บทที่ 69 ผ่านมา
บทที่ 69 ผ่านมา
“เหยียนเอ๋อร์ ทำไมวันนี้ถึงคิดมาที่นี่กันล่ะ? ปกติพวกเราชวนมา เธอไม่เห็นมาสักหน่อยนี่”
“ใช่แล้ว พวกเราคอยชวนเธอมาที่นี่กินของอร่อยและน่าสนใจอยู่หลายครั้ง แต่เธอกลับไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง วันนี้กลับเป็นฝ่ายชวนพวกเรามาเสียเอง”
ภายในตลาด เด็กสาวสี่คนกำลังเดินไปพลางพูดคุย หนึ่งในนั้นคือหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ และอีกสามคนเป็นรูมเมทของเธอ
ทั้งสี่ต่างก็ยังสาวและงดงาม เมื่อเดินไปตามถนนในตลาดจึงดึงดูดความสนใจได้มากมาย โดยเฉพาะกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ผู้ซึ่งเปรียบดังแสงสว่างในคืนเดือนมืด รัศมีแสงจากตัวเธอเปล่งประกาย ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรให้มองมา
ช่วงหลังทานอาหารมื้อเย็น คนในหอพักมักจะไปซื้อหาของจากถนนคนเดินหน้ามหาวิทยาลัย พวกเธอไม่เคยชวนหลิ่วเหยียนเอ๋อร์มา มันไม่ใช่ว่ามีความสัมพันธ์เลวร้ายอะไรกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เพียงแค่พวกเธอทราบดี ว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่มีความสนใจในสถานที่เช่นนี้ อีกทั้งเสื้อผ้าตามปกติของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ แม้ว่าหลายแบรนด์พวกเธอจะไม่รู้จัก แต่ก็ทราบได้เช่นกันว่าราคาของพวกมันไม่ใช่ถูกอย่างแน่นอน ดังนั้น คนอื่นจึงเกิดความเข้าใจกันไปว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่น่าจะสนใจในสถานที่ซึ่งมีแต่ร้านแผงลอย
แต่แล้ววันนี้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไป ขณะพวกเธอกำลังพูดคุยว่าคิดไปที่นั่น หลิ่วเหยียนเอ๋อร์กลับเข้ามาขอร่วมทางไปด้วย มันจึงทำรูมเมทของเธอเกิดความสงสัย ว่าเพราะอะไรวันนี้ถึงอยากมา
“ก็แค่อยากมาเดินดูน่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ
“ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ” รูมเมทข้างกายของเธอเผยยิ้มรับ “ฉันเห็นสายตาเธอนะ ตั้งแต่มาถึง เธอกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ไม่ใช่แค่มาเดินเล่นดูไปเรื่อย ดูเหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วว่ากำลังหาอะไรอยู่ หมายความว่าก่อนมาที่นี่ เธอมีเป้าหมายในใจแล้ว หรือไม่ก็มีของที่อยากซื้ออยู่แต่แรกแล้ว”
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองตอบ ก่อนจะพูดเสียงเบา “ผิดแล้ว”
“จริงหรือ? เอางั้นก็ได้” กับท่าทีเย็นชาของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ รูมเมทของเธอคุ้นเคยจนไม่ใส่ใจไปนานแล้ว พวกเธอทราบดีว่าแม้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มีท่าทีเย็นชา แต่ธรรมชาติของเธอไม่ใช่คนเลวร้าย
เวลานี้ รูมเมททั้งสามเกิดได้ตระหนักว่าสายตาของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองมุ่งตรงไปทางหนึ่ง และเห็นได้ชัดว่าดวงตานั้นแทบส่งประกายส่องสว่าง
“มาที่นี่เพราะร้านแผงลอยบาร์บีคิวนี่หรือ” รูมเมทคนที่พูดไปเมื่อครู่เอ่ยขึ้นมา “แต่ก็นะ ไม่แปลกใจ ฝีมือของเถ้าแก่ร้านแผงลอยตรงนั้นน่าจะดีอย่างไม่ต้องสงสัย น่าจะดีที่สุดในย่านนี้แล้ว แถวมหาวิทยาลัยมีร้านเยอะแยะ แต่ทุกคนก็อยากที่จะได้กินบาร์บีคิวร้านนี้”
“ใช่แล้ว หลายวันก่อนเดินเล่นแถวนี้ พวกเราก็ได้ทานกันแล้ว รสชาติดีจริงไม่ต้องสงสัย” รูมเมทอีกคนพูดขึ้นมา
“เพียงแต่เพราะฝีมือที่ดีจนเกินไป หลายคนจึงพร้อมใจกันต่อแถวรอ ถ้าอยากกินบาร์บีคิวร้านนี้ ก็ต้องต่อแถวอย่างเดียว คนที่รีบก็ต้องอดกินไป”
“ก็นะ ฝีมือดีขนาดนั้นนี่” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ น้ำเสียงดูไปแล้วอบอุ่นกว่าก่อนหน้านี้
ร้านบาร์บีคิวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เป็นร้านของอู๋ฝาน
“เคยได้กินแล้วหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่เคย เหยียนเอ๋อร์จะตั้งใจมาหรือยังไง?”
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่ตอบคำใด เพราะมันเป็นครั้งแรกของเธอด้วยซ้ำ ที่มีความคิดอยากทานอาหารที่ขายตามข้างทาง
อู๋ฝานกำลังต้องการอธิบายให้ทุกคนได้ทราบ ว่าหลิวอี้เตาเป็นเชฟใหญ่ของร้านคัลเลอร์แมนมาก่อนจริง เพียงแต่การจะพิสูจน์ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะเคยไปร้านคัลเลอร์แมนหรือไม่ พวกเขาก็ไม่เคยได้พบกับหลิวอี้เตามาก่อน ด้วยเหตุนั้น ต่อให้เขากล่าวว่าหลิวอี้เตาเคยเป็นเชฟใหญ่ คนอื่นก็ไม่เกิดความคิดเชื่อ
“คนเรานี่ก็นะ พอกิจการดีขึ้น ก็คิดว่าจะหลอกลวงลูกค้าได้ ลืมไปว่าลูกค้าคือพระเจ้า ตอนนี้คิดใช้เด็กฝึกงานหลอกพวกเขาเอาเสียแล้ว”
“จริงด้วย บางทีปัญหาน่าจะอยู่ที่วัตถุดิบนั่นแหละ เพื่อทำเงิน อะไรก็พร้อมทำได้”
“อาจจะอยู่ที่วัตถุดิบจริง ๆ ถ้าไม่งั้น จะทำรสชาติให้อร่อยได้ยังไง?”
ลูกค้าทั่วไปมีความสงสัยต่อตัวตนของหลิวอี้เตา อู๋ฝานไม่คิดใส่ใจ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวใกล้เคียง จะถึงกับหยุดทำการค้าของตนเองเข้ามาร่วมวงด้วย ทั้งยังพูดกล่าวอะไรที่ชวนทำลายกำลังใจของคนอื่น
อู๋ฝานขมวดคิ้ว แต่เถ้าแก่เหล่านี้กำลังรับชมเรื่องสนุก เพราะพวกเขาทราบดีว่าขอเพียงมีข่าวลือ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตราบเท่าที่มีคนบอกว่าบอกต่อกันมา ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ อย่างไรก็ถือเป็นแผลตกค้างในใจ มันย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจและชื่อเสียงของอู๋ฝานได้
หลิวอี้เตามองอู๋ฝานด้วยท่าทีกระดากใจและเสียใจ เขารู้สึกว่าเพราะตนเองจึงทำให้อู๋ฝานตกอยู่ในปัญหา หากไม่ใช่เพราะอู๋ฝานเลือกสอนให้ตัวเขา เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
“ฉันเคยเป็นเชฟใหญ่ของคัลเลอร์แมนจริงนะ” หลิวอี้เตาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“ใครกันจะเชื่อ ว่าเชฟของคัลเลอร์แมนจะมาขายบาร์บีคิวที่นี่ได้? ต่อให้คับแค้นขนาดไหน ก็มีร้านอาหารอื่นให้ไปทำไม่ใช่หรือยังไง”
“ถูกต้องแล้ว แม้แต่เด็กยังไม่เชื่อเลย”
เถ้าแก่ของร้านแผงลอยบาร์บีคิวข้างเคียงร่วมสุมไฟ
“ฉันยืนยันได้ ว่าเขาคนนี้เคยเป็นเชฟของคัลเลอร์แมนจริง!” ตอนนี้เอง ที่เสียงอันเย็นชาดังปรากฏขึ้นจากกลุ่มคน
ทุกคนต่างหันมองกันโดยไม่รู้ตัว
“นั่นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์?!”
“เธอจริงหรือเนี่ย? เหมือนเธอเองก็ชอบอาหารของเถ้าแก่ร้านนี้เหมือนกันสินะ?”
“หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ แม่เทพธิดาแห่งผองเรา งดงามเกินไปแล้ว”
“หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หรือนี่? งดงามสมกับคำเล่าลือจริงด้วย”
บุคคลที่พูดขึ้นเมื่อครู่ เป็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตัวจริง ลูกค้าส่วนใหญ่ที่นี่ต่างก็เป็นนักเรียนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยและสถาบันใกล้เคียง ไม่แปลกหากว่าจะมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจียงโจว และหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็มีผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาวิทยาลัยเจียงโจว ทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น นักศึกษามหาวิทยาลัยเจียงโจวต่างพร้อมใจกันยืนยันตัวตนให้เธอ แม้แต่นักเรียนจากโรงเรียนอื่นในละแวก ก็ยังเคยได้ยินเรื่องเล่าขานของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์มาก่อน
“ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ?” อู๋ฝานมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยความประหลาดใจ
วันนี้ปรากฏคนรู้จักมากมายแวะเวียนมา กระทั่งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็มา
“บังเอิญผ่านมา” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับเสียงเบา
“ไม่จริงสักนิด” รูมเมทของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ลอบเบะปาก เพียงแต่พวกเธอย่อมไม่ขายหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ แต่เลือกที่จะมองอู๋ฝานด้วยความสงสัยใคร่รู้
พวกเธอต่างรู้จักนิสัยของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ตามปกติเธอไม่แม้จะชายตามองคนอื่น นับประสาอะไรกับคนค้าขายข้างถนน แต่แล้วตอนนี้ เธอกลับเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหลือเถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิว เห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากพฤติกรรมปกติที่เธอมักกระทำ
และฟังจากคำของเถ้าแก่เมื่อครู่ เหมือนว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันมาก่อน?
“เธอบอกว่าเขาใช่ ใช่ไหม?”
“ทำเอาฉันสงสัย ว่าเธอเป็นพวกเดียวกัน เธอกับเถ้าแก่ร้านนี้ตั้งใจจับมือกันหลอกลวงผู้คน”
“เด็กสาวยังสวยแบบนี้ ทำไมถึงได้ไม่รู้ความขนาดนี้ได้กันนะ”
เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวใกล้เคียงต่างต้องนึกทึ่งต่อความงามของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้จักหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ยามนี้พบเห็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์พูดแทนออกหน้าช่วยอู๋ฝาน มันย่อมกระตุ้นความสนใจของเถ้าแก่ทั้งหลาย รวมถึงความไม่พอใจ
ไม่ว่าจะสวยหมดจดงดงามขนาดไหน แต่หากพูดแทนอีกฝ่าย ก็ถือเป็นศัตรูของพวกเขา