บทที่ 221 เคลื่อนพล
บทที่ 221 เคลื่อนพล
[ธงรบสีแดงระดับเงิน เพิ่มพลังโจมตีสมาชิกหน่วยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ รองรับการเพิ่มพลังให้สมาชิกยี่สิบคน คงสภาพได้สามสิบนาที ระยะเวลาคูลดาวน์หนึ่งชั่วโมง]
สมบัติที่ดี!
นี่คือรางวัลส่วนหนึ่งที่อู๋ฝานขู่รีดจากหัวหน้ามู่บ้านมาได้ จึงไม่แปลกหากดวงตาของอู๋ฝานจะทอประกายเมื่อเห็นคำอธิบายปรากฏขึ้น
มันคือวัตถุที่ช่วยเพิ่มความสามารถสู้รบเป็นหมู่คณะ เป็นความสามารถที่หาได้ยาก ตอนแรกอู๋ฝานคิดว่าหากได้อะไรตอบแทนมาบ้างเขาก็พึงพอใจมากแล้ว ขอเพียงอีกฝ่ายยอมควักกระเป๋าโยนอะไรให้สักหน่อยก็พอ คิดไม่ถึงว่าทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านตอบรับ เขาจะให้สมบัติระดับนี้มา
“ตาเฒ่าที่เอาแต่ร้องว่ายากจนข้นแค้น แท้จริงแล้วคงจะมีสมบัติอีกมากมายในครอบครองสินะ ถ้าหากว่ามีโอกาสคงต้องหาทางรีดไถมาเพิ่ม” ชายหนุ่มคิดกับตัวเองอยู่ภายในใจ ขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังลานกว้าง
อย่างไรก็ตาม พอครุ่นคิดถึงสีหน้าแข็งทื่อของหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อครู่ อู๋ฝานก็รู้ได้ทันทีว่าการรีดทรัพย์เอาสมบัติใด ๆ จากอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องง่าย
“ฮู่!”
“เฮ้อ!”
ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงลานกว้าง ก็ได้ยินเสียงการฝึกซ้อมของพวกหนิวเอ้อ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครคอยควบคุมแต่พวกเขาก็ยังตั้งใจฝึกอย่างจริงจัง
“ทุกคนหยุดก่อน” อู๋ฝานเดินมาหยุดตรงหน้าทุกคน “หน่วยรักษาการณ์ของพวกเราได้รับภารกิจแรกแล้ว นั่นคือการกวาดล้างมอนสเตอร์ภายในป่าหน้าหมู่บ้านเพื่อรักษาความปลอดภัย ไปเตรียมความพร้อม ติดอาวุธ และชุดเกราะ พักกันสักครู่ ไม่ช้าพวกเราจะออกเดินทาง”
อาวุธและชุดเกราะที่หัวหน้าหมู่บ้านรับปากเอาไว้ถูกนำมาส่งแล้ว เพียงแต่ในช่วงการฝึกซ้อมทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องแบกหามชุดเกราะและอาวุธตลอดเวลา
“นายท่าน พวกเราเพิ่งผ่านการฝึกซ้อมมาไม่กี่วันก็จะออกไปสังหารมอนสเตอร์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องอันตรายเกินไปหรือ?” ลั่วหยางแสดงความกังวลกับหลายวันมานี้ ทั้งเขาและพี่สาวอย่างลั่วเยวี่ยต่างก็รับการฝึกพร้อมกับทุกคน ในฐานะน้องเล็กเขาฝึกฝนหนักหนาไม่น้อย
“ยังต้องกลัวอะไรพวกมอนสเตอร์กัน? ครั้งพวกเราไปส่งเสบียงอาหาร ตอนนั้นพบเจอหมาป่าเนตรสีชาดระหว่างทางจำนวนไม่น้อย! ตอนนั้นพวกเราไม่รู้จักวิชาที่ใช้เหวี่ยงอาวุธด้วยซ้ำ แต่ก็ยังสามารถสังหารและเอาตัวรอดมาได้ หรือไม่ใช่?” หนิวเอ้อตบไหล่ลั่วหยางพลางบอก
ภายหลังฝึกซ้อมอยู่หลายวัน ทุกคนจึงเริ่มคุ้นเคยและเข้าใจวิชายอดดาบ อย่างไรแล้ววิชายอดดาบก็นับเป็นวิชาดาบพื้นฐานของโลกแห่งนี้ การเคลื่อนไหวค่อนข้างเรียบง่ายทำให้สามารถเรียนรู้ได้เร็ว ตอนนี้มีหลายคนใช้งานเป็นแต่ก็ยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริง
“มอนสเตอร์ดุร้ายก็จริง แต่พวกเราจะยังไม่บุกเข้าไปส่วนลึกของป่าและจะอยู่บริเวณพื้นที่ชายขอบ หลังจากพวกเราคุ้นเคยกับการสู้กับมอนสเตอร์แล้ว ตอนนั้นค่อยบุกเข้าไปให้ลึกมากขึ้น” อู๋ฝานกล่าว พวกหนิวเอ้ออย่างไรก็เคยผ่านการเป็นทหาร เป็นกลุ่มที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเองเป็นอย่างดี และเขาเองก็ไม่ปรารถนาให้เกิดอุบัติเหตุกับคนเหล่านี้ ไม่แปลกหากว่าจะยังไม่อยากเข้าไปในป่าลึก อย่างไรแล้วภารกิจก็ระบุเพียงสังหารมอนสเตอร์ห้าร้อยตัว ไม่ได้ระบุเลเวลของมอนสเตอร์ที่ต้องฆ่าแต่อย่างใด
“นอกจากนี้ เจ้าไม่ต้องสู้ แค่รออยู่ใกล้ ๆ ก็พอ” อู๋ฝานบอกกล่าวลั่วหยาง
“ไม่ได้ นายท่าน ข้าเองก็อยากสู้” ได้ยินอู๋ฝานกล่าวเช่นนั้น ลั่วหยางจึงร้อนใจขึ้นมา “ข้าไม่ได้กลัวพวกมอนสเตอร์ ข้าสามารถต่อสู้ร่วมกับทุกคนได้”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้เจ้าไปจัดการเรื่องอื่น” อู๋ฝานตอบรับ “เรื่องนี้สำคัญไม่แพ้กัน”
“น้องชาย เชื่อฟังและทำตาม” ลั่วหยางคิดยืนกรานดื้อรั้น เพียงแต่ลั่วเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน เขาหันมองผู้เป็นพี่สาว สุดท้ายจึงหยุดพูดและมีท่าทีหมองหม่น
“ตรงนี้ไม่ใช่งานเจ้า ข้ากล่าวไปแล้วว่าสิ่งที่จะให้ไปทำนั้นสำคัญกับพวกเราไม่แพ้กัน” อู๋ฝานตอบ “พวกเราออกล่าพวกมอนสเตอร์ครั้งนี้คงได้รับของรางวัลจากการล่าไม่ใช่น้อย อาจต้องไปเช่ารถลากสักคันจากเถ้าแก่หลิวในหมู่บ้านเพื่อนำของเหล่านั้นไปยังร้านขายของชำในเมืองหลวงและขายมัน เจ้ารับผิดชอบงานนี้ได้หรือไม่?”
จากหมู่บ้านเร้นลับถึงเทศมณฑลชิงหยวน แม้ว่าระหว่างทางจะมีมอนสเตอร์ แต่หากไม่ได้จงใจเข้าหาพวกมัน จำนวนก็ไม่ได้มากมายอะไร ลั่วหยางสามารถขับรถลากได้ ดังนั้นจึงไม่อันตรายจนเกินไป
“ขอรับ!” ลั่วหยางรีบเงยหน้าทุบอกตนเอง
“ดี” อู๋ฝานรับคำด้วยความพึงพอใจ
แท้จริงแล้ว ผู้คนมากมายในโลกแห่งนี้ต่างทราบกันดีว่าของหรือวัตถุดิบที่ได้จากมอนสเตอร์นำไปขายแลกเงินได้ เพียงแต่น้อยคนนักที่จะมีความสามารถสังหารมอนสเตอร์ หากว่าไม่ได้เรียนรู้วิชาดาบกระบี่มาบ้าง การเผชิญหน้ากับพวกมันถือเป็นเรื่องอันตราย อีกทั้ง ไม่ใช่ว่ามอนสเตอร์ทุกตัวที่ถูกฆ่าจะเหลือร่างเอาไว้ นอกจากนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบวิธีการชำแหละ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเสี่ยงมหาศาลเพื่อสังหารมอนสเตอร์ แต่สุดท้ายอาจไม่ได้รับเงินสักเหรียญ การออกล่ามอนสเตอร์เพื่อจุนเจือครอบครัวจึงไม่ใช่หนทางที่พึงกระทำ มีน้อยคนนักที่จะทำเช่นนั้น
หลังจัดเตรียมเรียบร้อย อู๋ฝานก็นำกลุ่มคนมุ่งหน้าสู่ป่าด้านหน้าหมู่บ้าน เดิมทีเขาคิดวางตัวลั่วเยวี่ยให้อยู่ในหมู่บ้าน เพียงแต่นางดื้อรั้นและยืนกรานว่าจะไปด้วย ชายหนุ่มจนปัญญาจึงทำได้เพียงต้องตกลง อย่างไรในช่วงต้น ก็เป็นเพียงการออกล่าในป่ารอบนอกไม่ได้เข้าไปลึกจึงไม่อันตรายมากนัก
อู๋ฝานคุ้นเคยกับป่าตรงหน้าหมู่บ้านเป็นอย่างดี ตอนที่เขามาเยือนโลกแห่งนี้ครั้งแรก เขาก็ฝึกฝนเก็บเลเวลโดยการฆ่ามอนสเตอร์ในป่า เพียงแต่ช่วงเวลานั้นพละกำลังของเขาต่ำเตี้ยทำให้ไม่กล้าที่จะเข้าไปลึก แม้พละกำลังในตอนนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย แต่การมาที่นี่จะช่วยเพิ่มเลเวลและเสริมความแข็งแกร่งให้เขาได้อย่างแน่นอน
[งูหางดอกไม้เลเวลห้า เดิมเป็นงูธรรมดา ภายหลังติดเชื้อจากพลังงานอสูรจึงกลายเป็นมอนสเตอร์ รวดเร็ว และมีพิษร้าย]
[ข้อบ่งชี้ เพราะผลจากการรุกรานของโลกอสูร พละกำลังของมอนสเตอร์ในโลกมนุษย์เพิ่มขึ้นสิบเปอร์เซ็นต์และดุร้ายมากกว่าที่เคย]
อู๋ฝานและคณะเพียงเพิ่งมาถึงบริเวณชายขอบป่า ก่อนจะเข้าไปก็ได้พบมอนสเตอร์เสียแล้ว เป็นมอนสเตอร์เลเวลห้า
ชายหนุ่มที่ใช้วิชาตรวจสอบค่อนข้างประหลาดใจ
แต่เดิมตอนที่สัตว์ป่าแปรเปลี่ยนเป็นมอนสเตอร์ พละกำลังของพวกมันจะเพิ่มขึ้นจริง แต่ตอนนี้หลังได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการที่คนของโลกอสูรมาลงหลักปักฐานที่ทุ่งรกร้าง พละกำลังของพวกมันกลับเพิ่มขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่า ชีวิตของผู้คนฝั่งโลกมนุษย์กำลังจะเผชิญกับความยากลำบาก ปกติแล้วอาณาเขตของอาณาจักรทั้งหลายก็ไม่ค่อยได้สงบสุขนัก หลายคนไม่อาจเอาชีวิตรอด สุดท้ายจึงเกิดการลุกฮืออย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้จำนวนมอนสเตอร์เพิ่มมากขึ้น พละกำลังของพวกมันก็แข็งแกร่งและดุร้ายมากขึ้นด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นภัยคุกคามอันใกล้ ผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่แล้วจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น การหลีกเลี่ยงการลุกฮือน้อยใหญ่ภายในประเทศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องยาก ยิ่งเวลาผ่านไป กองกำลังทหารน่าจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น แรงกดดันที่ราชสำนักแบกรับก็คงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ผลกระทบจากความพ่ายแพ้ที่ทุ่งราบรกร้าง เป็นเหตุให้สี่อาณาจักรเริ่มเห็นถึงสิ่งที่กำลังรุกคืบเข้ามา
แน่นอนว่า ทั้งหมดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอู๋ฝานในตอนนี้ เขาสนใจก็แต่เพียงการสังหารมอนสเตอร์เหล่านี้เท่านั้น แค่ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหมู่บ้านสำเร็จก็พอ