บทที่ 178 ผลการเก็บเกี่ยวที่ดี
บทที่ 178 ผลการเก็บเกี่ยวที่ดี
“ตึง!”
ตอนนั้นเองที่หัวหน้าหน่วยทหารม้าเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา ทั้งร่างร่วงล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง
อู๋ฝานขมวดคิ้ว กล้ำกลืนความเจ็บปวด ดึงหอกที่ปักร่างกายของตนออก ก่อนจะโยนลงกับพื้น ตอนนี้เขาไม่คิดสนใจอาการบาดเจ็บหรือพัก มุ่งตรงเข้าสังหารคนจากโลกอสูรที่ยังเหลือรอดโดยทันที
เมื่ออู๋ฝานเข้าร่วมศึกอีกครั้ง หนิวเอ้อและพรรคพวกจึงรู้สึกว่าแรงกดดันผ่อนคลายลงไปมาก ส่วนอีกฝ่ายนั้น ขวัญกำลังใจได้รับผลกระทบเพราะหัวหน้าตาย ขณะนี้จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพียงแต่กลุ่มคนจากโลกอสูรเหล่านี้ก็ยังคงไว้ซึ่งความดุร้าย แม้ทราบว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี และพวกเขาอาจต้องตายกันที่นี่ ก็ยังไม่มีแม้สักคนเลือกที่จะหลบหนี ไม่มีกระทั่งความแตกตื่นปรากฏทางสีหน้า ทั้งหมดยังคงเอาแต่โจมตีใส่อู๋ฝานและคณะ ท่าทีไม่เหมือนคนมีชีวิต แต่เป็นเครื่องจักรที่ทราบเพียงวิธีการสังหารเท่านั้น
การต่อสู้อย่างสิ้นหวังเช่นตอนนี้ มันไม่มีที่ให้ถอยกลับ แม้กระทั่งหนิวเอ้อและพรรคพวกเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ใจก็ยังต้องเกิดรู้สึกขนลุก
“ตึง!”
เมื่อคนสุดท้ายจากโลกอสูรล้มลงกับพื้น สนามรบขนาดย่อมแห่งนี้จึงกลับคืนสู่ความสงบ
“เฮ้อ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดจริงด้วย” หนิวเอ้อถอนหายใจออกมา สายตาทอดมองยังร่างไร้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในใจ
คนอื่นต่างก็เผยท่าทีที่ไม่ต่างกัน แม้สุดท้ายพวกเขาจะได้รับชัยชนะ แต่ความหวาดกลัวยังคงเกาะกุมหัวใจไม่เลือนหาย
มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ต่อสู้กับคนของโลกอสูร ก่อนหน้านี้เพียงแค่เคยได้ยินถึงเรื่องคนและสัตว์จากโลกอสูรมาอีกทอดหนึ่ง กล่าวถึงความดุร้ายและกระหายเลือด ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็ได้ประสบพบเจอกับตนเอง
กลุ่มคนเหล่านี้น่าสะพรึงกลัว ทั้งพละกำลังแข็งแกร่ง การป้องกันยอดเยี่ยม ไม่หวาดกลัวความตาย กระทั่งว่ายังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นยินดียามพบเห็นเลือด หากพวกเขาไม่ได้มีอู๋ฝานอยู่ด้วย วันนี้คงถูกอีกฝ่ายกำจัดจนหมดสิ้นไปแล้ว
ฝ่ายอู๋ฝานยังต้องนึกทึ่งกับพละกำลังของทหารกองทัพโลกอสูร พวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงทหารเลว แต่หากว่าเป็นทหารยอดฝีมือ เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร? เกรงว่าจะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านี้หลายเท่า
ก่อนหน้านี้ อู๋ฝานรู้สึกว่าตนเองมีอุปกรณ์สวมใส่ที่ดีพอแล้ว สามารถสังหารมอนสเตอร์เลเวลเกินกว่าสิบได้ เรียกได้ว่ามีพละกำลังเพียงพอ แต่หลังได้รู้จักคนจากโลกอสูร เขาจึงได้ตระหนักว่าพละกำลังของตนยังแสนไกลห่าง หัวหน้าหน่วยของคนเพียงสิบคนยังสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างเท่าเทียม หากว่าเป็นคนที่ระดับสูงส่งกว่า ไม่ใช่ว่าเขาคงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรอกหรือ?
ชายหนุ่มรู้สึกกลัวอยู่ในใจ เขายังมีหนทางยาวไกลต้องเดิน ยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก ขณะนี้ยังไกลเกินกว่าจะถึงจุดที่พึงพอใจต่อพละกำลัง
อู๋ฝานใช้ยารักษาบาดแผลส่วนหนึ่งกับตัวเอง จากนั้นจึงส่งทั้งหมดที่เหลือให้เสี่ยวลิ่ว โดยขอให้เขาช่วยกระจายและใช้งานกับคนในหน่วย
ทั้งหน่วยที่สี่ยกเว้นเสี่ยวลิ่ว คนอื่นต่างได้รับบาดเจ็บ ไม่เว้นแม้แต่อู๋ฝาน ส่วนเสี่ยวลิ่วไม่ได้ต่อสู้เผชิญหน้าโดยใช้พละกำลังเข้าต้าน แต่ใช้ความปราดเปรียวและความคล่องตัว ดังนั้นจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
ขณะนี้มีสามคนได้รับบาดเจ็บหนัก และสองคนในนั้นอาการค่อนข้างสาหัส
อาจกล่าวได้ว่าแม้อู๋ฝานและคณะชนะศึกครั้งนี้มาได้ แต่ราคาที่จ่ายเพื่อชัยชนะก็สูงลิ่ว เพียงแต่ไม่มีใครถูกสังหาร เรียกได้ว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายก็คงไม่ผิด
สมาชิกหน่วยเข้ารักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนตัวอู๋ฝานเข้าสะสางพื้นที่ต่อสู้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจสอบร่างของมินิบอสมอนสเตอร์ และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องผิดหวัง
[ป้ายอัญเชิญ สามารถเรียกนักรบโลกอสูรห้าคนออกมาต่อสู้แทน การอัญเชิญแต่ละครั้งจะใช้ได้ห้านาที และมีเวลาคูลดาวน์สองชั่วโมง]
[หอกเลือดอสูร พลังโจมตี+40 ความว่องไว+5 พละกำลัง+15]
มินิบอสทิ้งของต่างหน้าไว้ให้สองอย่าง ค่าสถานะของหอกเลือดอสูรกระทั่งสูงกว่ากระบี่ยาวศิลาดำในมือของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่กระบี่ยาวศิลาดำของชายหนุ่มมีทักษะดูดเลือด มันคือส่วนที่ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะด้วยทักษะดังกล่าว จึงทำให้อู๋ฝานสามารถต่อสู้อย่างต่อเนื่องได้ดีมากยิ่งขึ้น
ส่วนป้ายอัญเชิญ หากใช้งานให้ดี มันจะสามารถส่งผลได้ดีที่สุดในช่วงเวลาคับขัน
แน่นอนว่า ผลการเก็บเกี่ยวศึกครั้งนี้ยังไม่ได้จบลง คนของโลกอสูรอีกหลายคนต่างเหลืออาวุธส่วนหนึ่งเอาไว้ให้อู๋ฝานและคณะ แม้ว่าค่าสถานะของพวกมันจะเป็นแค่ค่าเริ่มต้น และชายหนุ่มก็ไม่ได้ถูกใจ แต่พวกมันสามารถนำไปขายได้ และอย่างที่รู้กันว่าภายในค่ายวิหคที่เคยสังกัดก่อนหน้านี้ น้อยคนที่จะมีอาวุธในครอบครอง หากว่ามีอาวุธเช่นนี้ให้ไขว่คว้า หลายคนย่อมพุ่งเข้าหาอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากอาวุธ สิ่งสำคัญที่ได้รับคือสัตว์พาหนะที่ยังเหลืออยู่
สัตว์พาหนะเป็นสิ่งมีค่า ไม่ว่าจะขี่เองหรือขายพวกมันต่างก็เป็นของดี แต่โชคร้ายที่ศึกก่อนหน้านี้มีสัตว์พาหนะหลายตัวถูกสังหารไป
หลังเห็นสัตว์พาหนะเหล่านี้ อู๋ฝานจึงเกิดนึกถึงป้ายพาหนะในกระเป๋าหลังขึ้นมาได้ ขณะทุกคนไม่ได้มองมาทางด้านนี้ เขาก็ลอบเก็บร่างของสัตว์พาหนะที่ถูกสังหารเข้าสู่กระเป๋าหลัง ถัดจากนั้นจึงใช้ป้ายพาหนะของตนเอง เพื่อปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันเป็นสัตว์พาหนะตัวเมื่อครู่นี้
หลังเสร็จสิ้นการรักษา อู๋ฝานจึงบอกกับทุกคน “สถานที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัย ศัตรูอาจไล่ตามมาได้ทุกเมื่อ พวกเราต้องรีบไปโดยเร็วที่สุด คนที่บาดเจ็บหนักจำเป็นต้องกลับเมืองเพื่อรับการรักษา”
ยาสมานแผลทำได้เพียงแค่รักษาบาดแผลส่วนหนึ่ง คนทั้งสามที่บาดเจ็บหนัก อู๋ฝานในตอนนี้ไม่อาจรักษาให้ได้ มีแต่ต้องส่งพวกเขากลับเมืองเพื่อทำการรักษาเพียงอย่างเดียว
ทุกคนไม่มีใครเห็นต่าง
“ส่งคนเจ็บหนักขึ้นรถลาก ส่วนคนที่เหลือเลือกสัตว์พาหนะ” อู๋ฝานบอกกับกลุ่มคน ถัดจากนั้นจึงชี้ม้าที่ตนเองเพิ่งแปรสภาพเสกขึ้นมา “ม้าตัวนี้เป็นของข้า ส่วนที่เหลือ ทุกคนเลือกกันได้ตามสะดวก”
ได้ยินคำของอู๋ฝาน พวกหนิวเอ้อก็ยินดีขึ้นมา
สัตว์พาหนะในค่ายวิหค มีเพียงตัวตนระดับหัวหน้ากองพันจึงสามารถครอบครองได้ แต่ขณะนี้พวกเขาสามารถเลือกได้ตามใจชอบ
หลังจัดการเรียบร้อย ทุกคนจึงออกเดินทางต่อ หวังปิงขึ้นขี่สัตว์พาหนะนำหน้าเพื่อสำรวจเส้นทาง เสี่ยวลิ่วเริ่มทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบประจำหน่วย เพื่อสำรวจดูว่ารอบด้านปลอดภัยหรือไม่ ส่วนอู๋ฝาน เขายังคงรับหน้าที่ขับรถม้า ส่วนม้าที่แปรสภาพมายังคงเดินอยู่ข้างกายเขาอย่างเชื่อฟัง และท่าทางที่เชื่อฟังนั้นเองถึงกับทำหนิวเอ้อและพรรคพวกต้องรู้สึกฉงนใจ
อู๋ฝานพบว่าม้าที่ตนเองเสกเรียกมานั้นไม่เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ตามใจชอบ แต่ยังสามารถสื่อสารกับตัวเขาทางจิตได้ ไม่ว่าในใจเขาคิดอะไร มันจะทราบกระจ่าง และทำตามอย่างเชื่อฟัง เรื่องราวเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกชอบพอป้ายพาหนะไม่ใช่น้อย
หลังศึกครั้งนี้อู๋ฝานและหน่วยของเขา แทบจะมีออร่าไม่ต่างจากกองทัพประจำการ ไม่ใช่เป็นเพราะอุปกรณ์สวมใส่ แต่เป็นเพราะท่าทีจากกายคน ดังนั้นหากเพียงแค่มอง ผู้คนจึงยากจะทราบได้ว่าเคยเป็นกองทัพสำรองมาก่อน
เพราะผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่บนรถลาก อู๋ฝานจึงไม่กล้าให้ม้าห้อตะบึงเร็วจนเกินไป อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นอาการบาดเจ็บของคนทั้งสามมากไปกว่านี้ ด้วยเหตุดังกล่าว เขาและคณะจึงต้องออกเดินทางด้วยความเชื่องช้ากันอีกครั้งหนึ่ง