฝานจึงส่งวิชาตรวจสอบออกไป เพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลของต้นไม้
[ต้นชิงชัน : เป็นไม้ที่สามารถใช้ทำธนู หน้าไม้ หรืออาวุธอื่นได้ รวมถึงนิยมใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ]
“ไม้ชิงชันนี่เอง!” อู๋ฝานตอบรับด้วยความประหลาดใจ ทั้งยังตื่นเต้น
มันคือไม้ชิงชัน!
อู๋ฝานได้รู้จักไม้ชิงชันโดยบังเอิญ เรื่องราวเกิดขึ้นตอนที่เขาได้พบข่าวกล่าวว่าไม้ชิงชันมีค่ามหาศาล สามารถนำไปขายได้ตันละเป็นเงินหลายล้านหยวน และราคาของมันจะยิ่งสูงขึ้นไปตามคุณภาพของไม้ ตอนนั้นเองที่อู๋ฝานได้รับรู้ ว่าคงจะดีหากว่ามีไม้ชิงชันสักหลายตัน
ด้วยเหตุดังกล่าว อู๋ฝานจึงมีความทรงจำฝังแน่นเกี่ยวกับไม้ชิงชัน ยามนี้พบเห็นต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้า จึงเกิดความรู้สึกว่ามันคุ้นเคย เป็นเหตุให้ส่งวิชาตรวจสอบไปทำการยืนยัน พร้อมกับผลลัพธ์อันน่าทึ่ง ที่ได้พิสูจน์ว่าเขาคิดถูก มันคือไม้ชิงชันจริง!
เงินไหลมา เทมา!
อู๋ฝานไม่อาจทราบว่าต้นไม้ตรงหน้ามีน้ำหนักเท่าใด เพียงแต่ทราบว่ามันจะต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งตัน หรือก็คือตรงหน้ามันคือกองเงินกองทองที่วางเรียงราย เพียงแค่นึกภาพดังกล่าว อู๋ฝานก็ยินดีจนใจเต้นรัว
อู๋ฝานเร่งรีบมองสำรวจต้นไม้อื่น พร้อมได้พบเห็นต้นชิงชังในสายตาจำนวนไม่ใช่เล็กน้อย
ยังจะทำบาร์บีคิวทำอะไร ในเมื่อมีที่ดินเช่นนี้?
แค่เปลี่ยนไปขายไม้ก็รวยแล้ว!
ปัจจุบัน อู๋ฝานกำลังตื่นเต้นถึงขีดสุด ต้นชิงชังที่อยู่ทั่วตรงด้านหน้า มันทำสายตาของเขาต้องพร่ามัว กระทั่งสภาพจิตใจก็ยังไม่อาจกระจ่างแจ่มชัด
ที่ทำอู๋ฝานยิ่งตื่นเต้นยินดีมากยิ่งขึ้น คือการที่ภายหลังใช้ทักษะตรวจสอบ เขาได้พบไม้อื่นที่ล้ำค่าอยู่ในป่าอีกไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นไม้พะยูงสีเหลือง ไม้หนานมู่ ไม้มะเกลือและอื่น ๆ อีกมากมาย!
อู๋ฝานเกิดรู้สึกว่าลมหายใจตนเองเริ่มติดขัด และทันใดนี้เอง ที่ในใจบังเกิดความคิดหนึ่งเดียวขึ้น
ครั้งนี้ต้องรวยเละ! ความคิดที่เลือกทำสัญญากับทั้งด้านหลังของภูเขา มันทั้งปราดเปรื่องและถูกต้องเป็นที่สุด!
มันไม่ต่างอะไรกับภูเขาทองคำแห่งหนึ่ง เป็นภูเขาทองคำที่ไม่มีใครรู้จัก หัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่นต่างก็ละทิ้งเมินเฉยสถานที่แห่งนี้มายาวนาน เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ที่ถูกทิ้งร้างก็ยังไม่ผิด
“สงบใจก่อน อู๋ฝาน สงบใจก่อน!”
อู๋ฝานสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันสายตาออกพ้นจากต้นไม้ทั้งหลาย เพื่อบังคับปรับลมหายใจให้สงบลง
ทั้งด้านหลังของภูเขาแห่งนี้ ตัวเขาทำสัญญาเอาไว้แล้วแต่เพียงผู้เดียว หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวบอกชัดเจนแล้ว ว่าทุกสิ่งอย่างที่อยู่ด้านหลังของภูเขาถือเป็นของเขา ดังนั้นต้นไม้ย่อมถูกนับรวมเข้าไปด้วย เขาจะต้องหาทางทำเงินก้อนใหญ่ให้ได้
เพียงแต่ การจะเปลี่ยนไม้เป็นเงิน มันไม่ใช่เรื่องง่ายดังนึกคิด
อู๋ฝานกำลังคิดถึงจุดที่เสียเปรียบ ในโลกความเป็นจริง เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงไม้อันแสนล้ำค่าเหล่านี้ หากนำพวกมันออกขายในปริมาณไม่มากอาจไม่เป็นไร แต่หากขายในจำนวนมากขึ้นมา เมื่อใดมีคนเกิดความสงสัย เขาจะไม่มีทางอธิบายต่อที่มาของไม้เหล่านี้ ถึงเวลานั้น เขาอาจได้กลายเป็นนักลักลอบค้าของเถื่อน ตอนนี้จึงคิดอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาให้หลั่งออกมา
“หรือต้องไปพึ่งพวกคาบช้อนทอง?” อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
ตรงหน้านี้คือภูเขาทองคำแห่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่มีวิธีการจัดการที่เหมาะสม ใจอู๋ฝานจะหดหู่เพียงใด ก็พอจินตนาการได้
ทั้งหมดทั้งมวล ก็เป็นเพราะในโลกความเป็นจริงตัวเขาแสนจะอ่อนแอ ไม่มีกำลัง ไม่มีเส้นสาย หากตัวเขาแสดงอะไรที่ไม่สมกับฐานะออกไป มันก็มีแต่จะกระตุ้นความสงสัยของคนอื่น
ด้วยประสบการณ์การทำงานกว่าหนึ่งปี จึงทำให้อู๋ฝานเข้าใจโลกดีขึ้น เพื่อเงินแล้ว คนมากมายพร้อมจะทำทุกสิ่งอย่าง เมื่อใดมีบุคคลพบเห็นว่าอู๋ฝานทำเงินได้มากมายจากการขายไม้ และหากพบว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา อีกฝ่ายย่อมบังเกิดความคิดอันยากจินตนาการ ถึงเวลานั้น หากเขาไม่มีหนทางเก็บรักษาเงินเอาไว้ มันอาจนำพาปัญหาใหญ่มาสู่ตนเอง กระทั่งว่านำอันตรายมาสู่ชีวิต
หนทางเพียงหนึ่งเดียว คือการทำให้ตัวเองยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เมื่อรวมความแข็งแกร่งส่วนตัว ความแข็งแกร่งทางการเงิน และความแข็งแกร่งทางเส้นสาย มีแต่ตอนที่มีความสามารถมากพอ จึงจะสามารถรักษาทรัพย์สินเอาไว้ได้
“หรือว่า เราจะเป็นได้แค่เกษตรกรต่อไป?” อู๋ฝานคร่ำครวญกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
ยามเมื่อคิดว่าอีกเพียงหนึ่งก้าวก็สามารถยื่นมือไปแตะท้องฟ้า แต่สุดท้ายแล้ว กลับต้องก้าวเท้าอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว
เพียงแต่ หากว่าขายเพียงเล็กน้อย มันก็ไม่น่ามีปัญหาใด
“อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องมีทุนทำกิจการของตัวเองให้ได้ละนะ” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง