บทที่ 228 เขาเป็นใคร
บทที่ 228 เขาเป็นใคร
“เดี๋ยวก่อน!” เห็นอู๋ฝานเมินเฉยตนเอง ชายวัยกลางคนก็เกิดรู้สึกเสียหน้ารุนแรงต่อทั้งผู้หญิงของตนเองและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ สีหน้าท่าทีของเขาเวลานี้จึงไม่น่าดูอย่างยิ่ง “ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึไง? ฉันต้องการชุดนั่น! จะขายเท่าไหร่ก็บอกมา อยากตั้งราคายังไงก็ตั้งมา! คนอย่างนายก็คิดแต่จะหาโอกาสช่วงชิงผลประโยชน์กันทั้งนั้น สมแล้วที่ต้องยากจนข้นแค้นไปทั้งชีวิต!”
เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนกำลังมองว่า อู๋ฝานทำตัวประหนึ่งนั่งนิ่งเฉยรอคอยเพิ่มราคา เมื่อเห็นว่าเขาต้องการซื้อหา จึงฉวยโอกาสหาทางเรียกร้องราคาเพิ่ม
“ผมขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าเท่าไหร่ก็ไม่ขาย!” อู๋ฝานเผยสีหน้าเย็นเยือก สายตาคมกริบจ้องไปที่ยังชายวัยกลางคน
อู๋ฝานคือผู้ที่เคยสังหารคนอื่นมาก่อน!
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่โลกในเกม และที่นี่คือโลกจริงก็ตาม ทว่ามันก็แทบไม่มีอะไรต่างกับโลกความเป็นจริง ดังนั้นอู๋ฝานจึงครอบครองจิตสังหารที่สามารถแผ่ออกมาได้ และตอนนี้เขากำลังตั้งใจส่งจิตสังหารออกไป เมื่อชายวัยกลางคนรับรู้ถึงจิตสังหาร ก็รู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย เขาถึงขั้นต้องถอยเท้าไปหลายก้าวด้วยความหวาดเกรง
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังยังต้องมองอู๋ฝานด้วยความประหลาดใจ สีหน้าของเธอกำลังแสดงอาการครุ่นคิดออกมา
อู๋ฝานที่เห็นชายวัยกลางคนหวาดกลัวจนถอยกลับไปแล้ว จึงหันกลับมามองพนักงานขาย สีหน้าในตอนนี้กลับคืนเป็นความสุภาพเช่นเดิมแล้ว
ชายวัยกลางคนมองสีหน้าท่าทีสุภาพของอู๋ฝาน ก็นึกสงสัยว่าเมื่อครู่ตนเองตาฝาดไปหรือไม่ เหตุใดชายหนุ่มที่ดูยากไร้คนหนึ่งกลับมีท่าทีราวกับพร้อมจะลงมือสังหารคนได้ ถึงขนาดที่ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัว จนต้องถอยเท้ากลับไปหลายก้าว ส่งผลให้ตอนนี้เขาเกิดความอับอายและความโกรธขึ้นมา
“แกชื่อว่าอะไร! ถ้ามีความกล้า ก็บอกชื่อของแกออกมา! ฉันจะทำให้แกไม่มีที่ยืนในเจียงโจวเอง!” ชายวัยกลางคนจ้องมองอู๋ฝานด้วยท่าทีดุร้าย
“คิดว่ากำลังจะทำให้ใครไม่มีที่ยืนนะ?” ทันใดนี้เองที่เสียงเอื้อนเอ่ยเชื่องช้าดังขึ้นจากประตูร้าน ถัดจากนั้นชายหนุ่มที่แต่งตัวดูดี ท่าทีสูงศักดิ์จึงก้าวเดินเข้ามาจากด้านนอกของร้าน
“ถอยไป ไม่ใช่เรื่องของแก!” ชายวัยกลางคนตอบโต้อย่างดุดันโดยไม่ยั้งคิด
“เหอะ พูดจาฉะฉานดี! ในเจียงโจวมีคนไม่มากหรอกนะที่จะกล้าพูดแบบนั้นกับฉัน และเฉียนต้าเผิง คุณไม่ใช่หนึ่งในคนเหล่านั้น!” ชายหนุ่มเผยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น
ตอนที่ชายวัยกลางคนได้ยินคนอื่นพูดชื่อของตนเองออกมา ในใจก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคือง ขณะนี้จึงหันกลับไปมอง ตอนที่กำลังจะสบถด่าออกมานั้น ก็เห็นคนที่เดินเข้ามา ปากของเขาถึงกับหยุดชะงัก ราวกับกลืนคำที่คิดจะเอื้อนเอ่ยเมื่อครู่กลับลงท้องไป สีหน้าแดงก่ำเพราะอดกลั้นความโกรธไว้
“เป็นอะไรไป? อยากด่าฉันไม่ใช่เหรอ?” ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มบาง
“ไม่กล้าครับ” เฉียนต้าเผิงเผยเม็ดเหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก สีหน้าขณะนี้ทั้งอับอายและหวาดกลัว
“นายเป็นใคร? ใช่เรื่องต้องมายุ่งงั้นเหรอ?” เฉียนต้าเผิงไม่คิดจะพูดอะไรอีก ทว่าผู้หญิงที่เขาพามานั้นกลับมีตาแต่ไร้แวว เธอกลับเป็นฝ่ายแหวขึ้นเสียงใส่ชายหนุ่มตรงหน้า เพราะในความเห็นของเธอ เฉียนต้าเผิงมีอำนาจในเจียงโจว ไม่มีอะไรที่เกินจะทำได้ และไม่มีอะไรต้องเกรงต่อผู้อื่นแม้แต่น้อย
“เพี๊ยะ!”
ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นพูดจบ เฉียนต้าเผิงก็ตบหน้าของเธออย่างรุนแรง เป็นเหตุให้รอยประทับห้านิ้วปรากฏบนใบหน้าที่แน่นด้วยเครื่องสำอางของหญิงสาว
“อยากตายเหรอ ไม่รู้จักนายน้อยหลิวหรือยังไง!” เฉียนต้าเผิงคำรามใส่ผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงที่ถูกเฉียนต้าเผิงตบหน้าถึงกับมึนงงไป เมื่อเห็นท่าทีราวกับพร้อมจะฉีกทึ้งร่างเธอเสียตรงนี้ของเฉียนต้าเผิงที่ไม่เคยโกรธเคืองเธอมาก่อน มันก็ทำให้เธอหวาดกลัวขึ้นมา
“นายน้อยหลิว ต้องขออภัยด้วยครับ ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ตัวว่าพูดอยู่กับใคร ขอท่านอย่าได้ถือโทษโกรธเลยนะครับ” เฉียนต้าเผิงกล่าวบอกกับชายหนุ่ม
“ฉันไม่สนเรื่องผู้หญิงคนนั้นหรอก” ชายหนุ่มที่เฉียนต้าเผิงเรียกหาเป็นนายน้อยหลิวตอบกลับ “เพียงแต่คุณยังไม่ได้ตอบคำถามเมื่อกี้ว่าคิดจะทำให้ใครไม่มีที่ยืนกัน? ทำไมถึงยังไม่ตอบล่ะ? หรือว่าไม่อยากตอบคำถามของฉันกันแน่?”
“ผมจะกล้าได้ยังไงกันครับ!” เฉียนต้าเผิงเร่งร้อนอธิบาย “เมื่อครู่ผมหัวร้อนเกินไป เป็นเพราะไอ้ลูกเต่าคนหนึ่งคิดจะแย่งซื้อของโดยไม่ไว้หน้าผม ผมเลยขาดสติไปครู่หนึ่ง ทำให้ไม่ได้สังเกตเห็นนายน้อยหลิวครับ”
“ลูกเต่า? นายกำลังบอกว่าเขาเป็นลูกเต่า? ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นายน้อยหลิวหัวเราะตอบ ราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องน่าสนุกก็ไม่ปาน
“เพี๊ยะ!”
ขณะเฉียนต้าเผิงกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดนายน้อยหลิวจึงต้องหัวเราะออกมา ทันใดนั้นเองที่นายน้อยหลิวตบใบหน้าเขาแรง มันแรงขนาดปรากฏรอยประทับห้านิ้วบนแก้มอ้วนท้วน แทบจะไม่ต่างกับที่ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งโดนเมื่อครู่เลย
“รู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร?” นายน้อยหลิวชี้ไปทางอู๋ฝานพลางถาม
“ไม่ทราบครับ” เฉียนต้าเผิงชะงักเพราะนายน้อยหลิว ตอนนี้ตระหนักอยู่ในใจแล้วว่าตัวตนของอู๋ฝานคงไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่เขาคิดไว้แต่แรก
“ช่างมัน คนอย่างคุณก็ไม่สมควรได้รู้จักอยู่แล้ว รู้แค่ว่านายน้อยอู๋พร้อมจะทำให้ตระกูลเฉียนหายวับไปจากเจียงโจวได้ด้วยคำพูดเดียวก็แล้วกัน!” นายน้อยหลิวตอบกลับ
“นายน้อยหลิวจริงจังเกินไปแล้วครับ ผมไม่ได้มีความสามารถถึงขนาดนั้นหรอก” อู๋ฝานตอบกลับเสียงเบา
อีกฝ่ายรู้จักอู๋ฝานก็จากงานปาร์ตี้วันเกิดของถังอวี่เฟย ผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงย่อมมีคนของตระกูลหลิว หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจว หลังเขามอบ ‘วิชายอดศัสตราวุธ’ ให้แก่ถังอวี่เฟยไปแล้ว หลายคนจึงคิดเข้ามาพูดคุยสนทนากับชายหนุ่ม หลิวอวี่กวงหรือนายน้อยหลิวก็คือหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น
ทว่าครั้งนั้นคนทั้งสองเพียงพูดคุยกันไม่กี่คำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก ดังนั้นจึงแทบไม่อาจนับได้ว่าเป็นมิตรสหาย
“นายน้อยอู๋ถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ” หลิวอวี่กวงยิ้มตอบรับ ท่าทีของเขาที่มีต่ออู๋ฝานและเฉียนต้าเผิงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เฉียนต้าเผิงยังต้องประหลาดใจที่ได้พบว่านายน้อยหลิวและอู๋ฝานพูดคุยอย่างเป็นกันเอง กระทั่งมีร่องรอยของความนับถือ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทำให้เฉียนต้าเผิงยิ่งหวาดเกรงมากขึ้น
ถึงขนาดทำให้นายน้อยหลิวมีท่าทีแบบนี้ด้วยได้ มีหรือจะใช่คนธรรมดา?
วันนี้เขาเพิ่งหาเรื่องใครไปกัน?
ทว่าเขากลับไม่เคยได้ยินคนหนุ่มสกุลอู๋ในเจียงโจวมาก่อน
เฉียนต้าเผิงมีครอบครัวทำธุรกิจ พอมีเงินทองอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ยังต้องพยายามหนักเพื่อที่จะทำความรู้จักกับนายน้อยหลิว ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับตระกูลแถวหน้าของเจียงโจวเป็นอย่างดี และไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่ใช้สกุลอู๋มาก่อน
“ในเจียงโจว ตอนนี้จะมีใครกล้าปรามาสนายน้อยอู๋ได้กัน?” หลิวอวี่กวงเอ่ยคำ
“มีอีกหลายคนเลยล่ะครับ” อู๋ฝานตอบรับ “อย่างที่เห็นตรงหน้านี้ก็มีสองคนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
อู๋ฝานทราบดีว่าหลิวอวี่กวงกำลังพยายามเอาใจ ครั้งก่อนที่เขาเปิดเผยวิชายอดศัสตราวุธในงานเลี้ยงวันเกิดของถังอวี่เฟย มันนำพาให้คนมากมายมองตัวเขาเปลี่ยนแปลงไป ทว่าเรื่องนั้นไม่ได้ทำให้ทุกคนต้องยำเกรงในตัวเขา มันไม่ได้วิเศษเลิศล้ำถึงขนาดนั้น
“เพี๊ยะ!” สิ้นคำพูดของอู๋ฝาน เฉียนต้าเผิงตบหน้าตัวเองอย่างรุนแรงในทันที ความแรงนั้นไม่ใช่น้อย อีกทั้งเสียงกระทบยังค่อนข้างดัง ด้วยเหตุนี้ใบหน้าทั้งสองข้างของเขาจึงปรากฏรอยนิ้วอย่างทัดเทียมกัน
ทว่ามันยังไม่ได้จบลงเท่านี้ หลังเฉียนต้าเผิงตบหน้าตนเองแล้ว เขายังยื่นมือไปตบหน้าผู้หญิงข้างกาย ทันใดนั้นใบหน้าอีกข้างหนึ่งของผู้หญิงคนนั้น ถึงกับเครื่องสำอางหลุดร่อนออกมา พร้อมปรากฏรอยประทับฝ่ามือ
ผู้หญิงคนเมื่อครู่ยังไม่ทันจะได้สติจากการถูกตบหน้าครั้งก่อน ก็ถูกตบอีกครั้ง และความแรงนั้นมันทำให้เธอมึนงงจนถึงกับแข้งขาอ่อนแรงล้มยวบลงไป