บทที่ 107 ศักยภาพอันน่าทึ่ง
บทที่ 107 ศักยภาพอันน่าทึ่ง
“ไม่ต้องอิจฉาริษยากันไป” โจวซานบอกกับทุกคน “การฝึกซ้อมวันนี้ หน่วยที่ทำได้ดีที่สุดจะได้รับซุปเช่นกัน ส่วนหน่วยที่การฝึกฝนล้าหลังที่สุด ก็จะได้กินเพียงแต่อาหารแห้ง หน่วยของพวกเจ้าจะได้กินอะไร ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพที่พวกเจ้าแสดงออกมา!”
ตอนที่ทุกคนได้ฟังมันราวกับมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาสองเท่า พวกเขาคิดอยากฝึกฝนให้มากขึ้น เพื่อจะได้มีอาหารพิเศษทาน
อู๋ฝานลอบนึกนับถือโจวซาน แม้ว่าวิธีการตบหัวแล้วลูบหลังจะเรียบง่าย แต่ก็ได้ประสิทธิภาพอยู่เสมอ มันไม่เพียงจะเป็นการสร้างฐานอำนาจของตนเอง แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทุกคนฝึกซ้อม อย่างไรแล้วยุคสมัยเช่นปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีน้ำซุปให้ดื่มกันได้โดยง่าย
ภายหลังวิดพื้นกันจบสิ้น โจวซานจึงจบการรวมพล ทุกคนต่างไปทานอาหารเช้า ภายใต้สายตาอิจฉาของทุกคนอู๋ฝานและหน่วยของเขารวมตัวด้วยกัน ได้ทานหมั่นโถวพร้อมซดน้ำซุปอย่างอิ่มเอม
หนิวเอ้อคว้าถ้วยขึ้นยกซดหนึ่งอึก หนึ่งอึกนั้นถึงกับหายไปหนึ่งในสามของถ้วย ถัดจากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้น พร้อมพูดออกมาด้วยสีหน้าอิ่มเอม “กลิ่นนี่ ดีเสียจริง!”
ถ้วยซุปยังคงมีกลิ่นหอม รวมกับสายตาอิจฉาริษยาของผู้คนรอบด้าน เขาจึงยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นหอมจากซุปยิ่งเลิศล้ำ สีหน้าจึงอิ่มเอมราวกับมัวเมาไปกับมัน
“เชื่อฟังคำของหัวหน้าเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง” เจิ้งเสี่ยวลิ่วพูดไปพลางยกซุปขึ้นซด
“เห็นด้วย เห็นด้วย” เสียงคนอื่นดังพ้องตอบรับ
“เอาน่า ก็แค่ซุปถ้วยหนึ่งเอง” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ
หากเทียบเปรียบกับคนอื่น ซุปของอู๋ฝานในวันนี้ไม่เพียงดีเยี่ยม แต่ยังมีเนื้ออยู่หลายชิ้น สมควรเป็นรางวัลพิเศษจากโจวซาน เพียงแต่อู๋ฝานไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวเหล่านี้เท่าใดนัก เพราะก่อนจะมาที่นี่ เขาได้ทานบาร์บีคิวไปแล้วไม่ใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้หิวแต่อย่างใด
“หัวหน้า ครอบครัวของท่านร่ำรวยมากมายแล้วกระมัง?” เจิ้งเสี่ยวลิ่วเอ่ยถาม
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?” อู๋ฝานถามกลับ
“ดูสิ เมื่อวานท่านไม่ดื่มซุป แต่ยกให้พวกเรา ขณะนี้ในซุปยังมีเนื้ออยู่หลายชิ้น ท่านกลับไม่ตื่นเต้นยินดีแม้แต่น้อย สถานภาพครอบครัวของท่านย่อมต้องดีกว่าพวกเราอย่างเห็นได้ชัด” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบกลับ
“การสังเกตการณ์ที่ดี” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “ครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวย แต่หากเทียบเปรียบกับสถานการณ์ของพวกคุณแล้ว ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร”
ครอบครัวของอู๋ฝานไม่ได้ร่ำรวยจริง และตัวเขาก็ยังไม่อาจหางานที่มั่นคงทำได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ หากว่าเทียบเปรียบกับพวกเจิ้งเสี่ยวลิ่ว อู๋ฝานจึงมองว่าชีวิตตนเองตอนนี้ค่อนข้างดีเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ยังมีอาหารให้กินอิ่มทุกมื้อ และยังไม่ได้ขาดแคลนเนื้อสัตว์ ขณะที่อีกทางหนึ่ง พวกเจิ้งเสี่ยวลิ่วนั้นเผชิญความยากลำบากมากกว่าอย่างมหาศาล
“ข้าขอเป็นตัวแทนพูดก็แล้วกัน ท่านไม่ใช่คนธรรมดาเช่นพวกเรา แตกต่างไปจากคนขาจมโคลนเช่นพวกเรา” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบกลับ
“รู้แล้ว ขออย่าได้ประจบเอาใจแบบหนิวเอ้อเลย” อู๋ฝานหัวเราะตอบ
“หัวหน้า ข้าไปประจบเอาใจตั้งแต่เมื่อใด” หนิวเอ้อเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
“ถูกต้องแล้ว พวกเราเพียงพูดความจริง หัวหน้า ความรู้สึกที่รับรู้ได้จากตัวท่านนั้นยากอธิบายออกมา แต่ท่านแตกต่างไปจากพวกเรา” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบกลับ
“เป็นอย่างนั้น?” อู๋ฝานไม่ยอมรับออกมา ตัวเขาเป็นผู้เล่นดังนั้นไม่แปลกหากว่าจะแตกต่างไปจากคนอื่น “รีบทานเข้า ภายหลังอิ่มแล้วยังต้องฝึกซ้อม ส่วนที่เหลือนี้แบ่งให้ ผมอิ่มแล้ว”
“ขอบคุณหัวหน้า” ภายหลังพวกเขาได้ทราบว่าสถานภาพครอบครัวของอู๋ฝานค่อนข้างดี ดังนั้นจึงไม่คิดมากมารยาทอีก ทั้งยังยินดีที่ได้แบ่งเนื้อจากถ้วยซุปของอู๋ฝาน เรียกได้ว่าทำเอาบรรดาผู้คนที่รับชมอยู่ใกล้เคียงถึงกับน้ำลายสอ
“ระหว่างการฝึกซ้อม ขอฝึกซ้อมให้ดีเท่าที่ทำได้ ทราบใช่หรือไม่?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“หัวหน้าวางใจได้ พวกเราไม่ใช่คนเกียจคร้าน พวกเรายังคิดอยากได้ซดน้ำซุปทุกมื้ออาหาร” หนิวเอ้อตบหน้าอกตนเองเป็นการรับปาก
“ใช่แล้ว ขอแค่ได้ซดน้ำซุป พวกเราจึงไม่เกียจคร้าน และจะฝึกให้หนักเท่าที่ทำได้” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบรับ
คนอื่นต่างก็รับปากเช่นเดียวกัน
อู๋ฝานพยักหน้ารับ พร้อมกับนึกพึงพอใจกับท่าทีของพวกเขา ที่เขาขอให้ทุกคนฝึกซ้อม ไม่ใช่เพราะห่วงเรื่องน้ำซุปหรือว่าเนื้อสัตว์อะไร แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตนเองควรรับผิดชอบหน้าที่ ทำการฝึกซ้อมอย่างจริงจังตั้งใจ อย่างไรแล้วปัจจุบันก็ไม่ใช่ยุคสมัยที่สงบสุข อีกเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาจะต้องออกเดินทาง และเวลานั้น จะไม่อาจมีผู้ใดทราบได้ว่าจะมีอันตรายใดรอคอยอยู่
ดังนั้นแล้ว ช่วงเวลาที่มีตอนนี้จึงต้องยิ่งจริงจัง เมื่อใดถึงเวลาเมื่อนั้นจะสามารถเอาชีวิตรอดได้
ภายหลังมื้อเช้า โจวซานจึงเรียกรวมพลทุกคนเพื่อฝึกซ้อมอีกครั้งหนึ่ง
เนื้อหาการฝึกซ้อมค่อนข้างเรียบง่าย นั่นคือการถ่วงน้ำหนักวิ่งและจัดระเบียบแถว เห็นได้ชัดว่าโจวซานมีจุดประสงค์ในการฝึกซ้อม
ช่วงเวลาการฝึกซ้อมของพวกเขาแสนสั้น เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ กระทั่งโจวซานเป็นอัจฉริยะในการฝึกซ้อม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนกลุ่มคนที่ไม่เคยรับการฝึกใดมาก่อน จนถึงขนาดได้กลายเป็นสุดยอดทหารในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นในระยะเวลาอันสั้นที่มี เขาจึงต้องรวมคนเหล่านี้เป็นกลุ่มก้อน สร้างแนวคิดรวมเป็นหนึ่งเดียว ขณะเดียวกันยังต้องทำให้เชื่อฟังคำสั่ง ที่ต่อให้ต้องพบเจออันตรายใด ก็จะพร้อมรับมือได้อย่างดีเยี่ยม
แน่นอนว่าโจวซานย่อมไม่ลืมเลือนเรื่องการฝึกซ้อมทักษะการต่อสู้ ทว่าก็เป็นอะไรที่เรียบง่ายที่สุดเช่น การแทง! และการฟัน!
ทุกคนรวมถึงอู๋ฝานต่างได้รับแท่งไม้ในมือ ใช้งานเปรียบดังหอกหรือมีดยักษ์ ฝึกซ้อมทิ่มแทงและสับฟัน ต้องเหวี่ยงไม้อย่างน้อยหนึ่งพันครั้งต่อวัน ทำให้เมื่อถึงเวลาทานอาหารหลายคนถึงกับมือสั่นจนไม่อาจตักอาหารได้
แน่นอนว่าโจวซานไม่คิดผิดคำมั่นที่รับปาก หน่วยที่แสดงศักยภาพได้ดีเยี่ยมที่สุด จะไม่ใช่ได้รับเพียงหมั่นโถวแต่ยังรวมถึงซุปไว้ให้ซด ภายหลังฝึกฝนอย่างเหนื่อยล้าจึงจะได้รับช่วงเวลาอันอิ่มเอมไปกับน้ำซุปร้อนยกซด เสียงต่อว่าที่เคยมีเลือนหาย ผู้คนที่ได้รับรางวัลต่างพึงพอใจกับน้ำซุปพลางได้คิดว่าหากยังรักษาตำแหน่งเอาไว้ต่อเนื่องย่อมได้ซดน้ำซุปอุ่นร้อนในทุกมื้อ บรรดาผู้ซึ่งพลาดโอกาสครั้งนี้จึงลอบสาบานกับตนเอง ว่าครั้งถัดไป พวกเขาจะต้องฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้น เพื่อจะได้รับสิทธิ์ในการซดน้ำซุป
กลุ่มคนจากหน่วยของอู๋ฝานแสดงศักยภาพได้ดี พวกเขาจึงประสบความสำเร็จได้ซดน้ำซุปทั้งช่วงกลางวันและช่วงเย็น โดยเฉพาะอู๋ฝานที่แสดงศักยภาพได้โดดเด่นเจิดจ้าที่สุด
ภายหลังฝึกซ้อมอย่างหนักหนาหนึ่งวัน ทั้งฝึกซ้อมวิ่งถ่วงน้ำหนัก ฝึกจัดระเบียบแถว และทิ่มแทงพร้อมสับฟันหลายพันครั้งต่อวัน บรรดาผู้ฝึกซ้อมจึงเกิดความเหนื่อยล้ายากทานทน ใบหน้าค่อนข้างซีดเผือด มือและเท้าอ่อนเรี่ยวแรง มันเป็นการฝึกที่ทหารเกณฑ์ยากแบกรับได้ไหว จนเมื่อจบสิ้นการฝึกซ้อมหลายคนต่างต้องทิ้งตัวลงกับพื้นไม่อาจขยับเคลื่อนไหว กระทั่งว่าต้องดิ้นรนอยู่นานกว่าจะลุกไปทานมื้อเย็นได้
เพียงแต่ว่าสภาพของอู๋ฝานยังดูผ่อนคลายอย่างน่าเหลือเชื่อ ใบหน้ายังคงเป็นปกติ ลมหายใจไม่ได้เปลี่ยนแปลง ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง ราวกับไม่เป็นอะไรเลยทั้งสิ้น ศักยภาพของเขาไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจให้แก่พลทหารทั้งหลาย แต่ยังทำให้หัวหน้าหน่วยอีกหลายคน รวมถึงหัวหน้ากองร้อย รวมถึงโจวซานต้องลอบนึกทึ่ง
ความเข้มข้นของการฝึกระดับนี้ มันมหาศาลเกินไปสำหรับคนธรรมดา เพียงแต่สำหรับอู๋ฝานในปัจจุบัน มีเพียงรูปลักษณ์ของตัวเขาที่ยังเรียกได้ว่าธรรมดา ขณะที่ศักยภาพทางร่างกายนั้น เป็นอะไรที่คนธรรมดาไม่อาจเทียบเปรียบได้ หากจะมีก็เพียงหลั่งเหงื่อเล็กน้อย ส่วนอาการเหนื่อยล้ายากก้าวเดินมันไม่มีปรากฏให้เห็นแม้วี่แวว
หนิวเอ้อในเวลานี้ยิ่งยอมรับอู๋ฝานจากก้นบึ้ง เขาเชื่อว่าต่อให้ตนเองได้เป็นหัวหน้าหน่วยชั่วคราวในช่วงแรก เมื่อสิ้นสุดการฝึกซ้อมตำแหน่งย่อมตกแก่อู๋ฝานอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะศักยภาพที่อู๋ฝานแสดงออกนั้นยอดเยี่ยมกว่าตัวเขา กระทั่งว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่ามหาศาล ยิ่งกว่าที่ทุกคนในที่นี้จะพึงมีได้เสียด้วยซ้ำ