บทที่ 176 ทัพไล่ล่าตามทัน
บทที่ 176 ทัพไล่ล่าตามทัน
หลังหลบหนีอยู่ครึ่งวัน อู๋ฝานก็หยุดรถลาก เพื่อให้ม้าได้พักสักระยะหนึ่ง พวกมันคือม้าสำหรับใช้ในการบรรทุกลากขนส่งเสบียง มีความเร็วและความอึดค่อนข้างธรรมดา ดังนั้นการเคี่ยวเข็ญม้าใช้งานเป็นเวลานานจึงไม่เหมาะสม
“ลงมาพักกันสักระยะก่อน” อู๋ฝานบอกกับกลุ่มคนบนรถลาก “เสี่ยวลิ่ว คอยเฝ้าระวังเอาไว้ หนิวเอ้อ ไปให้หญ้าพวกม้า หวังปิง ไปตรวจสอบรอบด้าน ดูว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน”
อู๋ฝานเร่งรีบจัดแจงกระจายงานแก่คนในหน่วย ก่อนพวกเขาจะเริ่มออกวิ่งไปตามคำสั่ง ชายหนุ่มในตอนนี้ไม่เพียงสูญเสียการติดต่อกับกองกำลังหลัก แต่ยังหลงทาง ไม่ทราบแม้กระทั่งว่าตอนนี้หลบหนีมายังที่ใด
อู๋ฝานนั่งบนรถลากพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา
รายละเอียดจากทางแนวหน้า อู๋ฝานไม่ทราบแน่ชัด ไม่ว่าจะเขาหรือโจวซาน ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทราบได้ แต่กองทัพประจำการได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถูกบดขยี้พ่ายแพ้ เรื่องนี้ไม่มีผิดพลาด
อู๋ฝานกำลังคิดว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบอะไรแก่พวกตนเองบ้าง
เดิมอู๋ฝานมีระยะเวลาเข้ารับใช้กองทัพราวสามเดือน ระหว่างนั้นจำเป็นต้องคอยเดินทางไปมาเพื่อขนส่งเสบียงแก่กองทัพประจำการในทุ่งรกร้าง เพื่อใช้สำหรับการดำรงชีพในแต่ละวัน
แต่ปัจจุบันกองทัพที่ตรงนั้นได้แตกพ่าย อีกทั้งยังเป็นความพ่ายแพ้อันชวนอนาถ จนเป็นเหตุให้ต้องเร่งร้อนถอนตัวออกจากทุ่งราบรกร้าง หมายความว่าอู๋ฝานและคณะไม่จำเป็นต้องขนส่งเสบียงไปยังสถานที่ดังกล่าวอีกแล้ว
ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่แน่ชัด หากทางราชสำนักไม่พอใจกับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ และส่งกองทัพไปยังทุ่งราบรกร้างอีกครั้งเพื่อโจมตีคนของโลกอสูร ถึงเวลานั้น ภารกิจขนส่งเสบียงและหญ้าของอู๋ฝานก็จะไม่ได้หายไปไหน เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะยังต้องดำเนินงานเดิมต่อ
หากทางราชสำนักไม่ส่งกำลังทหารไปยังทุ่งราบรกร้างต่อ เช่นนั้นอู๋ฝานและกองทัพประจำการก็สมควรเสร็จสิ้นภารกิจ เดิมการรับใช้กองทัพไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัว เพียงแต่กำหนดเดิมคือสามเดือน ขณะนี้มันอาจยืดขยายหรือลดน้อยลงตามแต่สถานการณ์ ดังนั้นชายหนุ่มและคณะอาจถึงจุดสิ้นสุดการรับใช้กองทัพก็เป็นไปได้
ขณะกำลังครุ่นคิด อู๋ฝานก็คาดหวังให้ทางราชสำนักไม่คิดเร่งรีบส่งกำลังทหารกลับไปยังทุ่งราบรกร้าง ให้เวลากองทัพสำรองเช่นพวกเขาได้พักชั่วคราว เขาจะได้มีเวลากลับไปยังหมู่บ้านเร้นลับ เพื่อดูพืชผลที่เพาะปลูกเอาไว้ในฟาร์มก่อนหน้านี้
ทว่าอู๋ฝานรู้สึกได้ว่าสถานการณ์จะไม่ใช่ดังเช่นที่คาดคิด
ครั้งนี้กองทัพจากราชสำนักพ่ายแพ้ ไม่ว่าจักรพรรดิหรือราชสำนัก กระทั่งขุนพลหลี่เอง พวกเขาย่อมไม่มีทางสบายใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งยังไม่มีทางประนีประนอม และจะส่งกองทัพมาอีกครั้งเพื่อโจมตีคนของโลกอสูรเป็นการล้างแค้น โดยจะส่งกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมมาอีกครั้ง
“เฮ้อ หวังว่าองค์จักรพรรดิอะไรนั่นจะไม่กระหายสงครามส่งกำลังทหารเพิ่มนะ” อู๋ฝานพึมพำอยู่ในใจ
ขณะนี้เองที่หวังปิงซึ่งรับผิดชอบออกไปตรวจสอบสถานการณ์รอบด้านกลับมาถึง
“หัวหน้า ตรงนี้ไม่ใช่เส้นทางที่พวกเราใช้เดินทางมา น่าจะเป็นทางตะวันตกเฉียงใต้ของทุ่งราบรกร้าง ขณะที่เทศมณฑลชิงหยวนอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทุ่งราบรกร้าง” หวังปิงกล่าวบอก
หวังปิงเป็นคนในหน่วยของอู๋ฝาน อายุเท่าหนิวเอ้อ ทว่าครอบครัวค่อนข้างข้นแค้น บ่อยครั้งต้องขึ้นเขาไปขุดหาผักป่ากิน ดังนั้นจึงมีความรู้เรื่องทิศทางเป็นอย่างดี และจากการสำรวจตรวจสอบสภาพแวดล้อม ก็พอคาดเดาทิศทางที่พวกเขาเดินทางมาได้ แทบจะเปรียบได้ดังกับเข็มทิศมีชีวิต
“งั้นพวกเราก็มาผิดทางหรือ?” อู๋ฝานพึมพำ
จริง ๆ แล้วตอนที่กำลังสำรวจมองรอบด้าน เขาก็พบว่ามันแตกต่างจากสถานที่ที่เคยมา ทราบดีว่ามาผิดทาง แต่เวลานั้นเขาคิดเพียงแค่ต้องหาทางหลบหนีจากศัตรูที่ตามไล่หลัง ส่วนรายละเอียดการหลบหนีว่าจะไปที่ใดนั้น มันไม่ใช่ปัจจัยที่สามารถคิดถึงได้แม้แต่น้อย
หวังปิงพยักหน้าตอบรับ
อู๋ฝานตอบคำกลับ “ไม่เป็นไร อีกสักครู่พวกเราค่อยเริ่มเปลี่ยนทิศทางกัน ตอนนี้ไม่มีคนตามล่าไล่หลังพวกเราแล้ว ดังนั้นไม่ต้องร้อนรนหรือว่าแตกตื่นอะไร”
ทว่าหลังสิ้นคำของอู๋ฝาน เขากลับได้เห็นเจิ้งเสี่ยวลิ่วเร่งร้อนกลับมาด้วยอาการตื่นตระหนก
“หัวหน้า ไม่ดีแล้ว มีกองทหารม้าตามหลังพวกเรามา!” เจิ้งเสี่ยวลิ่วเร่งร้อนบอกอย่างตื่นตระหนก
“กองทหารม้า? ทราบตัวตนของพวกเขาหรือไม่? เป็นคนของพวกเรา หรือว่าคนของโลกอสูร” อู๋ฝานเร่งร้อนถาม
“ข้าเห็นไม่ชัด แต่พวกมันไม่ได้ใส่ชุดแบบกองทัพของพวกเรา น่าจะเป็นคนจากโลกอสูร” เจิ้งเสี่ยวลิ่วกล่าวตอบ
กลุ่มคนที่รับฟังถึงกับสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด สีหน้าเริ่มซีดขาว กระทั่งอู๋ฝานยังต้องขมวดคิ้ว
ทางมาที่นี่เป็นถนนสายเดียว ทั้งสองข้างทางเป็นภูเขา หากว่ายังเดินทางมาต่อ ด้วยความเร็วม้าของพวกเขา ก็เป็นไปได้ว่ากองทหารม้าด้านหลังจะตามได้ทัน และหากละทิ้งรถลากเพื่อหลบหนีขึ้นภูเขา ต่อให้ไม่คิดเรื่องศัตรูสามารถไล่ตามขึ้นไปได้หรือไม่ แค่ลำพังตัวภูเขาก็มีอันตรายรอบด้านแล้ว อีกทั้งพวกเขายังไม่ทราบว่าบนเขาจะนำทางไปสู่สถานที่ใด เรื่องราวจะยิ่งมีแต่ปัญหาและยากลำบาก สุดท้ายจะยากหาทางกลับอาณาจักรของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูอาจไล่ตามถึงขนาดค้นหาร่องรอยของพวกเขาเพื่อตามล่า หากเกิดเรื่องเช่นนั้น พวกเขาจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย
คิดได้ดังนั้น อู๋ฝานจึงสำรวจมองรอบด้าน “เสี่ยวลิ่ว หวังปิง ทั้งสองคนใช้เชือกมัดเสบียงทำเป็นเชือกกับดัก ซ่อนตัวสองข้างของเส้นทาง ส่วนคนที่เหลือ เตรียมอาวุธให้พร้อมสำหรับการต่อสู้! คงได้เวลาดูกันแล้วว่าพวกอสูรมีสามหัวหกมือจริงหรือไม่!”
“ขอรับ!”
แม้ในใจของกลุ่มคนจะร้อนรนแวะหวาดกลัว แต่เพราะเป็นคำสั่งของอู๋ฝาน พวกเขาจึงตอบรับโดยไม่ลังเล ขณะนี้เร่งรีบเตรียมพร้อมสู้ศึก ทั้งยังทราบสถานการณ์ปัจจุบันดี พวกเขาคิดหลบหนีต่อเป็นเรื่องยากแล้ว หากเอาชัยจากศึกที่กำลังใกล้เข้ามาถึงได้ พวกเขาก็ยังมีความหวังในการหลบหนีเอาตัวรอด
หากเวลาเป็นใจ อู๋ฝานก็คิดอยากเตรียมกับดักให้มากกว่านี้ เหมือนดังเช่นที่เคยทำครั้งก่อนจนสังหารเสือร้ายลายจุดลงได้ แต่ตอนนี้ศัตรูเข้ามาใกล้แล้ว เขาไม่มีเวลามากพอ
ไม่นานพวกเขาที่รอคอยสองฟากข้างของเส้นทาง ก็ได้ยินเสียงหอบหายใจและฝีเท้าของม้าเข้ามาใกล้
ศัตรูใกล้เข้ามาแล้ว!
ในระยะการมองเห็นของอู๋ฝาน เห็นพาหนะราวสิบตัวปรากฏขึ้น พาหนะเหล่านี้แตกต่างกันไป มีม้าเพียงสองถึงสามตัวเท่านั้น ส่วนอื่นที่เหลือมีรูปลักษณ์คล้ายกิ้งก่ายักษ์ บ้างก็คล้ายตะขาบ บ้างก็คล้ายสิงโต แต่ที่เหมือนกันคือขนาดตัวใหญ่โตของพวกมัน พร้อมทั้งออร่าที่บ่งบอกชัดถึงความแข็งแกร่ง
ด้านบนหลังของสัตว์พาหนะเหล่านี้ ปรากฏชายในชุดสีดำนั่งอยู่ ร่างเหล่านั้นทั้งสูงและกำยำ กระทั่งว่ายังอยู่ไกลออกไประดับหนึ่ง อู๋ฝานก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่แผ่พุ่งออกจากร่างกายของพวกมัน
นี่หรือคนจากโลกอสูร?
แม้ว่าร่างดูกำยำกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ถึงขนาดมีสามศีรษะหกกรคล้ายสัตว์ประหลาดดังที่หนิวเอ้อเคยพูดถึง
พวกคนของโลกอสูร ราวกำลังหาตัวอู๋ฝานและคณะ พวกมันไม่มีท่าทีคิดหยุด มีแต่เร่งความเร็วมากขึ้น ราวต้องการบดขยี้ชายหนุ่มและคณะให้ราบคาบในคราวเดียว
ทางด้านอู๋ฝานที่กำลังตั้งท่าป้องกัน พวกมันไม่คิดใส่ใจด้วยซ้ำ ราวกับมั่นใจว่าขอเพียงพุ่งตัวเข้าหาเพียงหนึ่งครั้ง พวกมันก็พร้อมจะบดขยี้เขาและคณะประหนึ่งบี้มดจนแหลกเละ!
“ฟิ่ว!”
หลังได้ยืนยันตัวตนของอีกฝ่าย อู๋ฝานก็ไม่คิดลังเลมากความ แต่เป็นฝ่ายลงมือก่อน ยิงธนูตรงเข้าหากลุ่มคนที่เข้าใกล้ พร้อมเสียงแหวกผ่านอากาศคมกริบดังกึกก้องของลูกธนู