บทที่ 170 รับสมัคร
บทที่ 170 รับสมัคร
“ให้ผมเป็นหัวหน้าเชฟเหรอครับ?” หลิวอี้เตาชะงัก “แล้วอาจารย์ล่ะครับ?”
ในความคิดของหลิวอี้เตา ร้านนี้มีอู๋ฝานเป็นเจ้าของ และอีกฝ่ายยังมีทักษะการทำอาหารเลิศล้ำ ดังนั้นหัวหน้าเชฟของร้านย่อมต้องไม่ใช่ใครอื่น ทำให้ก่อนหน้านี้เขาคิดไปว่า มันจะเป็นโอกาสที่ได้เริ่มเรียนรู้ทักษะการทำอาหารจากชายหนุ่ม
แต่หลิวอี้เตาไม่คิดว่าอู๋ฝานจะถึงขั้นวางแผนให้เขาเป็นหัวหน้าเชฟ ถ้าอย่างนั้นตัวอีกฝ่ายจะเป็นอะไรล่ะ?
“ผมเหรอครับ?” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “ผมก็ต้องมีงานอื่นทำอยู่แล้ว หรือว่าคุณไม่อยากเป็นหัวหน้าเชฟกันครับ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ! ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” หลิวอี้เตาเร่งร้อนตอบรับ “ผมกลัวว่าลำพังตัวเองจะทำได้ไม่ดีพอ ทักษะการทำอาหารของผมยังไม่ดีเท่าอาจารย์”
“คุณจะทำได้ไม่ดียังไงกันล่ะครับ” อู๋ฝานตอบรับ “คุณเคยเป็นถึงหัวหน้าเชฟของร้านคัลเลอร์แมน ฝีมือการทำอาหารไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย แน่นอนว่าในเมื่อนับถือผมเป็นอาจารย์ ผมก็ต้องสอนทักษะการทำอาหารให้ โดยผมจะใช้ช่วงเวลาที่มีในแต่ละวันสอนให้เลย”
“เป็นแบบนั้นเองเหรอครับ? วิเศษเกินไปแล้ว” พอได้ยินคำของอู๋ฝาน หลิวอี้เตาก็รู้สึกยินดี
“แน่นอนครับ” อู๋ฝานยิ้มตอบ “ผมเองก็คาดหวังให้ฝีมือทำอาหารของคุณก้าวหน้ามากขึ้น ถึงตอนนั้น ร้านนี้ก็จะยิ่งทำกำไรได้มากขึ้นด้วย”
“อาจารย์วางใจได้เลยครับ ผมจะตั้งใจศึกษาอย่างดี ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน” หลิวอี้เตารับปากหนักแน่น
นับตั้งแต่ได้ทราบฝีมือการทำอาหารของอู๋ฝาน หลิวอี้เตาก็คิดอยากจะเรียนรู้จากอีกฝ่ายมาโดยตลอด แต่ก่อนหน้านี้เงื่อนไขค่อนข้างจำกัด ทั้งสองทำได้เพียงขายอาหารในร้านแผงลอยบาร์บีคิวข้างทาง แม้ว่าจะเริ่มสอนไปบ้างแล้ว แต่ขอบเขตที่สอนได้มีค่อนข้างจำกัด
ขณะนี้ได้หวนคืนสู่ห้องครัวอีกครั้ง หลิวอี้เตาย่อมไม่คิดพลาดโอกาสอันดี พร้อมที่จะเรียนรู้อย่างตั้งใจจากชายหนุ่ม
อู๋ฝานพยักหน้ารับ เพราะค่อนข้างพอใจต่อท่าทีตอบรับของหลิวอี้เตา
“แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราคงต้องรับสมัครบริกรกับเชฟคนอื่นก่อน ร้านจำเป็นต้องตกแต่งใหม่ระดับหนึ่งด้วยเหมือนกัน” อู๋ฝานตอบกลับ
ก่อนหน้านี้หลังเถ้าแก่เฉียนวางแผนขายสถานที่ เขาได้เลิกจ้างพนักงานทั้งหมดไปก่อนแล้ว ดังนั้นทั้งร้านนี้จึงเหลือเพียงสองคน คืออู๋ฝานและหลิวอี้เตา เรียกได้ว่ายังมีกำลังไม่พอดำเนินกิจการ
หลิวอี้เตาพยักหน้าตอบรับ “ผมรู้จักเชฟอยู่คนหนึ่ง อาจารย์ ถ้าไว้ใจผม ให้ผมลองชวนเขามาดูดีไหมครับ”
สำหรับแวดวงการทำอาหาร อู๋ฝานถือได้ว่าเป็นมือใหม่เลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่กับหลิวอี้เตา อีกฝ่ายคร่ำหวอดในวงการมาอย่างยาวนาน กระทั่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าเชฟของคัลเลอร์แมน ไม่แปลกหากจะรู้จักเชฟมีฝีมือมากมาย
“ผมเชื่อใจอยู่แล้วสิครับ ถ้าอย่างนั้นฝากคุณรับผิดชอบในส่วนของเชฟด้วยนะครับ เรื่องบริกรให้ผมจัดการเอง” หลิวอี้เตาเป็นฝ่ายอาสาจัดการเรื่องราวให้ อู๋ฝานย่อมยินดี เดิมนั้นเขายังคิดขอให้หลิวอี้เตาช่วยติดต่อเชฟคนอื่นที่รู้จักด้วยซ้ำ อย่างไรห้องครัวของร้านนี้ก็ต้องฝากฝังเอาไว้กับอีกฝ่าย ดังนั้นให้เขาหาคนที่ต้องการร่วมงานมาด้วยตนเอง จึงนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
หลังทานมื้อเย็น ทั้งสองก็แยกย้ายไปจัดการงานส่วนของตนเอง และอู๋ฝานได้คืนเงินห้าแสนหยวนที่หยิบยืมจากหลิวอี้เตาก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อย
หลิวอี้เตาเดินทางไปติดต่อพูดคุยกับเชฟที่รู้จัก ขณะที่อู๋ฝานติดต่อทีมตกแต่งเพื่อเตรียมรีโนเวทร้านใหม่ ส่วนเรื่องการจ้างบริกร คงมีแต่ต้องรอพรุ่งนี้แล้วค่อยไปตลาดแรงงานอีกทีหนึ่ง ปกติแล้ว ตลาดแรงงานมักเปิดทำการในช่วงเช้า ขณะที่ช่วงบ่ายแทบรกร้างผู้คน
เพราะภาพคัดลายมือส่งแขกกลับ ทำให้อู๋ฝานได้รับมาสี่สิบล้านหยวน โดยจ่ายยี่สิบหกล้านเพื่อซื้อร้าน อู๋ฝานยังเหลือเงินสำรองในมืออีกไม่น้อย ดังนั้นค่าตกแต่งร้านใหม่จึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ในเมื่อมีเงินมากพอ การจะจ้างทีมตกแต่งสถานที่ใหม่ซึ่งมีคุณภาพสูงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก อู๋ฝานใช้เวลาหาเพียงไม่นานก็พบ ถัดจากนั้นจึงนัดอีกฝ่ายมาพบเพื่อมาสำรวจร้าน และพูดคุยรายละเอียดแผนการตกแต่งร้านใหม่อยู่พักหนึ่ง โดยอีกฝ่ายรับปากว่าพร้อมจะเริ่มงานในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันถัดมา หลังอู๋ฝานออกกำลังกายเสร็จ เขาก็มุ่งหน้าไปตลาดแรงงาน
ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาก่อนแปดโมงเช้า ยังพอมีเวลาก่อนที่ตลาดแรงงานจะเปิดทำการ แต่ตอนนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันนอกตลาด พวกเขาส่วนใหญ่ต่างมาพร้อมกับแฟ้มแนะนำตัวเองในมือ ซึ่งก็มีทั้งใบหน้าที่กำลังคาดหวัง และตื่นตระหนกเหมือนไม่มั่นใจ
เมื่อมองสีหน้าท่าทีเหล่านี้ อู๋ฝานก็ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่กี่เดือนก่อน เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านี้ ตอนนั้นเขาเหมือนกับคนอื่นที่นี่ ถือแฟ้มแนะนำตัวเองมุ่งหน้ามายังตลาดแรงงานด้วยใจที่เต็มไปด้วยความกังวล และคาดหวังว่าจะหางานที่เหมาะสมพบ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปพร้อมความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปัจจุบันผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน ตัวตนของอู๋ฝานได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนที่กลับมายังตลาดแรงงานอีกครั้งหนึ่ง เขาเปลี่ยนสถานะจากคนหางาน กลายเป็นคนจ้างงานคนหนึ่ง
เมื่อถึงเวลาแปดโมงครึ่ง ตลาดแรงงานก็เปิดทำการ บรรดาผู้คนที่รออยู่ด้านนอกต่างเร่งรีบแห่แหนกันเข้าไป
อู๋ฝานได้ติดต่อหาตลาดแรงงานไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โดยจ่ายเงินส่วนหนึ่งเพื่อซื้อตำแหน่งเช่าบูธที่นี่
แต่หลังอู๋ฝานมาถึงก็ได้ตระหนักว่าตนเองเตรียมการมาไม่ดีพอ เขาไม่ได้เตรียมโปสเตอร์รับสมัคร หรือแม้กระทั่งใบแจ้งรายละเอียดข้อกำหนดความต้องการ อีกทั้งเวลานี้ เขายังมาเพียงคนเดียวโดยไม่มีใครคอยอยู่ให้ความช่วยเหลือ
อู๋ฝานรีบเขียนตำแหน่งงานที่ต้องการจ้าง รวมถึงคุณสมบัติ เงินเดือน และรายละเอียดอื่น ๆ ลงบนบูธซึ่งเช่าเอาไว้ โดยเขาเป็นเพียงคนเดียวที่มาจัดการข้อมูลหน้างาน นับได้ว่าดึงดูดความสนใจของใครหลายคนจนแวะเวียนเข้ามารับชม
แต่ตอนที่เห็นว่าตำแหน่งงานที่อู๋ฝานรับสมัครคือบริกรและแผนกต้อนรับ หลายคนก็แยกย้ายกันไป
หลายคนที่มายังตลาดแรงงาน มักมาพร้อมวุฒิการศึกษาค่อนข้างสูง พวกเขาไม่ยินดีทำงานบริกร โดยเฉพาะกับผู้ที่เพิ่งเรียนจบมาใหม่ ซึ่งขณะนี้ยังมีอัตตาในตัวเปี่ยมล้น สำหรับพวกเขาเหล่านั้นมองว่างานนี้ค่อนข้างมีสถานะต่ำไปบ้าง
แน่นอนว่าก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะหนีหาย เพราะยังมีคนบางส่วนที่ยืนอยู่ต่อ แต่พวกเขาเหล่านี้ย่อมไม่ใช่คนที่มีการศึกษาสูงแต่อย่างใด
อู๋ฝานไม่สนใจเรื่องนั้น เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการผู้ที่มีการศึกษาสูงส่ง เพียงแค่สามารถอ่านออกเขียนได้ แน่นอนว่าถ้าเป็นผู้จัดการร้าน ก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์และระดับการศึกษาอยู่บ้าง เพราะอู๋ฝานต้องการทำให้ร้านของตนเองดีพร้อม
ในแถวมีสามถึงสี่คนต่อรอสัมภาษณ์ พวกเขาเหล่านี้มาสมัครตำแหน่งบริการ ทั้งหมดยังเยาว์วัย และการศึกษาไม่สูงนัก ดังนั้นอู๋ฝานจึงพูดคุยกับพวกเขาตามสบาย ทั้งพวกเขาต่างเห็นพ้องตกลง
อีกทางหนึ่ง อู๋ฝานกำลังคาดหวังกับตำแหน่งผู้จัดการ เพียงแต่ยังไม่มีใครมาสมัคร
อู๋ฝานค่อนข้างให้ความสำคัญกับตำแหน่งดังกล่าว อย่างไรตัวเขาก็ไม่อาจอยู่ที่ร้านตลอดเวลาได้ เมื่อถึงเวลานั้นเรื่องราวในร้านจะต้องถูกส่งต่อไปยังผู้จัดการ ถ้าความสามารถของผู้จัดการไม่ดีมากพอ มันจะส่งผลต่อร้านค่อนข้างมากเลยทีเดียว
“สวัสดีค่ะ ฉันสนใจสมัครตำแหน่งผู้จัดการค่ะ” เสียงหนึ่งที่คมชัดดังกังวานอยู่ในหูของอู๋ฝาน