บทที่ 158 เปิดด้วยราคาสูงเทียมฟ้า
บทที่ 158 เปิดด้วยราคาสูงเทียมฟ้า
ทหารกองทัพกบฏที่เดิมมาเพื่อปล้นสะดมอาหาร ใช่ว่าพวกเขาจะมีวินัยอะไรกันมากนัก เรียกว่าไม่อาจเทียบกับกองพันที่สามแห่งค่ายวิหคได้ พวกเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝน ตอนต่อสู้ก็อาศัยพวกมากเข้ารุม การเผชิญหน้าต่อสู้ตามน้ำนั้นกระทำได้ แต่ยามประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่ลมเปลี่ยนทิศทางขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ไม่ทราบว่าควรต้องทำอย่างไรต่อ
ในอดีตพวกเขามีหยางจื้อหู่คอยออกคำสั่ง และพอทราบสิ่งที่ต้องทำในสนามรบอยู่บ้าง แต่ขณะนี้อีกฝ่ายถูกจับกุมตัวทั้งเป็น พวกเขาจึงไม่ทราบว่าควรต้องตอบโต้เช่นไรไปชั่วขณะหนึ่ง
ต่อมากองทัพกบฏบางส่วนก็ตอบสนองต่อภาพนั้น บ้างทิ้งอาวุธในมือยอมจำนน คุกเข่าร้องขอความเมตตา บ้างก็เผ่นหนีออกไปทั่วทิศทาง ขอเพียงหลบหนีให้พ้นจากที่นี่ก็พอ
ฉากที่คล้ายคลึงกับก่อนหน้าได้เกิดขึ้น เพียงแต่สับเปลี่ยนบทบาทของกลุ่มคน
ทหารทัพกบฏส่วนใหญ่เลือกหลบหนี เพราะพวกเขาทราบดีว่าการกบฏเป็นโทษร้ายแรงหากยอมจำนนถูกจับกุมตัว โอกาสที่จะถูกประหารก็มีสูงลิบ พวกเขาจึงคิดหลบหนีโดยเร็ว เพื่อหาโอกาสรวมตัวกับกลุ่มอื่น เผื่อว่าจะสามารถผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง
สำหรับกลุ่มคนที่หิวโหย คำว่าภักดีไม่ใช่อะไรที่พึงมี พวกเขาต้องการเอาชีวิตรอด ไม่ว่าทำอะไรหรือไปที่ไหนล้วนทำได้ทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วจึงไม่มีใครคิดเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อช่วยหยางจื้อหู่
หยางจื้อหู่เองก็เข้าใจดีเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่ถูกอู๋ฝานจับกุมตัวได้ เขาก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ทั้งร่างเวลานี้จึงสูญสิ้นเรี่ยวแรงที่จะเอาชีวิตรอดไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเองที่โจวซานออกคำสั่งให้จับกุมทหารกองทัพกบฏที่พยายามหลบหนี
แน่นอนว่าเพราะต้องปกป้องเสบียงอาหารด้วยกำลังคนที่มีอย่างจำกัด ขอบเขตการจับกุมจึงไม่อาจกว้างจนเกินไป หากใครหลบหนีไกลแล้วก็ต้องปล่อยทิ้งเสีย
“ทำได้ดีมาก” โจวซานเดินเข้าหาอู๋ฝาน พร้อมกับมองหยางจื้อหู่ที่สิ้นสภาพในกำมือของชายหนุ่ม ก่อนจะตบไหล่เป็นการชมเชย
แม้โจวซานทราบว่าอู๋ฝานเป็นคนมีความสามารถ แต่ในความเห็นของเขา อีกฝ่ายแค่ยืนหยัดค้ำยันศัตรูได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว หาได้นึกคิดไม่ว่าจะไม่เพียงยืนหยัดค้ำยันศัตรูเอาไว้ แต่ยังถึงขนาดสามารถจับเป็นผู้นำของฝ่ายศัตรู มันเกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้มากโข
การกระทำของอู๋ฝาน จึงเป็นต้นเหตุให้กองทัพศัตรูแตกฮือและล้มครืน
ภายหลังสูญเสียอวี่เฟย ค่ายวิหคแทบแตกพ่ายล้มพับ นับเป็นโชคดีที่วิกฤตตอนนั้น มีอู๋ฝานและโจวซานคอยยืนหยัดค้ำยันเอาไว้ได้ ขณะที่กองทัพกบฏหาได้มีคนเช่นเดียวกันปรากฏตัวขึ้นใหม่ การรวมตัวของพวกเขาจึงแตกฮืออย่างไม่มีใครปกป้องเอาไว้ เพียงผู้นำถูกจับกุมตัว ส่วนที่เหลือก็พร้อมแตกกระจาย
“ข้าก็แค่โชคดีขอรับ” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ
ในใจเขามองว่าตนเองโชคดีอยู่บ้างจริง
เมื่อครู่นี้ หากไม่ใช่เพราะหยางจื้อหู่มาท้าประจันซึ่งหน้า ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อู๋ฝานจะจัดการอีกฝ่าย รวมถึงสามารถจับกุมตัวเอาไว้ เพราะตนไม่อาจขยับเคลื่อนไหวออกจากตำแหน่งได้มากนัก และความได้เปรียบที่สุดในปัจจุบันของเขาคือพละกำลัง หากว่าหยางจื้อหู่และอู๋ฝานประชันกำลังกัน ผลลัพธ์ย่อมไม่ต้องคาดเดา แต่หากเป็นวิธีการอื่น คนพ่ายแพ้อาจต้องเป็นฝ่ายชายหนุ่มแล้ว
ภายหลังสะสางสมรภูมิสู้รบ อู๋ฝานและคณะยังไม่ได้ออกเดินทางโดยทันที แต่หยุดอยู่กับที่เพื่อพักฟื้น
แม้ว่าศึกก่อนหน้านี้ไม่ได้ดำเนินนานนัก และสุดท้ายผู้ชนะยังคงเป็นค่ายวิหค เพียงแต่ระหว่างการต่อสู้ โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่ม ค่ายวิหคไร้ซึ่งผู้บังคับบัญชา อวี่เฟยยังเป็นคนแรกที่หลบหนี ทั้งสุดท้ายก็ตกตายสร้างความเสียหายแก่ฝ่ายของตนเอง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตตามมาเป็นจำนวนมาก ขณะนี้ทั้งคณะจึงต้องหยุดพักการเดินทาง เพื่อรักษาแผลและจัดการกับศพของผู้ตาย
หน่วยในกองพันที่สามมีจำนวนผู้เสียชีวิตน้อยที่สุดในค่ายวิหค ระหว่างการฝึกซ้อมก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างเลือกเชื่อฟังคำสั่งของโจวซาน ขณะนี้จึงยิ่งรู้สึกนึกขอบคุณการฝึกซ้อมของอีกฝ่ายขึ้นมา ที่ทำให้กองพันของพวกเขามีผู้เสียชีวิตน้อยกว่ากองพันอื่นอย่างเห็นได้ชัด
รอจนกระทั่งช่วงบ่าย ค่ายวิหคจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
แม้อวี่เฟยจะตายไปแล้ว แต่ภารกิจขนส่งเสบียงยังไม่สิ้นสุด พวกเขาจำเป็นต้องนำส่งเสบียงยังทุ่งราบรกร้างภายในเวลาที่กำหนด หากไม่แล้วก็ต้องถูกโทษทัณฑ์
หากเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ค่ายวิหคมีจำนวนคนลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่มีคนไม่คุ้นหน้าค่าตามากขึ้น พวกเขาเป็นนักโทษที่ถูกจับกุมตัวจากศึกก่อนหน้า ขณะนี้ถูกใช้เป็นแรงงานเพื่อผลักดันรถบรรทุกเสบียง ส่วนคนของค่ายวิหค พวกเขาจะคอยจับอาวุธและออกคำสั่งอยู่ด้านข้าง ทำให้การดำเนินงานปัจจุบันสะดวกขึ้นกว่าก่อนหน้า
เพราะความตายของอวี่เฟย ทั้งค่ายวิหคในเวลานี้จึงอยู่ภายใต้การนำของโจวซาน แม้ว่าหัวหน้ากองพันคนอื่นเห็นต่าง แต่ทหารส่วนใหญ่ไม่มีใครค้าน ในบรรดาหัวหน้ากองพันทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าโจวซานได้รับความนับถือและเชื่อใจจากคนของกองทัพสำรอง เพราะเขาได้แสดงศักยภาพและฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว
ภายหลังทั้งคณะตั้งแคมป์พักแรม อู๋ฝานจึงกลับสู่โลกความเป็นจริง
ชายหนุ่มไม่ได้รีบลุกขึ้นหลังจากตื่น แต่นอนกับเตียงอยู่พักหนึ่ง ภาพการต่อสู้ของอีกโลกยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจของเขา แม้ว่าศึกดำเนินไปไม่นาน แต่ความดุเดือดนั้นรุนแรงยิ่งกว่าศึกปะทะกับมอนสเตอร์เสียอีก อีกทั้งครั้งนี้ตนยังต้องต่อสู้กับคนด้วยกัน ไม่ใช่การสังหารมอนสเตอร์ที่แทบไม่ต้องคิดอะไร ไม่แปลกหากอู๋ฝานจะมีความรู้สึกบางอย่างตกค้างอยู่ในใจ
นอกจากนี้ อู๋ฝานยังเชื่อว่าหากตนไม่ได้อยู่ที่โลกแห่งเกม แต่เป็นที่โลกแห่งความจริง เขาคงไม่อาจแสดงศักยภาพระดับนั้นออกมาได้
สาเหตุหลักก็เพราะเขาทราบดีว่าตนเองยามอยู่ที่นั่นจะไม่มีทางตายได้ ดังนั้นในใจจึงแทบไร้ซึ่งความกังวลและกลัวเกรง มีแต่ความหาญกล้าที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา
ผ่านไประยะหนึ่ง อู๋ฝานก็สงบใจลงได้ สุดท้ายจึงลุกขึ้นเพื่อไปออกกำลังกาย
ในช่วงเช้าชายหนุ่มได้รับสายโทรจากหวังจื่อหมิง อีกฝ่ายเตือนอู๋ฝานไม่ให้ลืมเรื่องงานประมูลในค่ำคืนนี้ โดยที่อีกฝ่ายได้จัดส่งภาพคัดลายมือ [ส่งแขกกลับ] ไปยังโรงประมูลดอกไม้งามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ลองเดาสิ ว่าราคาเริ่มต้นของภาพนั่นมีค่าเท่าไหร่?” หวังจื่อหมิงเผยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจผ่านทางโทรศัพท์
“เท่าไหร่ครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม “สักห้าล้าน?”
“ห้าล้าน? น้อยขนาดนั้นได้ยังไง” หวังจื่อหมิงตอบกลับมา “ลองเดาให้มากกว่านั้นดูหน่อย”
“สิบล้าน?”
“ก็ยังน้อยไป”
“ยี่สิบล้าน?”
“น้อยไป!”
อู๋ฝานถึงกับกลั้นลมหายใจไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงเผยเสียงสั่นเล็กน้อยออกไป “หรือว่าสามสิบล้าน?”
“ใช่แล้ว สามสิบล้าน!” หวังจื่อหมิงตอบรับ น้ำเสียงของเขาดูตื่นเต้นเช่นเดียวกัน “โรงประมูลดอกไม้งามตรวจสอบยืนยันแล้วว่าภาพนั่นเป็นของจริง ราคาเริ่มประมูลทางฝ่ายนั้นก็เป็นคนเสนอมาเอง และทางนี้ก็ตอบรับไปเรียบร้อยแล้ว”
สามสิบล้าน!?
อู๋ฝานที่ได้ยินคำของหวังจื่อหมิงถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ สามสิบล้านหยวน ไม่ใช่แค่สามล้าน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาได้แหวนวิเศษมา ตนยังมีรายได้แค่เดือนละสามพันหยวนเลยด้วยซ้ำ ขณะนี้ถึงขั้นจะได้เงินเกินกว่าสามสิบล้าน มันจะเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาลขนาดไหนกัน?
แน่นอนว่า เขายังต้องแบ่งสัดส่วนมูลค่าประมูลอย่างเท่าเทียมให้หวังจื่อหมิง แม้จะเป็นแบบนั้น เงินหลังแบ่งมันก็ยังเป็นสัดส่วนที่มหาศาลอยู่ดี
“ราคาเริ่มต้นสูงขนาดนั้น การประมูลจะไม่ล่มเอาหรือ?” อู๋ฝานเกิดกังวลขึ้นมา
หากว่าการประมูลล่ม พวกเขาจะไม่ได้รับเงินแม้สักหยวน ทั้งยังจะต้องจ่ายค่าบริหารจัดการแก่โรงประมูล เรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับ
“ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น” น้ำเสียงที่หวังจื่อหมิงตอบกลับก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก “ราคาเริ่มต้นประมูลนี่ทางโรงประมูลเป็นคนเสนอเอง ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาอะไร ภาพคัดลายมือของหลี่ซูจือยังไงก็เป็นที่นิยมในแวดวงนักสะสมอยู่แล้ว ผลงานก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ดีเท่าส่งแขกกลับ ยังประมูลขายไปได้ถึงสี่สิบล้าน มูลค่าประมูลราคาสุดท้ายของภาพคัดลายมือนี่จะต้องสูงกว่านั้นอย่างแน่นอน!”