จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 681-685

ตอนที่ 681-685

บทที่ 681 : ไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (4)
  ”จริงๆ นะ ?” เหอซุ่ยซุ่ยมองมู่เหลงด้วยสายตาเปี่ยมศรัทธา ครั้นนางคิดถึงความสามารถของมู่เหลงแล้ว นางก็ลบคำถามมากมายในใจของนางไปสิ้น “แม่นางมู่เหลง เมื่อเจ้าผ่านระดับเจ็ดได้แล้ว เจ้าอย่าลืมข้านะ”
  ”ไม่ต้องกังวลข้ายึดถือสัจจะเป็นที่สุด หากข้ารับปากแล้ว ข้าก็จะไม่ลืมคำสัญญา ตอนนี้ข้าจะส่งเจ้าไปที่แม่น้ำหลงเฮอก่อน จากนั้นเจ้าก็ต้องจดจำสิ่งที่ข้าบอกกับเจ้าไว้นะ … ”
  นางไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเหอซุ่ยซุ่ยได้เหอซุ่ยซุ่ยต้องถูกคนของตำหนักเซียนพยับหมอกค้นพบ หาไม่พวกเขาก็จะไม่เชื่อนางเพราะทัศนคติที่พวกเขามีต่อนาง
  *****
  ในห้องหนังสือของตระกูลมู่มู่เจินกำลังอ่านหนังสือที่อยู่ในมือ จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตู นางจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เข้ามาได้”
  ”ท่านอาวุโส”
  มู่เหลาเดินผ่านประตูเข้ามาเขาป้องกำปั้นด้วยความเคารพ พลางกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าตามไปปกป้องคุณหนูตามคำสั่งของท่าน หากแต่ข้าได้รับรู้เรื่องบางอย่างมาโดยไม่ตั้งใจ”
  ”เรื่องใด?” มู่เจินขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
  ”ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสจงหนานและจงเป่ยรับศิษย์ใหม่มา… ”
  มู่เจินมือสั่นแววตาของนางเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “ตาเฒ่าสองคนนั่นรับลูกศิษย์ด้วยกระนั้นหรือ ? ข้าคิดว่าหลังจากเวลาผ่านมาหลายปีคนทั้งสองก็ได้ถอดใจไปแล้วเสียอีก”
  “ผู้อาวุโสมู่เจินให้ข้าส่งคนไปสังหารหญิงผู้นั้นจะดีหรือไม่ ?” สายตาของมู่เหลา มีเจตนาร้าย
  ไม่มีการต่อสู้แบบซึ่งหน้าในสภาผู้อาวุโสแต่หากเป็นการลอบกัดแบบลับ ๆ นั้นสามารถทำได้ขอเพียงลงมือโดยไม่มีพยานหลักฐาน
  เมื่อหลายปีก่อนคนของบ้านสกุลมู่โจมตีผู้อาวุโสทั้งสอง ทั้งยังสังหารศิษย์รักคนเดียวของพวกเขาเสียด้วย !
  และเพราะการตายของศิษย์รักทำให้ชายชราทั้งสองท้อแท้ หลายปีที่ผ่านมาความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ทั้งยังทำให้ทั้งสองต้องถอยห่างจากตำแหน่งที่เคยโดดเด่น กระทั่งกลายเป็นอ่อนด้อยที่สุดในสภาอาวุโส !
  ”ฮึ!” มู่เจินหัวเราะน้อย ๆ “คราก่อน ตอนที่เจ้าตำหนักน้อยตกหลุมรักหญิงสาวธรรมดา ๆ นางนั้น ข้าก็พยายามตัดสัมพันธ์คนทั้งสองด้วยวิธีการที่รุนแรงและเด็ดขาด ทว่าตาเฒ่าทั้งสองกลับคอยช่วยเจ้าตำหนักน้อยอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามในฐานะที่ข้าแข็งแกร่งที่สุดในสภาอาวุโส พวกเขาไม่อยู่ในสายตาข้าแม้แต่น้อย !”
  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ไม่ว่าจะซึ่งหน้าหรือลับหลังเพราะหากตาเฒ่าทั้งสองไม่โง่เง่า ข้าก็คงจะทำอะไรพวกเขาไม่ได้ โอกาสที่พวกเขาจะตกจากตำแหน่งที่พวกเขาเคยอยู่ มาเป็นเช่นทุกวันนี้ ก็ย่อมจะไม่เกิดขึ้น”
  ทันทีที่มู่เจินนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานางก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลันนัยน์ตาของนางก็แวววับเย็นยะเยือก
  “อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้าจะสังหารศิษย์ของพวกเขาได้สำเร็จ ทั้งยังทำลายความภาคภูมิใจของพวกเขาลง ทว่าก็ยังยากที่จะกำจัดความเกลียดชังในใจของข้าได้ !” มู่เจินหายใจเข้าช้า ๆ “มู่เหลาข้าอยากให้เจ้าจัดการกับหญิงผู้นั้น ข้าไม่อยากเห็นคนที่เกี่ยวข้องกับตาเฒ่าสองคนนี้มีชีวิตเหลือรอด ! ยิ่งไปกว่านั้น หากครั้งนี้สิ่งล้ำค่าของพวกเขา ซึ่งก็คือศิษย์รักต้องมาตายดับอีกครั้ง แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องหัวใจสลาย !”
  “ได้โปรดอย่ากังวลไปเลยผู้อาวุโส ข้าจะจัดการหญิงผู้นั้นให้สิ้นซากภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ! และจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเป็นฝีมือของบ้านสกุลมู่เรา”
  มู่เจินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ”พี่น้องสกุลจงติดหนี้ข้า ต่อให้ข้าสังหารศิษย์ของพวกเขา นั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ !”
  จะให้สตรีจากตระกูลสามัญธรรมดามาเป็นคู่ครองของเจ้าตำหนักน้อยได้อย่างไร? จงเป่ยกับจงหนานกล้าสนับสนุนนาง ก็สมควรแล้วที่จะถือว่าพวกเขาติดหนี้นางไปตลอดชีวิต !
  *****
  หากเทียบจำนวนประชากรในตำหนักเซียนพยับหมอกกับผู้คนที่อยู่ในดินแดนด้านนอกแล้วย่อมไม่อาจเทียบได้แต่หากกล่าวถึงที่ดิน ที่นี่ก็ไม่น้อยกว่าภายนอกสักเท่าไรนัก
  เพียงทว่า…
  ตระกูลใดที่มีสถานะสูงส่งในตำหนักเซียนพยับหมอกก็จะได้ครอบครองเทือกเขาที่เชื่อมต่อคฤหาสน์เจ้าตำหนักเซียนพยับหมอกออกไปไกลกินพื้นที่หลายร้อยลี้
  ***จบบทไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (4)***

บทที่ 682 : ไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (5)
  ในยามนี้บนภูเขาด้านหลังบ้านสกุลจง
  ไป๋หยานนั่งขัดสมาธินางดึงพลังชี่จาง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ไป๋หยานหายใจเข้า-ออก ลมหายใจของนางลึกขึ้นทีละน้อย
  ”เอ๊ะ! เฉินเอ๋อหายไปที่ใดแล้ว ?” เมื่อไป๋หยานลืมตา นางก็พบว่าจิ้งจอกน้อยหายตัวไป
  ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงเล็กๆ นางลุกขึ้นยืน และต้องการจะตามหาจิ้งจอกน้อย ทันใดนั้นเองมือสังหารที่โหดเหี้ยมก็พุ่งมาจากด้านหลัง ไป๋หยานชะงักทันที
  ”ตายซะเถอะ!”
  ด้านหลังมู่เหลากำลังจ้องมองไป๋หยาน ผู้ซึ่งมีท่าทีงุนงง ทั้งยังยืนนิ่งงัน แววตาของเขายิ่งวาววับด้วยเจตนาสังหารแรงกล้า เขาพุ่งเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า
  หากแต่ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจหรือเหตุบังเอิญเพราะเมื่อมู่เหลาปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าไป๋หยาน นางก็ขยับฝีเท้าของนางไปด้านข้างสองก้าว เพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของมู่เหลา
  ใบหน้าของมู่เหลาตกใจเล็กน้อยหากแต่เขาก็ยังเคลื่อนไหวต่อ สตรีผู้ซึ่งอยู่ต่อหน้าเขา จับทิศทางเขาได้ นางรู้ตัวแล้ว ซ้ำยังมองเขาด้วยสายตาไม่ยี่หระ
  ”เจ้ากำจัดสองคนนั่นที่อาจารย์ส่งมาปกป้องข้าแล้วใช่หรือไม่?” ไป๋หยานเอ่ยปากถามอย่างเฉยเมย
  ”ใช่แล้ว”มู่เหลาขมวดคิ้ว “ข้าเพียงกำจัดพวกเขาให้พ้นทาง หากแต่ไม่ต้องกังวล เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการสังหาร เช่นนั้นพวกเขาจึงปลอดภัย”
  เขาเป็นคนที่มีมาตรฐานในการทำงานเขาจะสังหารเฉพาะผู้ที่ต้องการสังหารส่วนคนอื่น เขาจะไม่แตะต้องแม้ปลายเส้นผม
  “จิ้งจอกน้อยของข้าอยู่ที่ใด”ไป๋หยานถามต่อ
  ”จิ้งจอกน้อยไหนกัน? ข้าไม่เห็น” ชายชราขมวดคิ้วมุ่น พลันเสียงของเขาก็เหมือนกำลังจะหมดความอดทน
  ไป๋หยานโล่งใจดูเหมือนว่าเฉินเอ๋อจะออกไปเล่นสนุก เขาไม่ได้ถูกพาตัวไปไหน เช่นนั้นนางจึงโล่งใจ
  ”เช่นนั้นข้าก็ขอขอบใจ” ริมฝีปากของไป๋หยานโค้งขึ้น นัยน์ตาดำขลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
  ”ว่าไงนะ?”
  ชายชราตกใจขณะมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าตน
  ”ข้าควรจะขอบใจเจ้าที่ช่วยไม่ให้มีผู้ใดติดตามข้า ทำให้ข้าลงมือได้สะดวกขึ้น !” ไป๋หยานก้าวย่างช้า ๆ ไปทางมู่เหลา
  ในเวลาเดียวกัน…
  ความแข็งแกร่งระดับซุ่นเจี่ยของนางก็ไม่ได้ถูกซ่อนเร้นอีกต่อไปรัศมีขนาดใหญ่เปล่งประกายทำให้ทั่วทั้งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา
  มู่เหลาเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัวเขาจ้องสตรีอาภรณ์สีแดงผู้ซึ่งกำลังยิ้ม พลันหัวใจของเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน
  ภายใต้แรงกดดันอันทรงพลังนี้ร่างของเขาสั่นสะท้าน ใบหน้าชราของเขาซีดเผือด
  ”เจ้าอยู่ในระดับซุ่นเจี่ยแล้วหรือนี่?”
  แม้แต่ในตำหนักเซียนพยับหมอกผู้ที่ได้ระดับซุ่นเจี่ยก็ยังนับว่าเป็นผู้ทรงพลังหาใดเทียบในทุกด้าน !
  เมื่อมีพลังในระดับซุ่นเจี่ยก็สามารถถูกเจ้าตำหนักเชื้อเชิญให้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสในสภาอาวุโสได้เลยทีเดียว
  ทว่ายามนี้หญิงสาวผู้นี้คาดไม่ถึงว่านางจะมีพลังระดับซุ่นเจี่ยเลยกระนั้นหรือ ?
  ”หนี!”
  มู่เหลาสูดลมหายใจเย็นคำนี้ปรากฏขึ้นในใจของเขา เขาหันวิ่งหนีไปทางด้านหลังภูเขา
  “เจ้ารู้มากเกินไปแล้วคิดจะหนีกระนั้นรึ ?
  เสียงนี้ราวกับนางปีศาจที่ดังไล่หลังมามู่เหลายิ่งเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง
  เมื่อมองไปบนท้องฟ้าเบื้องหน้าเขาก็เห็นภาพสตรีในอาภรณ์สีแดงยืนอยู่บนอากาศอย่างเงียบสงบ แววตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางมองเขาอย่างเงียบ ๆ ด้วยดวงตาดำสนิทของนาง
  ”แต่หากเจ้าบอกข้าว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องการสังหารข้า บางทีข้าอาจจะยอมให้เจ้ายังมีร่างกายครบถ้วน”
  สำหรับผู้ที่ต้องการชีวิตของนางนางไม่มีวันอ่อนข้อให้แน่ !
  ”ข้าไม่มีวันบอกเจ้า!” มู่เหลากัดฟันพูด
  ”กระนั้นรึ?” ไป๋หยานยิ้มพลางยกมือขึ้น ฟิ้ว เปลวอัคคีเริ่มเผาผลาญมู่เหลา
  ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้มู่เหลาร้องครวญคราง
  ***จบบทไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (5)***

บทที่ 683 ไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (6)
  ”ต่อให้เจ้าเผาข้าข้าก็ไม่พูด !”
  ในกองเพลิงดวงตาของมู่เหลาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดเขากุมฝ่ามือตนเองแน่น
  ไป๋หยานเหลือบมองเขา”งั้นก็แล้วแต่เจ้า !”
  ปัง…
  กำปั้นของไป๋หยานแปรสภาพเป็นกำปั้นยักษ์ขนาดเท่าภูเขาลูกใหญ่พุ่งจากอากาศว่างเปล่า ทุบมู่เหลาผู้ซึ่งไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แม้สักคำ พลันร่างของเขาก็ถูกบดเป็นเนื้อสับภายใต้กำปั้นยักษ์ตายดับทันที
  ”ข้าคงต้องลงมือหนักกว่านี้”
  นางลูบจมูกพลางมองกำปั้นยักษ์ที่สลายไปแล้ว นางเดินช้า ๆ ไปทาง มู่เหลา
  *****
  เมื่อกำปั้นยักษ์ที่เหมือนภูเขาร่วงหล่นลงมามู่เหลารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงโชคดีที่ความเจ็บปวดนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างกายของเขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป
  แต่ครั้นเขาคิดว่าเขาคงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรนัก เขาก็ถูกมือหนึ่งฉีกร่าง
  ความเจ็บปวดลักษณะนี้เจ็บปวดยิ่งเสียกว่าการถูกกำปั้นภูเขาทุบมันเหมือนมีใครบางคนกำลังดึงวิญญาณของเขา ฉีกทึังหัวใจ และปอดของเขาออก
  เมื่อเขาเริ่มชินกับแสงสว่างเบื้องหน้า
  เขาก็พบว่าไป๋หยานกำลังฉีกวิญญาณของเขาจริงๆ
  การค้นพบนี้ทำให้ชายชราหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
  เขาไม่เคยรู้เลยว่าหลังความตายวิญญาณจะสามารถถูกดึงออกจากร่างได้ด้วย ! ไม่มีผู้ใดรู้มาก่อนว่าวิญญาณสามารถถูกแยกออกจากร่างกายได้ใช่หรือไม่ ?
  อีกทั้งการกระทำที่รุนแรงและโหดร้ายเช่นนี้ หากทำอย่างฉับพลันทันทีก็ยังพอทน แต่นี่นางค่อย ๆ ฉีก ทึ้งวิญญานของเขาออกมาทีละน้อย ๆ มันเจ็บปวดทรมานต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนเลยทีเดียว
  ”ตอนนี้เจ้าจะพูดได้หรือยังว่าผู้ใดส่งเจ้ามาสังหารข้า ? มู่เหลงงั้นรึ ?” หลังจากที่ไป๋หยานดึงวิญญาณออกจากร่างของมู่เหลา ในฝ่ามือของนางพลันปรากฏเปลวอัคคีขึ้นอีกครั้ง ทั้งนางยังส่งยิ้มหวานให้มู่เหลาที่อยู่ในอาการงงงัน
  นางปีศาจ!
  คำสองคำนี้ปรากฏขึ้นในใจของมู่เหลา
  หญิงผู้นี้เป็นปีศาจชัดๆ !
  ไม่นางน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก !
  ”ข้า…ข้าพูดแล้ว… ”
  เมื่อวิญญาณสัมผัสกับเปลวอัคคีมู่เหลาก็แตกตื่นตกใจ เขาไม่อาจจะเก็บความลับไว้ได้อีก เขากัดฟันกล่าวว่า “เจ้าเอาเปลวอัคคีไปไกล ๆ ข้าหน่อย แล้วข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง”
  หากเป็นเพียงแค่ร่างกายก็ยังพอจะรับได้ทว่าวิญญาณเป็นจุดอ่อนแอที่สุดสำหรับมนุษย์ หากวิญญาณได้รับบาดเจ็บ ความเจ็บปวดที่ได้รับจะมากกว่าที่เกิดขึ้นกับร่างกายหลายร้อยเท่า
  ”หากเจ้ายอมพูดแต่แรกก็คงไม่เป็นเช่นนี้” ไป๋หยานยิ้ม
  หัวใจของมู่เหลาสั่นไหวก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือความตาย เขาคาดไม่ถึงว่านางจะแข็งแกร่งเพียงนี้
  หากเขาพอรู้มาก่อนเขาคงจะไม่ปากแข็งในตอนแรก
  “ไม่ใช่มู่เหลงที่ส่งข้ามาสังหารเจ้าหากแต่เป็นผู้อาวุโสมู่เจิน”
  ”มู่เจิน?” ไป๋หยานย่นคิ้วเล็กน้อย “ข้าเคยเป็นศัตรูกับนางงั้นหรือ ?”
  ”ไม่…เจ้าไม่เคยมีความบาดหมางกับนางหากแต่เป็นจงหนานกับจงเป่ยที่บาดหมางกับนาง” วิญญาณของมู่เหลาสั่นสะท้าน “นางชื่นชอบเจ้าตำหนักน้อย นางก็เลยอิจฉาหญิงชาวบ้านธรรมดาผู้ที่เจ้าตำหนักน้อยชอบ แล้วตาเฒ่าทั้งสองกลับส่งเสริมหญิงผู้นั้น นางก็เลย…”
  “…..”
  ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ”หากข้าจำไม่ผิด อายุของมู่เจิน ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่ของเจ้าตำหนักน้อยได้เลยมิใช่เหรอ ?”
  นางไม่ได้เหยียดหยามความรักต่างวัยเพราะในดินแดนภายนอกก็มีคู่รักต่างวัยหลายสิบปีอยู่
  ทว่า…
  การที่มู่เจินรักเขาข้างเดียวแล้วใช้เหตุผลนี้ไปอิจฉาสตรีที่เจ้าตำหนักน้อยชอบได้ยังไง ?
  “ใช่…น่าเสียดายที่เจ้าตำหนักน้อยของเราไม่อาจจะเลือกสตรีที่เขารักได้”
  ”แล้วมู่เจินสามารถบังคับให้เหวินหยุนเฟิงแต่งงานกับนางได้งั้นหรื?” ถามไป๋หยานเลิกคิ้ว
  “ไม่ใช่ผู้อาวุโสมู่เจินหากแต่เป็นเทพธิดาจากแดนสวรรค์”
  เมื่อพูดถึงเทพธิดาวิญญาณชราภาพพลันเปลี่ยนแปลงไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา “เทพธิดาองค์นั้นไม่เพียงแต่มาจากแดนสวรรค์ นางยังมีตำแหน่งสูงในแดนสวรรค์อีกด้วย” เจ้ารู้หรือไม่ว่าการต่อสู้ระหว่างเทพสวรรค์และอสูรเมื่อหลายพันปีก่อน กล่าวกันว่าสาเหตุของสงครามระหว่างเทพสวรรค์และอสูร ก็คือ ทั้งราชาเทพสวรรค์และราชาอสูรต่างก็รักสตรีคนเดียวกัน”
  ***จบบทไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (6)***

บทที่ 684 : ไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (7)
  นัยน์ตาไป๋หยานเคร่งเครียด
  ราชาอสูรหมายถึงตี้คังเช่นนั้นราชาเทพสวรรค์คือผู้ใด ?
  ทันใดนั้นเองไป๋หยานก็นึกถึงชายชุดขาว ภาพที่นางเห็นยามเข้าไปในสนามรบ
  หรือว่าชายผู้นั้นในภาพนิมิตของนางคือราชาเทพสวรรค์ที่มู่เหลากล่าวถึงกระนั้นรึ ?
  ”เทพธิดาองค์นี้เกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างเทพและอสูรอย่างไร ?”
  ”เจ้าไม่ทราบหรือว่าเทพธิดามิได้เป็นเพียงเจ้านายของสัตว์เทพอสูรทั้งสี่เท่านั้น ทว่านางยังเป็นสตรีที่ทั้งราชาอสูร และราชาเทพสวรรค์รักด้วย หากแต่เทพธิดาบอกว่าทั้งหมดเป็นความคิดปรารถนาของราชาอสูร และราชาเทพสวรรค์ เทพธิดามิได้ชื่นชอบบุรุษทั้งสอง นางต้องการเพียงแต่งงานและมีลูกกับชายธรรมดา ๆ และผู้ที่นางชื่นชอบก็คือเจ้าตำหนักน้อย !
  ไป๋หยานสับสน…
  ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกก็แผ่กระจายจากนัยน์ตาเย็นชาของนาง
  เจ้านายของสัตว์เทพอสูรทั้งสี่ตามที่วิหคอัคคีกล่าว
  สัตว์เทพอสูรทั้งสี่เป็นของนาง
  เช่นนั้นแสดงว่านางถูกหญิงผู้นั้นแอบอ้างชื่อใช่หรือไม่ปลอมเป็นนางเพื่อแย่งผู้ชายงั้นรึ ?
  ครั้นรับรู้ถึงความเย็นยะเยือกของไป๋หยานมู่เหลาถึงกับหดร่าง เขาสงสัยว่าเขาพูดอะไรผิด
  ”พูดต่อสิ”ไป๋หยานเม้มปาก
  เมื่อเห็นว่าไป๋หยานไม่ได้โกรธมู่เหลาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นเมื่อเจ้าตำหนักส่งคนไปตามหาเจ้าตำหนักน้อย เขาก็ได้รับข่าวจากอาวุโสมู่เจินว่า เจ้าตำหนักน้อยมีหญิงสาวที่เขาชอบแล้ว นางจึงเสนอตัวจะแก้ปัญหาหญิงผู้นั้นให้ หากแต่ก็ถูกผู้อาวุโสจงหนานและจงเป่ยท้วงติง นอกจากนี้พวกเขายังขอนางไม่ให้ทำร้ายหญิงผู้นั้นอีกด้วย”
  ”ด้วยเหตุนี้มู่เจินจึงไม่พอใจอาจารย์ทั้งสองของข้า” ไป๋หยานหรี่ตา แววตานางวาววับด้วยแสงเย็นยะเยือก
  “มิใช่แค่นั้นเจ้าตำหนักเริ่มสงสัยในตัวมู่เจิน เช่นนั้นเขาจึงส่งจงหนานและจงเป่ยไปที่ดินแดนใหญ่ภายนอก เพื่อไปนำตัวเจ้าตำหนักน้อยกลับมา ด้วยเหตุนี้ มู่เจินจึงโกรธ ทว่าก็ไม่อาจทำอะไรได้”
  ครั้นได้ยินเช่นนี้ไป๋หยานก็กระพริบตา “ด้วยนิสัยของมู่เจิน นางไม่มีวันรามือง่าย ๆ ใช่หรือไม่ ?”
  ”ไม่แน่นอนเช่นนั้นผู้อาวุโสมู่เจินจึงส่งคนของนางไปสังหารหญิงสาวอย่างลับ ๆ หากแต่เพราะเจ้าตำหนักน้อยปิดบังฐานะของตนตอนที่ติดต่อกับหญิงสาวผู้นั้น เช่นนั้นผู้อาวุโสจึงบอกเจ้าตำหนักน้อยว่าหญิงผู้นั้นไม่ชอบคนจน นางต้องการคนรวย ดังนั้นนางจึงเลือกคนอื่นไปแล้ว”
  มู่เหลาเห็นความโหดร้ายของไป๋หยานแล้วจึงไม่กล้าปกปิดสิ่งใด เขาบอก ไป๋หยานทั้งหมดที่เขารู้
  มู่เหลาไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยทว่าในฐานะคนสนิททำให้เขารับรู้หลายเรื่อง เนื่องจากเขาไม่ได้เข้าร่วม เขาจึงไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ของไป๋หยานนั้นคล้ายคลึงกับหญิงสาวผู้นั้นมาก
  ”ที่อาจารย์ข้าได้รับบาดเจ็บนั้นก็เป็นฝีมือของนางใช่หรือไม่ ?”
  ไป๋หยานไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนจะถามต่อ
  ด้วยสายตาของนางเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็นบาดแผลของอาจารย์ทั้งสอง ยิ่งไปกว่านั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาก็หยุดอยู่เพียงระดับกลาง ทั้งไม่อาจก้าวหน้าได้อีก
  ”ใช่”มู่เหลากล่าว “ก่อนหน้านี้ จงหนานและจงเป่ยนับเป็นผู้อาวุโสคนแรก ๆ ที่เข้าถึงระดับกลางของระดับซุ่นเจี่ย และทั้งสองก็เก่งที่สุดในสภาอาวุโส อย่างไรก็ตามทั้งสองก็ไม่เคยระแวดระแวงผู้อื่นเลย เช่นนั้นจึงถูกผู้อาวุโสมู่เจินลอบทำร้าย ผลก็คือในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่อาจก้าวหน้า ทว่าในทางกลับกันผู้อาวุโสมู่เจินกลับเข้าถึงระดับสูงของซุ่นเจี่ย”
  ไป๋หยานหรี่ตาลงเล็กน้อยพลันประกายแสงเย็นๆ ก็วาววับจากดวงตาของนาง “ถ้าเช่นนั้นไยนางถึงอยากสังหารข้า หรือเพียงเพราะข้านับถือพวกท่านทั้งสองเป็นอาจารย์ ?”
  ”ในใจของผู้อาวุโสมู่เจินสองพี่น้องตระกูลจงติดหนี้นางมากเหลือเกิน และต้องชดใช้นางด้วยความอ้างว้างชั่วชีวิต เช่นนั้นข้าจึงได้รับคำสั่งให้สังหารลูกศิษย์ที่รักของพี่น้องตระกูลจงให้หมด”
  ไป๋หยานสูดลมหายใจเข้าลึกขณะหันไปมองมู่เหลา “ข้าจะไม่ส่งวิญญาณของเจ้าลงนรก ถือว่าเป็นของขวัญที่เจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟัง”
  ***จบบทไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (7)***

บทที่ 685 : ไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (8)
  ในใจของมู่เหลากำลังคิดจะขอบใจ หากแต่เขาก็เห็นไป๋หยานดีดนิ้ว ทันใดนั้นเองวิญญาณของเขาก็ถูกแรงดึงดูด กระทั่งเขาถอยวูบออกไป
  เมื่อเขากลับมารู้สึกตัวเขาก็พบว่าวิญญาณถูกกักขังอยู่ในร่างของตนเองแล้ว
  ”เจ้าจะทำอะไรข้า?” มู่เหลาโมโห เขาต้องการไถ่ถาม หากแต่กลับพบว่าเขาไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ได้
  หลังจากตายไปสักช่วงระยะเวลาหนึ่งวิญญาณก็จะออกจากร่างเอง จากนั้นก็จะกลายเป็นดวงวิญญาณ เพื่อการเกิดใหม่
  ทว่าตอนนี้…
  มู่เหลารู้สึกได้ชัดเจนว่าวิญญาณของเขาถูกกักขังไม่สามารถแยกออกจากร่างกายของเขาได้
  ”ข้าสัญญาเพียงว่าจะไม่ส่งเจ้าลงนรกหากแต่ข้าไม่ได้บอกนี่ว่า ข้าจะปล่อยเจ้าไป เจ้าทำสิ่งชั่วร้ายมามากมาย ยังอยากจะเกิดใหม่อีกกระนั้นรึ ?” ไป๋หยานกล่าวเยาะ พลางยกริมฝีปากของนางหัวเราะหยัน
  เดิมทีนางพยายามติดตามสองพี่น้องสกุลจงก็เพื่อให้ช่วยค้นหาหลงเอ๋อ และการที่นางเข้ามาในตำหนักเซียนพยับหมอกก็เพื่อค้นหาเมล็ดองุ่นเลือด
  ทว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางรู้สึกได้ถึงความจริงใจของอาจารย์ทั้งสอง
  นางเป็นมนุษย์มิใช่สัตว์เดรัจฉานผู้ใดดีกับนาง นางย่อมรู้ ! และนั่นคือเหตุผลที่นางทนไม่ได้ หากมีคนคิดทำร้ายสองพี่น้องสกุลจง
  ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดแม้แต่นางสารเลวมู่เจินนั่น!
  ”เอ๊ะ?”
  ทันใดนั้นเองไป๋หยานก็รับรู้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยมาจากระยะไกล ๆ นางขมวดคิ้ว แววตาของนางส่องประกายอยู่สองสามครั้ง นางรีบล้มตัวลงนอนบนพื้นแกล้งตาย
  เพียงไม่นานกลิ่นอายที่คุ้นเคยทั้งสองพลันปรากฏขึ้น
  จงหนานเพิกเฉยต่อร่างของมู่เหลาที่ถูกทุบจนเละเป็นเนื้อบดใกล้ๆ เขามองไป๋หยานผู้ซึ่งอยู่ในอาการโคม่าบนพื้น พลันใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว เขารีบวิ่งเข้าไปหานางอย่างรวดเร็ว “ลูกศิษย์ข้า !”
  จงเป่ยเองก็มาถึงแล้วและเมื่อพวกเขาได้เห็นใบหน้าซีดขาว ความโกรธของพวกเขาก็พวยพุ่งขึ้น แววตาพวกเขาก็เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
  ยกโทษให้ไม่ได้ผู้ใดกันที่กล้าทำร้ายคนในบ้านสกุลจง !
  ”อ๊ะ?”
  เมื่อสมควรแก่เวลาไป๋หยานก็ลืมตาขึ้น แววตาของนางแลดูสับสนขณะเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์เกิดอะไรขึ้น ?”
  ครั้นเห็นไป๋หยานฟื้นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของจงหนานก็ค่อย ๆ สงบลง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข “ศิษย์ข้าเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? ข้าเห็นคนที่ข้าส่งมาปกป้องเจ้านอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ข้าเกรงว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นข้าจึงรีบมาหาเจ้า เจ้าเล่าให้อาจารย์ฟังทีสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ?
  ”ท่านอาจารย์ข้าเองก็ไม่รู้ เมื่อครู่ข้ากำลังฝึกวิชา จู่ ๆ ชายผู้นี้ก็จู่โจมข้า ทำให้ข้าหมดสติไปทันที จากนั้นข้าก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีก”
  ไป๋หยานหลุบตาลงนึกขอโทษอาจารย์ทั้งสองในใจ
  ตอนนี้นางไม่สามารถให้ผู้ใดรู้ถึงความแข็งแกร่งของนางได้นางทำได้เพียงปิดบังพวกเขาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม นางจะหาโอกาสชดใช้ให้พวกเขาเอง
  จงหนานหันไปมองศพที่อยู่ข้างหลังเขาพลันแววตาของเขาก็เย็นชา “มู่เหลา ! ข้ารู้จักเจ้าสุนัขตัวนี้ดี แม้ว่าตอนนี้เขาแทบจะดูไม่เหมือนเดิมเลยก็ตาม !”
  ก่อนนั้นคนพวกนี้ทำร้ายพวกเขา ! และสังหารศิษย์เพียงคนเดียวของเขา ! นั่นทำให้เขาทนทุกข์ทรมาน แต่เมื่อไม่มีหลักฐาน พวกเขาก็ทำได้เพียงเก็บความเคียดแค้นนี้ไว้ในใจเท่านั้น
  เช่นนั้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาจึงไม่กล้ารับศิษย์อีกเลย ไม่เพียงเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาที่ไม่สามารถพัฒนาได้เท่านั้น หากแต่เป็นเพราะพวกเขาท้อแท้ด้วย
  ไม่คาดคิดวันนี้มู่เจินก็จะไม่ยอมปล่อยลูกศิษย์คนใหม่ของเขาด้วย !
  ”กลิ่นอายซุ่นเจี่ยเมื่อครู่นี้ต้องมีใครบางคนที่มีพละกำลังระดับซุ่นเจี่ยผ่านมา และช่วยหยานเอ๋อให้รอดปลอดภัย” จงเป่ยกล่าว หลังจากหยุดคิดอยู่นาน
  จงหนานรู้สึกว่าหากในตอนนั้น ไม่มีผู้อยู่ในระดับซุ่นเจี่ยผ่านมา ศิษย์รักของพวกเขาก็คงต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
  ”พี่ชาย”จงเป่ยหันไปหาจงหนาน “ข้าทนไม่ไหวแล้ว หญิงชรานางนั้นเจ้าเล่ห์นัก ! ยิ่งเราอดทนนางก็ยิ่งทะเยอทะยาน !”
  ***จบบทไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้า (8)***

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท