บทที่ 83 ข้อมูลไม่มากพอ
บทที่ 83 ข้อมูลไม่มากพอ
“คุณรู้สถานะตัวตนของคุณหนูหลิ่วและนายน้อยข่งหรือไม่?” หวังจื่อหมิงเอ่ยถาม
บางทีอาจเป็นเพราะมีความประทับใจอันดีต่ออู๋ฝาน แม้รู้สึกว่าอู๋ฝานยังมีความดื้อรั้นอยู่บ้าง กระทั่งทำตัวไม่ประสีประสารู้ความ หวังจื่อหมิงก็ยังต้องการปลุกอู๋ฝานให้ตื่นขึ้น ไม่ให้ไปประสบเหตุอะไรเข้า
“ไม่ทราบ” อู๋ฝานส่ายศีรษะ
แม้อู๋ฝานพอทราบโดยคร่าว แต่ข้อมูลของข่งไห่หลินและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่ได้ทราบจากวิชาตรวจสอบ มันไม่ใช่ข้อมูลที่สมบูรณ์ เพราะในเวลานั้นอู๋ฝานยังอ่อนแอกว่าคนทั้งสอง เป็นเหตุให้ข้อมูลที่ได้รับมีอย่างจำกัด
ทว่าปัจจุบันความแข็งแกร่งของอู๋ฝานเพิ่มขึ้นมากเพราะอุปกรณ์สวมใส่ อู๋ฝานจึงไม่ทราบว่าปัจจุบันตนเองแข็งแกร่งหรือว่ายังอ่อนแอกว่าคนทั้งสอง เพราะไม่มีโอกาสได้ติดต่อพบกับข่งไห่หลิน ส่วนหลิ่วเหยียนเอ๋อร์นั้นตัวเขาไม่คิดอยากใช้วิชาตรวจสอบกับเธออย่างบุ่มบ่าม หากไม่แล้วจะกลายเป็นกระตุ้นความสงสัยจนอีกฝ่ายเกิดระแวง
ดังนั้นแล้ว อู๋ฝานจึงยังไม่ทราบเรื่องราวใดของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และข่งไห่หลินมากนัก
“ผมไม่อาจให้ข้อมูลอะไรได้มากนัก แน่นอนว่าผมเองก็ไม่ทราบเรื่องของพวกเขามากมายอะไร” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “เพียงแต่ว่าตราบเท่าที่คุณทราบ ทั้งสองเป็นคนจากตระกูลใหญ่ในนครหลวง เป็นตระกูลที่ผ่านการสืบทอดมายาวนานนับพันปี ทั้งยังยืนหยัดมาได้อย่างมั่นคง เท่านี้ก็น่าจะมากพอให้คุณจินตนาการได้ถึงอำนาจ เรียกได้ว่าเป็นตัวตนอะไรก็ตามที่คนธรรมดาอย่างคุณไม่อาจเปรียบเทียบ และไม่ใช่ตัวตนที่คนธรรมดาจะสามารถเข้าถึงได้”
ขณะหวังจื่อหมิงบอกออกมา สีหน้านั้นยังแสดงท่าทีที่ทั้งอิจฉาและหวาดเกรง
กระทั่งว่าตัวตนของหวังจื่อหมิงจะมีตระกูลเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังด้อยกว่าหากต้องเผชิญหน้าเทียบเปรียบกับตระกูลของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และข่งไห่หลิน
“ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังแบบนั้น” อู๋ฝานตอบรับ
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาพอคาดเดา ถึงตัวตนและพื้นเพของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และข่งไห่หลิน ว่าจะต้องไม่ใช่ธรรมดา เพียงแต่อู๋ฝานก็ไม่นึกคิด ว่าตระกูลเบื้องหลังคนทั้งสอง จะมีพื้นเพทรงอำนาจอย่างน่าสะพรึงถึงเพียงนั้น
ตระกูลหนึ่งจะสืบทอดต่อเนื่องมายาวนานนับพันปี มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ทั้งยังคงความเป็นตระกูลอันมั่งคั่ง เป็นการมากที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของตระกูล เพียงแค่ที่หวังจื่อหมิงบอก มันก็ไมใช่อะไรที่คนธรรมดาจะจินตนาการนึกถึงและเข้าถึงได้
เพียงแต่คนธรรมดาคืออะไร?
อู๋ฝานเพียงยิ้มบางอยู่ในใจ ภายหลังได้ทราบตัวตนและพื้นเพเบื้องต้นของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และข่งไห่หลิน แม้จะรับรู้ถึงแรงกดดันอยู่บ้าง แต่หากต้องบอกให้เขาหวาดกลัว เกรงว่าจะไม่อาจเป็นเช่นนั้น
“คุณเข้าใจก็ดีแล้ว” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “โดยสรุปแล้วนั้น ตระกูลเช่นพวกเขาไม่ใช่อะไรที่คุณจะหาเรื่องด้วยได้ แม้ว่านายน้อยข่งเป็นเพียงสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลข่ง แต่ตราบเท่าที่ใช้อำนาจที่มีสักนิด ก็มากพอที่จะทำอะไรกับคุณตามต้องการ มันไม่ใช่ว่าผมดูหมิ่นปรามาสอะไรคุณ แต่มันคือความจริง”
“จริงงั้นเหรอ?” อู๋ฝานราวกับไม่เห็นด้วย
หากว่าเป็นตัวเขาก่อนหน้านี้ เผชิญหน้ากับตัวตนดังกล่าว ตัวเขาไร้ซึ่งอำนาจจะตอบโต้จริง เพียงแต่ตัวเขาตอนนี้ไม่ใช่ เขาสามารถตอบโต้กลับได้!
พบเห็นอู๋ฝานยังไม่เชื่อ หวังจื่อหมิงจึงขมวดคิ้ว พร้อมเกิดรู้สึกว่าอู๋ฝานถือดีและไม่รู้ความจนเกินไป ตัวเขาเองยังต้องหวาดเกรงต่อตัวตนเช่นข่งไห่หลิน ทั้งยังต้องให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ แต่แล้วอู๋ฝานคืออะไร? เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง กลับกล้าที่จะประชันกับอีกฝ่ายงั้นหรือ?
หวังจื่อหมิงไม่อาจเห็นได้ว่าอู๋ฝานจะมีโอกาสชนะแม้เพียงนิด
พบเห็นอู๋ฝานยังไม่ยอมรับ หวังจื่อหมิงก็คร้านจะพูดอะไรต่อ “ผมได้บอกทุกเรื่องที่จำเป็นต้องพูดแล้วว่าจะเป็นอย่างไรต่อนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณ”
“ขอบคุณนายน้อยหวังที่เตือนครับ” อู๋ฝานตอบรับจากใจจริง
อู๋ฝานรู้สึกได้ ว่าคำเตือนของหวังจื่อหมิงคือความจริงใจ ทั้งที่ระหว่างคนทั้งสองไม่มีมิตรไมตรีใดต่อกัน แต่การกระทำที่หวังจื่อหมิงมีให้ มันมากพอทำให้อู๋ฝานรู้สึกซาบซึ้ง
หวังจื่อหมิงโบกมือตอบ “ถ้าหากขอบคุณจริง ก็อย่าได้พูดแล้ว ถ้าหากคิดจริงว่าคำของผมมันมีเหตุผล คุณก็ควรอยู่ให้ห่างจากคุณหนูหลิ่ว”
อู๋ฝานเพียงยิ้มรับ ทว่าไม่ได้ตอบคำใด
หวังจื่อหมิงเข้าใจความหมายของอู๋ฝาน ดังนั้นจึงไม่คิดพูดอะไรอีก แต่แม้แบบนั้นเขาก็ยังค่อนข้างโกรธที่อู๋ฝานไม่ทราบดีชั่ว
อาหารมาถึงในเวลาไม่นาน แน่นอนว่าไม่อาจขาดปลากระรอกซอสเปรี้ยวหวาน เพียงแต่ภายหลังหวังจื่อหมิงชิมเข้าไป คิ้วถึงกับต้องขมวด กระทั่งหยุดการทานไป
“ได้ยินว่าเชฟหลิวลาออกจากคัลเลอร์แมนแล้ว ไม่ทราบเลยว่าไปที่ไหนกัน อาหารจานนี้ไม่ใช่รสชาติเดิมอีกต่อไปแล้ว” หวังจื่อหมิงพูดขึ้นมาด้วยความนึกเสียดาย
แม้ว่าเมนูอาหารจานเดียวกันนี้เมื่อคราวก่อน หลิวอี้เตาจะพ่ายแพ้ให้กับอู๋ฝานไป แต่หวังจื่อหมิงก็ยังคงพึงพอใจกับอาหารของหลิวอี้เตา ทุกครั้งที่มาที่นี่จึงคิดอยากได้ทานอีกครั้ง ทว่าตอนนี้หลิวอี้เตาจากไปแล้ว เขาจึงสูญเสียความสนใจต่อเมนูนี้ไป
อู๋ฝานครุ่นคิด เหมือนว่าหลิวอี้เตาจะไม่ได้บอกให้คนอื่นทราบว่าไปที่ใด แต่ไม่ว่าด้วยอะไร มันก็ดีและช่วยลดทอนปัญหาลงได้
“ฝีมืออาหารของเชฟหลิวกับเมนูนี้ เรียกได้ว่าสูงล้ำจริง” อู๋ฝานตอบรับ
มันไม่ใช่คำเยินยอ หลิวอี้เตามีประสบการณ์กับเมนูอาหารจานนี้อย่างสูงล้ำ แม้ว่าครั้งก่อนพ่ายแพ้ให้อู๋ฝาน แต่หากเทียบเปรียบกับคนอื่น เขาก็ยังคงมีชัยชนะอันงดงาม
“ก็ยังเทียบคุณไม่ได้” หวังจื่อหมิงตอบรับ
อู๋ฝานยิ้มตอบ “ก็เพียงแค่ฝีมือนิดหน่อย ไม่นับเป็นอะไร”
“ฝีมือทำอาหารของคุณไม่ใช่นิดหน่อยเลย” หวังจื่อหมิงตอบรับ “ทำเอาผมนึกสงสัยว่าคุณไปเรียนการทำอาหารมาจากใครและที่ไหน? ด้วยประวัติของคุณก่อนหน้านี้ ก็ไม่คล้ายว่าจะเข้าสถาบันสอนทำอาหารหรือว่าโรงแรม แล้วเพราะอะไรถึงมีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมได้กัน?”
“บางทีอาจเพราะพรสรรค์ที่ตื่นขึ้น ผมก็เลยตระหนักรู้ขึ้นมาได้” อู๋ฝานยิ้มรับ
หวังจื่อหมิงทราบว่าอีกฝ่ายเพียงกล่าวถ่อมตัวไปเรื่อย ตัวเขาที่เจตนาขุดคุ้ยความลับของอู๋ฝาน แต่อู๋ฝานนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่คิดเปิดเผยความลับ
“ก็ได้ งั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว มาทานอาหารกันดีกว่า แม้ว่าจะไม่ดีเท่าเชฟหลิว แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดยากจะกลืนลงท้อง” หวังจื่อหมิงเอ่ยคำขึ้น
ถัดจากนั้น คนทั้งสองจึงหยุดการสนทนาถึงเรื่องของอู๋ฝาน รวมถึงหยุดการถามถึงเรื่องของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และข่งไห่หลิน เพียงแค่สนทนาต่อกันไปเรื่อยเปื่อย
หวังจื่อหมิงจึงได้ทราบว่าแม้อู๋ฝานเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่การวางตัวนั้นไม่ได้แย่อะไร กระทั่งว่ายามเผชิญหน้ากับตนเอง เขาก็ไม่มีทีท่าประจบเอาใจ การสนทนาระหว่างคนทั้งสองนั้นเหมือนดังคนปกติธรรมดาและมิตรสหายทั่วไป เป็นการพูดคุยที่ไม่มีหัวข้ออะไรเด่นชัด หวังจื่อหมิงชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้ ความโกรธที่เคยมีต่ออู๋ฝานก่อนหน้านี้ก็เลือนหายไปจนหมดสิ้น
เป็นเพราะการสนทนากับอู๋ฝานสนุกสนานด้วยดี ตอนที่ต้องบอกลา หวังจื่อหมิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะบอกกับอู๋ฝานอีกครั้ง “เรื่องที่ผมพูดในค่ำคืนนี้ คุณกลับไปแล้วก็ขอให้ทบทวนให้ดีอีกครั้ง โลกใบนี้มีผู้หญิงมากมาย ไม่จำเป็นต้องไปยั่วยุหาเรื่องกับคนอื่นเพียงเพราะผู้หญิง มันไม่ต่างอะไรกับการยั่วยุยักษ์ให้ตื่นขึ้น ยังไม่พูดว่าผู้หญิงคนดังกล่าวไม่มีโอกาสได้ลงเอยกับตัวคุณ หากว่ายังดื้อรั้นต่อ สุดท้ายอาจเป็นการทำร้ายตัวเอง”
“ขอบคุณนายน้อยหวังที่เป็นห่วงครับ ผมทราบดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” อู๋ฝานตอบรับ
“ตามนั้นก็แล้วกัน ดูแลตัวเองด้วย” หวังจื่อหมิงทราบว่าไม่อาจบอกอะไรอู๋ฝานได้อีก ดังนั้นจึงทำเพียงตบไหล่อู๋ฝานก่อนจะเดินทางกลับไป