บทที่ 131 โอ้อวด
บทที่ 131 โอ้อวด
สถานที่ซึ่งคนทั้งสองนัดทานอาหาร ยังคงเป็นคัลเลอร์แมน
เมื่อเข้าร้านคัลเลอร์แมนครั้งนี้ อู๋ฝานมีความในใจเห็นต่างออกไป
เพราะอีกไม่ช้าเขาก็คิดทำร้านอาหารเช่นเดียวกัน และยังจะเป็นการท้าแข่งโดยตรงกับคัลเลอร์แมน ห่างก็เพียงแค่ระยะถนนกั้น ดังนั้นอู๋ฝานจึงค่อนข้างใส่ใจสถานการณ์ของคัลเลอร์แมนไม่น้อย
อู๋ฝานได้พบว่าแม้หลิวอี้เตาออกจากคัลเลอร์แมนแล้ว กิจการของที่นี่ก็ไม่ได้รับผลกระทบใหญ่โตแต่อย่างใด กระทั่งว่ายังคงร้อนแรงเช่นที่เคยเป็น โถงกลางเต็มแน่น แทบไม่มีโต๊ะว่างให้พบเห็น
หวังจื่อหมิงขอนัดอู๋ฝานทานมื้อเย็น เห็นได้ชัดว่าต้องไม่ใช่ที่โถงกลาง อู๋ฝานจึงไปพบกับหวังจื่อหมิงในห้องส่วนตัวชั้นบนอีกครั้งหนึ่ง
“เข้ามานั่งก่อนสิ” หวังจื่อหมิงพบเห็นอู๋ฝานมาแล้ว จึงเชิญอีกฝ่ายนั่ง
ภายในห้องส่วนตัว ยังคงมีเพียงแค่อู๋ฝานกับหวังจื่อหมิง เห็นได้ชัดว่าหวังจื่อหมิงตั้งใจเชิญเฉพาะอู๋ฝานมาร่วมทานอาหารมื้อนี้
“นายน้อยหวังต้องการอะไรจากผมเหรอครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถามทันทีที่นั่งลง
“ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรก็ขอเลี้ยงอาหารสักมื้อไม่ได้เลยหรือไง?” หวังจื่อหมิงหัวเราะตอบ “คุณเพิ่งจบการศึกษามาได้ปีหนึ่งใช่ไหม? ดังนั้นก็น่าจะทราบว่าในสังคมนั้นเส้นสายมีความสำคัญอย่างไร เมื่อไหร่มีเวลาก็ขอให้เข้าหาผู้คนให้มากขึ้น มันจะมีส่วนช่วยได้อย่างแน่นอน”
หวังจื่อหมิงจงใจเอ่ยถึงเรื่องนี้กับอู๋ฝาน
“ขอบคุณนายน้อยหวังที่เป็นห่วงครับ” อู๋ฝานตอบรับ “เพียงแต่ ค่ำคืนนี้ผมยังมีกำหนดการ”
ใจของอู๋ฝานเวลานี้กำลังเต็มแน่นไปด้วยความคิดต่อเงินยี่สิบล้านหยวน แม้ว่าร้านแผงลอยบาร์บีคิวไม่อาจทำเงินได้มากถึงขนาดยี่สิบล้านหยวนก็ตาม แต่มันก็ยังถือเป็นรายได้ แม้ว่าทีละเล็กทีละน้อย อู๋ฝานก็ไม่ต้องการละทิ้งโอกาสการทำเงินไป
“ร้านแผงลอยบาร์บีคิวของคุณหนึ่งคืนมีรายได้เท่าไหร่กัน? ผมจ่ายให้ได้ วันนี้หยุดขายสักวันหนึ่ง” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
“ดูไม่ค่อยเหมาะนะครับ” อู๋ฝานตอบรับ
“บอกตามตรงเลย ผมคิดว่าคุณน่ะแตกต่างไปจากคนอื่น ตลอดมาผมรู้สึกว่าอนาคตจากนี้คุณจะไม่ใช่คนธรรมดาเช่นที่เคยเป็น” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
“ขอบคุณความเชื่อมั่นของนายน้อยหวังแล้ว” อู๋ฝานตอบรับ
“มันไม่ใช่คำเยินยอ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “คนธรรมดาคนหนึ่ง มีหรือจะกล้าเผชิญหน้ากับข่งไห่หลิน? ทั้งยังทำร้ายบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขาได้?”
“นายน้อยหวังทราบอยู่แล้วนี่เอง” อู๋ฝานตอบกลับ
“ผมก็ได้ยินข่าวคราวมาบ้าง” หวังจื่อหมิงตอบรับ “เฟ่ยอวิ๋น บอดี้การ์ดข้างตัวข่งไห่หลิน ถึงกับถูกส่งตัวกลับเมืองหลวงเพื่อทำการรักษา ผมล่ะนึกสงสัยเสียจริง ว่าคุณเป็นใครกันแน่? ขนาดบอดี้การ์ดข้างตัวของข่งไห่หลินยังทำอะไรคุณไม่ได้เลยด้วยซ้ำ?”
หวังจื่อหมิงไม่ได้พูดโกหก เขานึกสงสัยเรื่องนี้อย่างแท้จริง วันนี้ขอนัดทานข้าวกับอู๋ฝานก็เพราะคิดอยากสอบถามเรื่องราวนี้
ก่อนหน้านี้ เขาได้ตรวจสอบทักษะการทำอาหารของอู๋ฝานแล้ว รวมถึงเรื่องการที่ได้กลายเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเจียงโจวอย่างกะทันหัน ก็เป็นอีกเรื่องที่ชวนฉงนใจ ขณะนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่อาจทราบคำตอบ อู๋ฝานถึงกับสามารถทำร้ายบอดี้การ์ดของข่งไห่หลิน อีกฝ่ายไม่ใช่ตัวตนที่คนธรรมดาจะสามารถตอบโต้อะไรได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นยามที่ได้ทราบข่าวคราว เขาจึงไม่อาจอดใจที่จะขอนัดอู๋ฝานทานอาหารเพื่อสอบถาม
“ไม่มีอะไรเลยครับ เพียงแค่ผมมีกำลังมากกว่าอยู่บ้าง” อู๋ฝานตอบกลับราบเรียบ
“มากกว่า? มากกว่าแค่ไหนกัน?” หวังจื่อหมิงเกิดสงสัย
อู๋ฝานมองรอบด้านห้องส่วนตัว พร้อมได้พบว่ามีโต๊ะหินตัวเล็กอยู่ข้างโต๊ะตัวใหญ่ เขาจึงเดินไปและถาม “ถ้าหากโต๊ะตัวนี้พังไป ผมต้องจ่ายหรือเปล่า?”
หวังจื่อหมิงเข้าใจความหมายของอู๋ฝาน “ลองได้เลย หากทำพัง ก็ถือว่าผมผิดเอง”
อู๋ฝานไม่ตอบคำใด แต่เข้าไปใกล้โต๊ะ นั่งยองลง ยกมือขวาขึ้น และกดมันลงเล็กน้อย เป็นการตบโต๊ะด้วยฝ่ามือ
หวังจื่อหมิงมองดูการเคลื่อนไหวของอู๋ฝานด้วยความสงสัย เขาพอคาดเดาได้ว่าอู๋ฝานคิดใช้โต๊ะดังกล่าวพิสูจน์ความแข็งแกร่ง แต่การตบเบาแค่นั้นหมายความถึงอะไร?
เพียงแต่ก่อนหวังจื่อหมิงจะเอ่ยปากถามอะไร เสียง ‘กึก’ ก็ดังขึ้น โต๊ะหินที่หนาและแข็งทันใดกลับแตกร้าว เศษหินกระจายตัวร่วงหล่นกับพื้น เกิดเป็นเสียงดังตกกระทบ
หวังจื่อหมิงที่พบเห็นเรื่องราวเองกับตา ปากถึงกับอ้าค้างด้วยความแตกตื่น สายตาจับจ้องโต๊ะหินที่แตกไปชั่วครู่ สลับกับการมองอู๋ฝาน
“คุณพูดแล้วว่าผมไม่ต้องรับผิดชอบนะ” อู๋ฝานกลับมานั่งตรงข้ามหวังจื่อหมิงอีกครั้งพลางบอก
หวังจื่อหมิงมองอู๋ฝานขณะตอบรับด้วยคำว่า “น่ากลัว”
ขณะนี้หวังจื่อหมิงรู้แล้วว่าทำไมบอดี้การ์ดของข่งไห่หลินถึงพ่ายแพ้ให้กับอู๋ฝาน เพราะพละกำลังของอู๋ฝานที่ชวนสะพรึง ไม่ต้องเอ่ยถึงคนธรรมดาทั่วไป ต่อให้เป็นคนอย่างเฟ่ยอวิ๋นที่ฝึกฝนสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่อาจเทียบได้
“คุณเองก็ฝึกตนงั้นเหรอ?” หวังจื่อหมิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าหวังจื่อหมิงทราบเรื่องของแวดวงที่คนธรรมดาไม่มีทางได้เข้าไปสัมผัส
“ฝึกตน? ไม่ใช่” อู๋ฝานส่ายศีรษะ
อู๋ฝานไม่ได้ฝึกตน ที่ทำก็เพียงเพิ่มเลเวลของตนเองในอีกโลกหนึ่ง
การเพิ่มเลเวล กล่าวไปก็คล้ายกับการฝึกตน เพียงแต่น่าสะพรึงยิ่งกว่า
“ไม่ใช่?” หวังจื่อหมิงมองอู๋ฝานด้วยความสงสัย อีกฝ่ายมีพละกำลังระดับนี้ได้โดยไม่ได้ฝึกตน อย่างนั้นแล้วเขาถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมเทพประทานสวรรค์อวยพรหรือ?
เมื่อนึกถึงข้อมูลที่เคยตรวจสอบเรื่องของอู๋ฝานก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายราวกับมีพื้นเพที่ธรรมดาอย่างสุดขั้ว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับแวดวงการฝึกตน
ทว่า แม้ไม่ได้ฝึกตนด้วยซ้ำแต่กลับมีพละกำลังอันชวนสะพรึงระดับนี้ มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
“ก็ตามนั้นครับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ
ก่อนที่อู๋ฝานจะลงมือเมื่อครู่ เขาได้ครุ่นคิดถึงท่าทีของหวังจื่อหมิงในปัจจุบัน และเรียกได้ว่าอู๋ฝานประสบความสำเร็จดังที่คาด
หวังจื่อหมิงในปัจจุบันมีท่าทีต่อตัวเขาดีขึ้นมาก เพียงแต่ มันเป็นท่าทีของความต้องการทะนุถนอมผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่การปฏิบัติกับเพื่อนที่เสมอเท่าเทียม
แน่นอนว่าอู๋ฝานไม่คิดประหลาดใจ เพราะตัวตนของคนทั้งสองไม่ใช่เท่าเทียม เป็นปกติหากหวังจื่อหมิงจะยังคิดเช่นนั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว อู๋ฝานจึงวางแผนโอ้อวดสักหน่อย เพื่อเพิ่มน้ำหนักของตนเองในใจของหวังจื่อหมิง
เหมือนดังที่หวังจื่อหมิงพูดเอาไว้ก่อนหน้า เส้นสายและความสัมพันธ์คือสิ่งสำคัญ อู๋ฝานได้ประสบการณ์ในสังคมมาถึงหนึ่งปี ดังนั้นย่อมทราบดีว่ามันคือความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง และตัวเขาก็มีความประทับใจอันดีกับหวังจื่อหมิง หากว่าทั้งสองต้องการมีมิตรภาพอันดีต่อกัน ก็ต้องเริ่มด้วยสถานะที่เท่าเทียมต่อกัน
หากไม่แล้ว หวังจื่อหมิงจะให้ค่าอะไรแก่ตัวเขา?
“ไม่แปลกใจที่คุณเอาชนะเฟ่ยอวิ๋นได้ คนที่จะครอบครองพละกำลังอันชวนสะพรึงเช่นนี้ได้ มีไม่มากนักหรอกนะ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
อู๋ฝานเพียงยิ้มรับ ด้วยพรจากอุปกรณ์สวมใส่ทั้งหลาย มันยากที่จะหาคนมาเทียบกับตัวเขาในด้านพละกำลังได้จริง
“เพียงแต่ คุณก็ยังขาดความระวังจนเกินไป” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “อาศัยจากที่ผมรู้จักนิสัยของข่งไห่หลิน เขาไม่ใช่คนที่จะยอมกล้ำกลืนความพ่ายแพ้ เขาจะต้องหาทางลงมือครั้งถัดไปอย่างแน่นอน”
อู๋ฝานครุ่นคิดดีแล้ว ภายหลังได้ทราบความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงของอู๋ฝาน หวังจื่อหมิงจึงยิ่งให้ความสนใจอู๋ฝานมากขึ้น และตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของอู๋ฝานด้วยเช่นกัน
“ผมทราบดี” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ “ผมก็ระมัดระวังอยู่”
“ก็นะ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “ตอนนี้ทานอาหารก่อนก็แล้วกัน ภายหลังมื้อเย็นแล้ว ผมจะพาคุณไปสถานที่เล่นแห่งหนึ่ง”
เดิมทีหวังจื่อหมิงวางแผนไว้ว่าหลังทานเสร็จจึงแยกย้าย แต่เมื่อได้ตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของอู๋ฝาน เขาจึงยิ่งให้ความสนใจแก่อู๋ฝาน ดังนั้นจึงต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับอู๋ฝานให้มากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับมิตรภาพระหว่างกันให้สูงยิ่งขึ้น
เห็นได้ว่าการกระทำของอู๋ฝานเมื่อครู่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย