บทที่ 656 : เทพธิดาจอมปลอม (4)
ยามนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ข้างแท่นบูชาและมองไปที่แท่นบูชาเบื้องหน้าด้วยสายตาชื่นชม
บอลแสงกลมๆ สีเขียวลอยลงมาจากท้องฟ้า เพียงไม่ช้าสตรีในชุดสีเขียวก็ปรากฏขึ้น นางยืนอยู่กลางแท่นบูชาราวกับเทพธิดา
”คารวะเทพธิดา!”
เว้นแต่จุนเทียนเยว่ซึ่งไม่เคยมาคารวะบูชาเทพธิดาคนอื่น ๆ ทุกคนต่างคุกเข่าลงอย่างช้า ๆ พลางเปล่งเสียงแสดงความเคารพดังก้องไปรอบแท่นบูชา
”ดีมาก”หญิงสาวในชุดสีเขียวพยักหน้าเบา ๆ พลางเลิกคิ้วที่หยิ่งผยองของนางขึ้น “ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อถามว่า เหวินหยุนเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง ? หากเขาฟื้นขึ้นมาให้เขาไปจากที่นี่พร้อมกับข้า”
”เอ่อ… ” เหวินหวู่เหว่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หยุนเฟิงยังไม่หายดี โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด”
”อะไรคือเมตตา?” สตรีในชุดสีเขียวจ้องมองอย่างแค้นเคือง “การที่ข้าจะพาเขาไปก็นับว่าเมตตาแล้ว เจ้าจงใจให้เขาแสร้งป่วย เพื่อหลอกลวงข้าใช่หรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าหยุนเฟิงพบหญิงผู้หนึ่งจากดินแดนภายนอก ทั้งยังต้องการนางมาเป็นภรรยา”
เหวินหวู่เหว่ยประหลาดใจเทพธิดารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ?
หากแต่เขาก็ไม่มีเวลาคิดมากนักน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของหญิงสาวชุดสีเขียวพลันดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่รู้ว่าหญิงผู้นั้นใช้เวทมนตร์ใดจึงทำให้เขาหลงใหลได้ถึงเพียงนั้น ! หญิงผู้นั้นจะมาเทียบกับเทพธิดาอย่างข้าได้อย่างไร ?”
”เทพธิดา”เหวินหวู่เหว่ยขมวดคิ้ว “หลายปีที่ผ่านมา ท่านไม่ได้ช่วยเหลืออะไรตำหนักเซียนพยับหมอกของเราเลย ที่ข้าทำตามใจท่านตลอดมาก็เพราะบุตรสาวของท่าน หากแต่หยุนเฟิงเป็นบุตรชายของข้า ข้าจะปล่อยเขาไปกับท่านได้อย่างไร ? ”
เมื่อหวนคิดถึงสภาพที่น่าสลดใจของเหวินหยุนเฟิงแล้วเหวินหวู่เหว่ยก็โกรธมากขึ้น หากมิใช่เพื่อเทพธิดาผู้นี้ หยุนเฟิงจะกลายเป็นคนน่าสังเวชเช่นนี้หรือ ?
บุตรชายของเขามีสภาพเช่นนี้จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร !
”โอหังนัก!” สตรีในชุดสีเขียวโกรธ “เจ้ากล้าต่อต้านเทพธิดาได้อย่างไรเทพธิดานี้ไม่เพียงจะมาจากแดนสวรรค์ หากแต่ยังมีตำแหน่งที่สูงส่ง ขนาดคนในแดนสวรรค์พบข้า พวกเขายังต้องแสดงความเคารพข้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส ! แล้วเจ้าเป็นใคร ?”
เหวินหวู่เหว่ยรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นๆ ที่ไหลซึมบนหน้าผาก ทว่าคราวนี้เขาจะไม่ยอมแพ้
”เจ้ารู้เรื่องสงครามพันปีระหว่างแดนอสูรและแดนสวรรค์หรือไม่?” สตรีในชุดสีเขียวเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “การต่อสู้ระหว่างราชาอสูรกับราชาเทพสวรรค์ การต่อสู้นั้นเพียงเพื่อสตรีผู้หนึ่ง นอกจากนี้นางยังเป็นนายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อีกด้วย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ สตรีผู้นั้นคือข้าเอง !”
”ทั้งแดนอสูรและแดนสวรรค์จะต้องยอมจำนนต่อข้าเจ้ากล้าหาญมากที่มาดูถูกเทพธิดาองค์นี้ !”
เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนในแดนสวรรค์จะเดินทางมายังแดนมนุษย์ผู้คนในแดนอสูรเล่าก็ถูกผนึก เช่นนั้นไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ไม่มีผู้ใดมาขัดแย้งได้ ไม่ว่านางจะมีตัวตนแท้จริงอย่างไร ทว่าที่นี่นางก็สามารถแต่งเรื่องสร้างภาพตัวเองอย่างไรก็ได้เช่นกัน
และที่สำคัญ
สตรีผู้ซึ่งถูกราชาเทพสวรรค์และราชาอสูรตามตื๊อผู้นั้นก็ได้ตายไปแล้วต่อให้นางแกล้งสวมรอยก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
จิตใจของผู้คนที่นั่นสั่นไหวเล็กน้อยสตรีที่ทั้งราชาอสูรและราชาเทพสวรรค์ตามตื๊อ ถ้าเป็นเช่นนั้นตำแหน่งของนางในแดนสวรรค์จะต้องสูงส่งอย่างมาก !
“หากแต่ข้าไม่สนใจพวกเขาทั้งคู่ข้าชื่นชอบก็เพียงเหวินหยุนเฟิงผู้เดียวเท่านั้น เจ้าไม่คิดว่าเหวินหยุนเฟิงโชคดีมากหรอกหรือ ?” สตรีในชุดสีเขียวเชิดหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองขึ้น “หากแต่ข้าเป็นคนมีเมตตาเสมอ ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดครึ่งเดือน หลังจากครึ่งเดือนข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
หลังจากกล่าวจบร่างของหญิงสาวในชุดสีเขียวก็หายไปราวกับสายลม
แน่นอนว่านางลังเลที่จะออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก นางแสร้งทำไปอย่างนั้นเอง นางจะจากที่นี่ไปได้อย่างไร หากนางไปนางก็ต้องกลับกลายเป็นสาวใช้ในแดนสวรรค์อีกน่ะสิ
***จบบทเทพธิดาจอมปลอม (4)***
บทที่ 657 : การสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (1)
”การแข่งขันทักษะเยาวชนในวันนี้ดูเหมือนจะจัดขึ้นในเรือมังกรลองไปดูกันเถอะ”
”คราวนี้ศิษย์ของผู้อาวุโสมู่เจินก็มาด้วย กล่าวกันว่าในบรรดาเยาวชนรุ่นนี้นางเป็นอันดับหนึ่งในด้านการปรุงยา และคาดว่าในภายหน้านางจะกลายเป็นไป๋ฉางเฟิ่งคนที่สอง”
การแข่งขันทักษะเยาวชนงั้นหรือ?
บนถนนไป๋หยานชะงักฝีเท้า นางลูบไล้จิ้งจอกน้อยในอ้อมแขน ปากของนางยกยิ้ม “เจ้าอยากไปหรือไม่ ?”
จิ้งจอกตัวน้อยพยักหน้านัยน์ตากลมโตฉ่ำวาวของเขากระพริบน้อย ๆ เขาจับจ้องมองไป๋หยานด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
ครั้นเห็นสายตาของเขาแล้วหัวใจของไป๋หยานพลันอ่อนยวบ “ตกลง เช่นนั้นเราไปดูกัน บางทีหลงเอ๋ออาจจะชอบความตื่นเต้นเช่นกัน”
อย่างไรก็ตามบางทีอาจเป็นไปได้ว่าหลงเอ๋อจะเข้าร่วมการแข่งขันทักษะเยาวชนนี้ด้วย
จิ้งจอกน้อยเลียมือของไป๋หยานรอยยิ้มที่สดใสปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา กระทั่งทำให้ไป๋หยานนิ่งงัน เมื่อหวนนึกถึงภาพครั้งก่อนนั้นยามที่จิ้งจอกน้อยเพิ่งเกิด
เสียงนุ่มๆ ยังคงจารึกอยู่ในใจของนาง ทำให้นางไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดมา
”ไม่ต้องกังวลนะเฉินเอ๋อแม่จะรักษาเจ้าให้หายให้ได้ !” มือของไป๋หยาน ลูบไล้ขนอันอ่อนนุ่มของจิ้งจอกน้อย “ไม่มีผู้ใดสามารถแยกเราสองแม่ลูกออกจากกันได้”
*****
แม่น้ำหลงเฮออยู่ไม่ไกลจากที่นี่กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยมีมังกรตัวใหญ่อาศัยอยู่ในแม่น้ำหลงเฮอแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้จึงถูกขนานนามว่าแม่น้ำหลงเฮอ
แต่นั่นเป็นเพียงตำนานยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นมังกรจริง ๆ
ชั่วขณะนี้มีอาคารทรงเรือหรูหราตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำที่ทอดยาวภายใต้ท้องอาคารเรือ ผู้คุ้มกันสองคนกำลังตรวจสอบบัตรเชิญของผู้มาเยือน โดยผู้ที่ไม่มีบัตรเชิญก็จะถูกกันออกไป
“เฉินเอ๋อจะเข้าร่วมการแข่งขันทักษะเยาวชนครั้งนี้ได้ เจ้าต้องมีบัตรเชิญถึงจะเข้าไปได้” ไป๋หยานกล่าวพลางลูบคางของตน แววตาของนางเป็นประกาย “เช่นนั้นแม่จะพาเจ้าไปเที่ยวที่อื่นนะ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจหรอก”
เนื่องจากต้องมีบัตรเชิญจึงจะสามารเข้าเรือมังกรเช่นนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่หลงเอ๋อ จะอยู่ในเรือมังกรนี้
ขณะที่ไป๋หยานกำลังจะเปลี่ยนใจนั้นเสียงพึมพำพลันดังมาจากด้านข้าง
”ขายบัตรเชิญเข้าเรือมังกรขายบัตรเชิญเข้าเรือมังกรเพียง 12000 12000 เท่านั้น อย่าได้พลาดโอกาส ไม่มีการโกง แค่ 12000 ท่านก็สามารถรับบัตรเชิญเข้าเรือมังกรได้”
สีหน้าไป๋หยานเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ
นางตามเสียงนั้นไปทันใดนั้นนางก็เห็นชายอ้วนหน้าตาลามกเล็กน้อยในมือของเขามีบัตรเชิญอยู่หลายใบ เขาคอยยิ้มเยื้อนเชื้อเชิญฝูงชน
มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากทว่าไม่มีผู้ใดซื้อบัตรเชิญนั้นเลย ชายอ้วนร้องเรียกจนเสียงแหบเสียงแห้ง หากแต่ก็ยังขายไม่ได้
จิ้งจอกน้อยกระตุกแขนเสื้อไป๋หยานพลางมองบัตรเชิญในมือของชายอ้วน
ไป๋หยานยิ้มอย่างช่วยไม่ได้นางเดินเข้าไปหาก้อนไขมันเดินได้อย่างช้า ๆ ก่อนจะลดเสียงลงเอ่ยถามเขา “บัตรเชิญนี้เป็นของจริงหรือไม่?”
ครั้นเห็นว่าจะสามารถปิดการขายได้แววตาของชายอ้วนพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที เขายิ้มให้ไป๋หยานพลางกล่าวว่า “ข้าซื้อบัตรเชิญนี้มาจากคนอื่น ย่อมเป็นของจริงแน่นอน นอกจากนี้ยังมีชื่อ และแซ่มีแหล่งที่มาให้ตรวจสอบได้”
“อะแฮ่ม”ไป๋หยานกระแอมขึ้นสองครั้ง พลางจ้องมองชื่อบนบัตรเชิญเล็กน้อย “หากข้าใช้บัตรเชิญผู้อื่นเช่นนี้แล้ว จะไม่โดนจับได้หรือ ?”
”แม่นางน้อยเจ้าสามารถมั่นใจได้ทุก ๆ ปีจะมีคนหนุ่มสาวนับไม่ถ้วนมาเข้าร่วมการแข่งขันทักษะเยาวชน พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร หากเจ้าโชคดี ย่อมไม่ถูกจับได้เป็นแน่”
ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้วหากโชคดีก็จะรอดจากการถูกจับได้ นี่คือความหมายที่ชายอ้วนพูด
อย่างไรก็ตามจากบทสนทนาของฝูงชน และถ้อยคำของชายอ้วน ทำให้ไป๋หยานลังเลเล็กน้อย
***จบบทการสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (1)***
บทที่ 658 : การสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (2)
การสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ครั้งนี้ดึงดูดคนหนุ่มสาวจากทั่วทุกมุมโลกให้สามารถมาชุมนุมกันที่นี่แท้จริงแล้วมันคืองานของคนหนุ่มสาวชั้นนำของตำหนักเซียนพยับหมอก เช่นนั้นการสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่นี้ หากเป็นคนที่มีตระกูลสนับสนุนก็สามารถเข้าร่วมได้
ดังนั้นจึงมีตระกูลต่างๆ หลายสิบล้านครัวเรือนที่สามารถมีส่วนร่วมในการสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่นี้ได้
”บัตรเชิญใบละ12,000 เหลี่ยงแพงเกินไป ถ้าสัก 2,000 เหลี่ยง ข้าก็จะซื้อ”
ครั้นได้ยินถ้อยคำของไป๋หยานชายอ้วนก็เกือบจะร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น “พี่สาว ข้าขอเรียกท่านว่าพี่สาวเถอะนะ ? ข้าต้องใช้เงินถึงห้าพันเหลี่ยงเพื่อซื้อบัตรเชิญนี้ ท่านจะให้ข้าแค่สองพันเหลี่ยง ข้าก็ขาดทุนยับสิ”
แม้ว่าห้าพันเหลี่ยงจะถือว่าเป็นจำนวนเล็กน้อยแต่อย่าลืมว่าตระกูลที่เข้าร่วมในงานสัมมนาบางครอบครัวก็เป็นเพียงตระกูลเล็ก ๆ ซึ่งมีเงินทองใช้จ่ายเพียงห้าพันเหลี่ยงต่อปีเท่านั้น
ครั้นเห็นว่าไป๋หยานไม่ได้พูดอะไรต่อชายอ้วนก็หน้าเสีย เขากล่าวว่า “แปดพัน ข้าให้ท่านแปดพันเหลี่ยง จ่ายให้ข้าแล้วบัตรเชิญนี้จะเป็นของท่าน”
ไป๋หยานยังคงนิ่งเงียบ
ชายอ้วนกำลังจะพูดต่อแต่ทันทีที่เห็นผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่รอบนอกเรือมังกรเดินมาพบว่าเขาอยู่ที่นั่น เขาพลันกระโดดตัวลอยขึ้นด้วยความหวาดกลัว พร้อมกันนั้นเขาก็รีบหยิบบัตรเชิญออกมาแล้วยัดใส่มือของไป๋หยาน
”หกพัน…หกพันเหลี่ยงข้าขายให้ท่าน จ่ายเงินข้ามาไว ๆ”
หกพันเหลี่ยงถือว่าลดลงมาเยอะมากแล้ว ไป๋หยานจึงไม่อยากกลั่นแกล้งชายอ้วนคนนี้อีก นางหยิบตั๋วเงินหกพันเหลี่ยงใส่มือของชายอ้วน และเร้นกายหายไปกับฝูงชนทันที
หลังจากที่ชายอ้วนเก็บตั๋วเงินเรียบร้อยเขาก็รีบวิ่งไปทางด้านหลัง หากคนเหล่านั้นจับได้ว่าเขาขายบัตรเชิญ เขาจะต้องถูกซ้อมอย่างหนักเป็นแน่
เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงวิ่งหนีเท่านั้น!
”หนีรอดจนได้ไอ้ลูกไม่มีพ่อนี่” ผู้คุ้มกันโวยวาย
”ช่างเถอะไอ้นั่นวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่าย แต่ข้าเห็นว่ามีหญิงผู้หนึ่งกำลังจะซื้อของจากชายอ้วนคนนั้นด้วยใช่หรือไม่ ?” ผู้คุ้มกันอีกคนตกใจเล็กน้อย และเมื่อกลับมารู้สึกตัว เขาก็ย่นคิ้วเล็กน้อย พลันเขาก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ฝูงชน
น่าเสียดายที่เมื่อครู่พวกเขาเห็นเพียงด้านหลังของหญิงสาวเวลานี้จึงยากมากที่จะหานางพบท่ามกลางฝูงชนมากมายเช่นนี้
*****
หลังจากได้รับบัตรเชิญไป๋หยานก็หามุมสงบนางหยิบผ้าคลุมสีขาวออกมาจากถุงเก็บของ เพื่อใช้ปกปิดใบหน้าของนาง
ที่นี่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ดินแดนที่นางคุ้นเคยนางจำต้องระวังตัว
หลังจากนั้นนางก็ไปที่เรือมังกร เนื่องจากบัตรเชิญนี้ นางจึงเข้าไปในเรือมังกรได้ไม่ยาก
”ดูนั่นสินั่นแม่นางมู่เหลง และผู้ที่อยู่ข้างกายนาง ก็คือคุณชายรองของท่านเจ้าตำหนัก
บนบันไดหญิงสาวในชุดสีน้ำเงินที่สวยงามปรากฏกายขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคน
รูปลักษณ์ของนางไม่ธรรมดาเลยทั้งบริสุทธิ์ สวยงามและเยือกเย็นดวงตาของนางมั่นคงยุติธรรม แสดงความไว้ตัวแต่ไม่เย่อหยิ่ง ส่วนรูปร่างของนางก็ดึงดูดใจยิ่งนัก
ทว่า…
เมื่อเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เหลง ทุกคนต่างก็ถอนหายใจอย่างเย็นชา
ระหว่างคนทั้งสองนี้คนหนึ่งถือเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ในตำหนักเซียนพยับหมอก ส่วนอีกคนแม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายคนรองของเจ้าตำหนัก ทว่าเขาก็จัดอยู่ในจำพวกคุณชายเจ้าสำราญที่ใคร ๆ ต่างก็ดูหมิ่น พวกเขามาสนิทสนมกันได้อย่างไร ?
นี่ไม่ต่างจากดอกไม้บนมูลโคเลย!
คำพูดเหล่านั้นพวกเขาทำได้เพียงพูดในใจเท่านั้นไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมาแม้สักคำ เพราะไม่มีผู้ใดอยากผิดใจกับเจ้าตำหนักน้อยรองของตำหนักเซียนพยับหมอกแน่
***จบบทการสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (2)***
บทที่ 659 : การสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (3)
”แม่นางมู่เหลงข้ามีคำถามบางอย่างเกี่ยวกับการปรุงยา ข้าจะขอคำแนะนำจากเจ้าจะได้หรือไม่ ?”
ชายหนุ่มรีบไปอยู่ข้างๆ มู่เหลง แล้วมองนางด้วยสายตาที่คาดหวัง
เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้นเป็นผู้นำคนที่ยืนเบื่อหน่ายก็ไม่รอช้า รีบเข้าไปล้อมรอบตัวมู่เหลงทันที
”แม่นางมู่เหลงทักษะการปรุงยาของท่านน่าชื่นชมเป็นที่สุด ไม่เพียงแต่เป็นที่หนึ่งในตำหนักเซียนพยับหมอก ข้าเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียบเทียมแม่นางมู่เหลงได้แล้ว”
”เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าได้ออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำนักเวชโอสถพบหลานสาวที่หายตัวไป และสำนักเวชโอสถก็อ้างว่าทักษะการปรุงยาของหญิงผู้นั้นล้ำเลิศที่สุดในโลก ตอนนี้ ข้าล่ะอยากดู หน้ากบในกะลาพวกนั้น คนเหล่านั้นไม่เคยพบแม่นางมู่เหลง เช่นนั้นพวกเขาจึงศรัทธาหญิงผู้นั้นมาก แต่หากพวกเขาได้พบแม่นางมู่เหลงแล้ว พวกเขาจะเข้าใจว่าผู้ใดกันแน่คืออัจฉริยะที่แท้จริง ”
แม้จะเผชิญหน้ากับแรงศรัทธาและการชื่นชมของทุกคน มู่เหลงก็ไม่ได้หยิ่งยโสโอหัง ตลอดเวลาไม่มีความผันผวนทางอารมณ์บนใบหน้าใสสะอาดและสวยงามของนาง ทุกคนที่เห็นจึงยิ่งชื่นชมนางมากขึ้น
ในหมู่คนหนุ่มสาวเหล่านี้ผู้ใดกันจะเฉยเมยกับคำชมเชยมากมายเช่นนี้ได้ ?
ทว่ามู่เหลงกลับทำเช่นนั้นได้!
ดังนั้นการที่นางจะเป็นที่หนึ่งในตำหนักเซียนพยับหมอกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“ข้าต้องขออภัย”มู่เหลงกล่าวพร้อมกับมองผู้คนโดยรอบอย่างรู้สึกผิด “วันนี้เป็นการแข่งขันทักษะเยาวชน ข้าสามารถเลือกตอบคำถามได้สองสามข้อเท่านั้น ข้าเกรงว่า ข้าจะตอบพวกท่านไม่ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ไม่ว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่ควรดูถูกผู้อื่น สิ่งที่พวกท่านพูดกันเมื่อครู่ พวกท่านต้องไม่พูดเช่นนั้นอีก”
ความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักเซียนพยับหมอกกับสำนักเวชโอสถไม่ค่อยดีนักมีความขัดแย้งมากมายระหว่างศิษย์ของสำนักทั้งสอง เช่นนั้นคำพูดของนางจึงทำให้ทุกคนในกลุ่มต่างก็ชื่นชม
ดูสิ…พรสวรรค์ในด้านการปรุงยาของมู่เหลงนั้นสูงส่งมากทว่านางก็ไม่ยโส เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วหลานสาวของเจ้าสำนักเวชโอสถแม้จะไม่ด้อยไปกว่ามู่เหลง หากแต่ก็ไม่อาจเทียบมู่เหลงในเรื่องน้ำใจและจิตใจ
หากเปรียบเทียบสองคนนี้แล้วอีกฝ่ายก็ไม่ต่างจากขยะ
ท่ามกลางฝูงชนไป๋หยานได้ยินบทสนทนาของคนในกลุ่ม นางย่นหน้าผากเล็กน้อย “นี่มันไม่ต่างจากการนินทาต่อหน้าเลยนะ ?”
ทว่านี่มันอะไรกัน
นางเพียงมาเข้าร่วมการแข่งขันทักษะเยาวชนหากแต่เหตุใดจึงมีคนกล่าวถึงนางได้
แม้คนที่นี่จะไม่รู้ว่านางเป็นหลานสาวของไป๋ฉางเฟิ่งก็เถอะ
จิ้งจอกน้อยเลียหลังมือของไป๋หยานเขาชำเลืองสายตาที่สดใสของเขาไปมองมู่เหลงพลันแสงสีแดงราวเลือดก็เปล่งประกายจากก้นบึ้งดวงตา
”เอ๊ะ?”
นัยน์ตาเจ้าชู้ของชายที่ยืนอยู่ข้างกายมู่เหลงพลันเปล่งประกายแวววาวขณะมองเห็นไป๋หยาน
”มีอะไรรึ?” เมื่อนางมองชายที่อยู่ข้างกาย นางพลันเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น ?”
”ไม่มีอะไร”
เหวินซุนฮวนหันกลับมามอง
เขารู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาของหญิงสาวผู้นั้นราวกับว่าเขาเคยพบนางที่ไหนสักแห่ง
อย่างไรก็ตามเขามักจะอยู่ท่ามกลางสาวงามนับพัน ทั้งยังพบเจอหญิงสาวเป็นจำนวนมาก เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขามักจะคุ้นเคยกับหญิงสาว
แม้ว่ามู่เหลงจะไม่กล่าวคำใดเลยแต่เมื่อเห็นท่าทางที่เหวินซุนฮวนจ้องมอง สตรีที่มีผ้าคลุมใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง พลันคิ้วเรียวงามราวใบหลิวของมู่เหลงก็ขมวดเล็กน้อย
ชั่วครู่นางก็คลายคิ้ว ริมฝีปากยกเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ
“สายมากแล้วทุกคนโปรดนั่งประจำที่ของท่าน การแข่งขันทักษะเยาวชนกำลังจะดำเนินขึ้นในอีกไม่นานนี้ ข้าต้องเก็บแรงไว้เพื่อการนั้น ดังนั้นพวกท่านสามารถถามข้าได้เพียงสิบคำถามเท่านั้น”
ฝูงชนเงียบเสียงลงทันทีและทุกคนต่างก็นั่งลง เรือมังกรมีขนาดใหญ่พอที่ทุกคนจะนั่งได้อย่างสบาย ๆ
”แม่นางมู่เหลงข้ามีคำถามจะถามเจ้า … ”
***จบบทการสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (3)***
บทที่ 660 : การสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (4)
เด็กสาวลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่อึดอัดมานาน
มู่เหลงนิ่งงันนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามของเด็กสาว
ใบหน้าของเด็กสาวนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขยามเงยหน้าขึ้นฟังคำตอบของมู่เหลง
แม้ว่าคำตอบของมู่เหลงจะไม่ได้ช่วยอะไรเด็กสาวได้มากนักทว่ามู่เหลงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตำหนักเซียนพยับหมอก เช่นนั้นคำอธิบายของมู่เหลง ย่อมมีความหมายลึกซึ้งกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า ทั้งที่นางใช้ความพยายามเพียงครึ่งหนึ่งของคนอื่นแท้ ๆ
มู่เหลงตอบคำถามแปดข้อต่อเนื่องกัน
ไป๋หยานได้ยินคำตอบของมู่เหลงแล้วนางก็ส่ายศีรษะโดยไม่รู้ตัว
ในบรรดาคำถามทั้งแปดข้อนั้นมู่เหลงตอบถูกต้องเพียงห้าข้อ ทั้งคำถามห้าข้อนี้ก็ง่ายมาก ทว่ากลับฟังซับซ้อนกว่าปกติภายใต้คำอธิบายของนาง
ส่วนอีกสามข้อนางอธิบายผิดทั้งหมดเช่นนั้นเมื่อคนเหล่านี้กลับไปปรุงยาตามกรรมวิธีของนาง ผลที่ได้รับย่อมจะล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ !
ทว่าไป๋หยานก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นนั้นนางจึงไม่ออกมาชี้ปัญหาเหล่านี้
อย่างไรก็ตามนางไม่ต้องการเข้าไปยุ่ง ทั้งก็ไม่มีผู้ใดอยากให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวการตอบปัญหาครั้งนี้ด้วย !
หากแต่เพราะท่าทางของซุนฮวนก่อนหน้านี้มู่เหลงจึงให้ความสนใจกับไป๋หยานมากกว่าผู้อื่น ครั้นเห็นไป๋หยานส่ายศีรษะโดยไม่ตั้งใจ
คำอธิบายของนางพลันหยุดไปชั่วครู่หนึ่งนางหันไปมองไป๋หยานพร้อมรอยยิ้ม “แม่นางท่านนี้ เจ้าคิดว่าคำอธิบายของข้าผิดกระนั้นหรือ? ข้ามู่เหลงที่มิใช่คนหยิ่งผยองไม่ฟังผู้ใด หากท่านไม่พอใจคำตอบ ก็สามารถแย้งได้”
ในความเป็นจริงมู่เหลงเชื่อมั่นในการปรุงยาของตนมาก หากนางพูดเช่นนี้ ย่อมหมายความว่านางกำลังถ่อมตัว
ครู่หนึ่งสายตาของทุกคนพลันหันไปมองไป๋หยาน
”เจ้ามาจากตระกูลไหนเหตุใดถึงแสดงท่าทางไม่สุภาพเช่นนั้น ? เป็นเรื่องยากมากที่จะมีอาจารย์ผู้ทรงความรู้มาอธิบายวิธีการปรุงยาให้กับเจ้า เจ้ากลับไม่ฟังกระนั้นรึ ? เจ้าส่ายศีรษะเช่นนั้นหมายความเยี่ยงไร ?”
”มู่เหลงเป็นที่หนึ่งในตำหนักเซียนพยับหมอกสิ่งที่นางกล่าวย่อมไม่ผิดแน่ ถึงแม้เจ้าจะอิจฉามู่เหลงก็ไม่ควรแสดงออกชัดเจนเช่นนี้ ! มิเช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจะออกจากเรือมังกรนี่ไปซะ !”
แววตาของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเคืองเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจไป๋หยานที่ขัดจังหวะมู่เหลง
นี่เป็นการนินทากันต่อหน้าเป็นครั้งที่สองใช่หรือไม่?
ไป๋หยานผู้ซึ่งกำลังลูบอุ้งเท้าจิ้งจอกน้อยอยู่พลันชะงักชั่วคราวมุมปากของนางยกโค้ง “ที่หนึ่งในตำหนักเซียนพยับหมอก ข้าเคยรู้มาว่าที่หนึ่งในตำหนักเซียนพยับหมอกดูเหมือนจะเป็นเจ้าตำนักน้อยที่ชื่อเหวินหยุนเฟิงมิใช่หรือ ?”
”ฮ่า!” ชายหนุ่มที่เหน็บแนมผู้นั้นหัวเราะขัน “หยุนเฟิงอะไรกัน ? นั่นก็แค่เรื่องของคนรุ่นก่อน ที่หนึ่งของคนรุ่นเราน่ะ คือแม่นางมู่เหลง”
ในความเป็นจริงทุกคนต่างก็รู้ว่า เหตุผลที่มู่เหลงกลายเป็นที่หนึ่งของตำหนักเซียนพยับหมอกได้ก็คือ นางเป็นศิษย์ของมู่เจินในตำหนักเซียนพยับหมอก ตำแหน่งของมู่เจินนั้นสูงส่งมาก นอกจากนี้ในตำหนักเซียนพยับหมอกไม่มีเชื้อสายรุ่นที่สาม เช่นนั้นนางจึงกลายเป็นอันดับหนึ่งในตำหนักเซียนพยับหมอก
ทว่า…
และแม้ว่าในวันหน้าเหวินหยุนเฟิงและเหวินซุนฮวนจะแต่งงานมีลูก มันก็เป็นเรื่องของคนรุ่นต่อไป ไม่มีทางคุกคามตำแหน่งที่หนึ่งของมู่เหลงในยามนี้
”โอ้?” ไป๋หยานยกริมฝีปากยิ้มพลางกล่าวว่า “หากมีลูกนอกสมรสในตำหนักเซียนพยับหมอก ! ตำแหน่งที่หนึ่งจะมั่นคงได้อย่างไร ?”
”แค่ก!”
เมื่อเหวินซุนฮวนได้ยินถ้อยคำของไป๋หยานที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเขาก็กระแอมไอ พลางยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ตัว “แม้ว่าข้าจะมีสัมพันธ์กับสตรีหลายคน ทว่าข้ายังไม่เคยมีลูกกับผู้ใด เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะมีลูกนอกสมรส !”
”มีสัมพันธ์กับสตรีหลายคนแต่ไม่มีทายาทงั้นหรือ?” ไป๋หยานเบี่ยงเบนความสนใจ ใบหน้าของนางยิ้มแย้มมากขึ้น “เช่นนั้นท่านก็ควรตรวจร่างกายบ้าง นั่น…ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ ท่านก็เป็นหมอปรุงยามิใช่หรือ ? เหตุใดท่านไม่ให้นางรักษาให้ล่ะ”
เมื่อคนอื่นอยากหาเรื่องใส่หัวนางนางก็ต้องโยนเรื่องนั้นไปใส่หัวคนอื่น ในเมื่อนางมิใช่ผู้ที่จะยอมให้ใครหาเหามาใส่หัวตัวเองง่าย ๆ
***จบบทการสัมนาแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่ (4)***