บทที่ 233 เหตุด่วน
บทที่ 233 เหตุด่วน
[พยัคฆ์ทะยานเมฆ บอส เลเวล 50 ???]
[สัตว์ทรายสีชาด บอส เลเวล 50 ???]
อู๋ฝานอดไม่ได้ที่จะต้องส่งวิชาตรวจสอบออกไปสำรวจมอนสเตอร์ทั้งสอง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่ใช่น้อย
เลเวลห้าสิบ!
อีกทั้งยังเป็นบอสมอนสเตอร์!
ยกเว้นชื่อกับเลเวล ข้อมูลส่วนอื่นเป็นเครื่องหมายคำถาม เป็นการแสดงให้เห็นถึงความต่างทางพละกำลังระหว่างผู้ตรวจสอบและผู้ถูกตรวจสอบ
หลังอู๋ฝานใช้งานวิชาตรวจสอบ มอนสเตอร์ทั้งสองต่างหันมองมาเป็นทางเดียว เรื่องนี้ทำให้อู๋ฝานและคณะเร่งรีบหมอบทรุดลงกับพื้นทันที เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มอนสเตอร์ทั้งสองพบเห็น
นับเป็นโชคดีที่มอนสเตอร์ทั้งสองเพียงแค่มอง แต่ไม่ได้คิดมุ่งตรงมาทางนี้ ราวกับพวกมันยังไม่ได้เห็นพวกอู๋ฝาน เรื่องราวจึงค่อยทำพวกเขาผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกได้
“มอนสเตอร์เลเวลสูงขนาดนี้ มาปรากฏตัวแถวชายขอบของป่าได้ยังไง?” อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
ป่าแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ ยิ่งเข้าไปเท่าใด ก็ยิ่งได้เจอมอนสเตอร์เลเวลสูงมากขึ้นเท่านั้น ในส่วนลึกของป่า ถ้าเจอมอนสเตอร์เลเวลห้าสิบ อู๋ฝานก็คงไม่ประหลาดใจอะไร เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาแทบจะยังไม่ได้เข้าไปในป่าเลยด้วยซ้ำ ความลึกในเวลานี้เป็นเพียงแค่พื้นที่รอบนอก ปกติแล้วไม่ควรจะได้พบเจอมอนสเตอร์เลเวลสูงขนาดนี้
มอนสเตอร์เลเวลห้าสิบ กล่าวได้ว่าเป็นเลเวลที่สูงที่สุดเท่าที่อู๋ฝานเคยพบเจอมาเลยทีเดียว ประเมินจากตัวเขาเองโดยคร่าว หากว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมัน ไม่บาดเจ็บปางตายก็ต้องตายเท่านั้น
มอนสเตอร์ทั้งสองเปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุร้าย พยัคฆ์ทะยานเมฆปราดเปรียวยิ่งกว่า ทว่าสัตว์ทรายสีชาดมีการป้องกันที่ดีเยี่ยมกว่า แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือพลังในการโจมตีของพวกมันแข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา ต้นไม้และพุ่มไม้รอบพื้นที่ต่อสู้ต่างก็ได้รับความเสียหาย มันนับเป็นหายนะที่กระจายออกมาเป็นวงกว้าง
อู๋ฝานคาดว่ามอนสเตอร์ทั้งสองเผชิญหน้ากันที่ส่วนลึกของป่า และเปิดฉากต่อสู้ ก่อนจะขยับเคลื่อนย้ายที่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว เพราะบริเวณอีกฟากหนึ่งนั้นมีเส้นทางที่บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านศึกอันรุนแรงมา
เดิมนั้นในป่าแห่งนี้ไม่ได้มีถนนหนทางหรืออะไร เพราะอย่างไรแล้วในเวลาปกติก็ไม่มีใครเข้ามาในป่า ทว่าด้านหลังมอนสเตอร์ทั้งสอง มันกลับปรากฏเส้นทางที่ราวกับเพิ่งถูกถล่มจนราบมา สองฟากข้างของเส้นทางนั้นยังปรากฏเศษไม้ เศษหญ้ากระจัดกระจาย
“โฮก!”
พยัคฆ์ทะยานเมฆคำรามเสียงดังออกมา มันกระทืบเท้าทั้งสี่ปักลงกับพื้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเองมันก็พุ่งทะยานร่างที่เปรียบดังเนินเขาเข้าหาสัตว์ทรายสีชาด เดิมมันมีบาดแผลใหญ่ที่ดูน่ากลัวอยู่แล้ว ขณะนี้ยิ่งทำให้บาดแผลนั้นดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าหมายสังหารของพยัคฆ์ทะยานเมฆ สัตว์ทรายสีชาดไม่เพียงไม่หลบเลี่ยง แต่กลับลดหัวของมันต่ำลงเตรียมปะทะกลับ
“ตึง!”
พยัคฆ์ทะยานเมฆพุ่งเข้าชนวืดกลางอากาศ มันปะทะเข้ากับต้นไม้หนา บดขยี้ต้นไม้ต้นนั้นกลางลำต้น
ทว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆได้ใช้กรงเล็บของมัน ฝากบาดแผลลึกถึงกระดูกไว้บนร่างของสัตว์ทรายสีชาด อีกทั้งแผลนั้นยังทำให้เนื้อชิ้นใหญ่หลุดร่วงห้อยต่องแต่ง เปิดเผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ด้านใน
“โฮก!”
สัตว์ทรายสีชาดส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด มันเงยศีรษะขึ้นคำราม ดวงตาสีแดงชาดของมันเริ่มเข้มมากขึ้น สุดท้ายจึงลดศีรษะของมันลง เผยให้เห็นเขาแหลมคมพุ่งทะยานเข้าหาพยัคฆ์ทะยานเมฆ
ตึง ตึง ตึง!
ขาหนาใหญ่ทั้งสี่ของสัตว์ทรายสีชาดเหยียบย่ำลงบนพื้น เสียงสะเทือนเลือนลั่นประหนึ่งลั่นกลองออกศึก มันมากพอที่จะทำให้ผู้ได้ยินรู้สึกกดดันอย่างหนัก พร้อมทั้งเลือดในกายสูบฉีดเดือดพล่าน
เมื่อครู่พยัคฆ์ทะยานเมฆถูกสัตว์ทรายสีชาดเล่นงานหนักหนามิใช่น้อย เขาอันแหลมคมเหนือศีรษะของสัตว์ทรายสีชาด ได้ทะลวงเปิดรูขนาดใหญ่บริเวณหน้าท้องของเสือร้าย ถัดจากนั้นจึงลากพาพุ่งเข้าชนกับลำต้นของต้นไม้ มันจึงยิ่งสร้างความเสียหายได้รุนแรงมากขึ้น
เมื่อเผชิญหน้ากับการบุกทะยานโจมตีของสัตว์ทรายสีชาด พยัคฆ์ทะยานเมฆไม่กล้าประมาท มันพยายามดิ้นรนลุกขึ้น ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเพราะบาดเจ็บอย่างสาหัส
เพียงแต่ขณะสัตว์ทรายสีชาดกำลังจะพุ่งเข้าปะทะหมายสังหารพยัคฆ์ทะยานเมฆ พยัคฆ์ทะยานเมฆกลับกระโดดขึ้นฟ้า ราวกับร่างกายของมันไม่ได้หนักอึ้งเช่นที่เคยเป็น แต่เบาประหนึ่งอากาศที่พร้อมลอยล่อง
เห็นได้ชัดว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆที่ดูใกล้ตายเมื่อครู่นี้ มันเป็นการเสแสร้งเพื่อล่อให้สัตว์ทรายสีชาดติดกับจนชะงักงัน!
สัตว์ทรายสีชาดไม่เห็นอีกร่างดังที่คาดคิดเอาไว้ ทว่ามันยังคงพุ่งทะยานอย่างรุนแรง ตอนนี้ต่อให้มันอยากหยุดก็ไม่อาจหยุดได้อีกต่อไปแล้ว เขาของมันเสียบเข้ากับท่อนซุงที่พยัคฆ์ทะยานเมฆชนจนแตกหักเมื่อครู่ เขาของมันแหลมคมมากพอที่จะแทงทะลุท่อนซุงในพริบตา แต่เพราะความแข็งแกร่งที่มากเกินไป เป็นเหตุให้ศีรษะของมันปะทะตามไปด้วย สายตาของมันพยายามจับจ้อง เขาอันแหลมคมติดแน่นอยู่ด้านใน ชั่วขณะนั้นมันไม่มีทางหลุดพ้นออกมาจากท่อนซุงได้
แน่นอนว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆย่อมไม่คิดปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ให้รอดพ้น มันทะยานตัวขึ้นในพริบตา ใช้ฟันอันแหลมคมและกรงเล็บของมัน พยายามโจมตีใส่ร่างของสัตว์ทรายสีชาดอย่างต่อเนื่อง รอยแผลแล้วรอยแผลเล่าถูกฝากเอาไว้มากมายขึ้นเรื่อย ๆ
เพียงแค่ชั่วพริบตา เสียงร้องคร่ำครวญก็ดังออกมาจากร่างของสัตว์ทรายสีชาดที่ดูรุ่งริ่ง บาดแผลจำนวนมากปรากฏขึ้นบนร่างของมัน กระดูกและอวัยวะภายในร่างต่างไหลออกมากองเจิ่งนองกับพื้น
ภาพที่พบเห็นทำให้อู๋ฝานและคณะต้องสูดลมหายใจเข้าลึก กรงเล็บและฟันของพยัคฆ์ทะยานเมฆแหลมคมสุดหยั่ง ร่างของสัตว์ทรายสีชาดที่แข็งแกร่งประหนึ่งกำแพงทองแดง ยังต้องถูกพยัคฆ์ทะยานเมฆฉีกทึ้งทะลวงผ่านการป้องกันโดยง่ายดาย
“โฮก!”
สัตว์ทรายสีชาดกรีดร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง เสียงของมันทั้งเจ็บปวดและโกรธแค้น ศีรษะของมันพยายามขวิดอย่างคลุ้มคลั่ง รากไม้ของต้นไม้ที่ถูกทะลวงเมื่อครู่กำลังสั่นสะเทือนจากการพยายามถอนราก
“ปึก!”
ด้วยความโกรธแค้น สัตว์ทรายสีชาดจึงถอนรากถอนโคนต้นไม้หนาใหญ่ออกมาโดยตรง ทั้งสภาพที่เขาของมันยังคงปักอยู่กับลำต้น ถัดจากนั้นจึงหันร่างมา เป็นการยกต้นไม้ฟาดปะทะเข้าใส่ร่างของพยัคฆ์ทะยานเมฆ
พยัคฆ์ทะยานเมฆและสัตว์ทรายสีชาดพยายามต่อสู้กันอย่างสุดชีวิต พวกมันใช้การโจมตีโดยตรง พยายามทุ่มเทแรงกำลังทั้งหมดเท่าที่ร่างของพวกมันจะทำได้
อู๋ฝานและคณะเว้นระยะห่างจากสัตว์ทรายสีชาดประมาณหนึ่ง ทว่าก็ยังคงได้ยินเสียงกระดูกหักของสัตว์ร้ายได้อย่างชัดเจน ขณะที่ร่างพยัคฆ์ทะยานเมฆลอยอยู่บนฟ้า มันก็สำลักเอาเลือดก้อนใหญ่ออกมา เป็นเหตุให้กลิ่นเลือดเหม็นคละคลุ้งในอากาศ
เดิมนั้นพวกอู๋ฝานแค่ต้องการชมเรื่องราว ดูมอนสเตอร์ทั้งสองต่อสู้กันเอง ทว่าทันใดนั้นร่างของพยัคฆ์ทะยานเมฆที่ลอยลิ่ว กลับพุ่งมาทางที่พวกเขาอยู่เสียอย่างนั้น!
อู๋ฝานและคณะตื่นตระหนก ขณะกำลังคิดหลบหนี ทว่าก็สายเกินไป พวกเขาจึงทำได้เพียงมองร่างพยัคฆ์ทะยานเมฆลอยลิ่วเข้าหาพวกตนเอง
“ตึง!”
พยัคฆ์ทะยานเมฆมีร่างกายใหญ่โต ขณะนี้ร่วงหล่นกระทบพื้นอย่างรุนแรง ทำให้กิ่งไม้ใบหญ้าทั้งหลายในพื้นที่ต่างร่วงหล่นลงจากต้น กระจายไปทั่วทุกทิศทาง
ทิศทางที่พยัคฆ์ทะยานเมฆพุ่งมา ดันบังเอิญเป็นทิศทางที่พวกอู๋ฝานใช้ซ่อนตัวอยู่ ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายต่างชะงักงันกันไปครู่หนึ่ง
พวกอู๋ฝานไม่ได้คิดมาก่อนว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆจะถูกส่งตัวลอยมาทางด้านนี้ พวกเขาคิดว่าการเว้นระยะห่างหลบซ่อนจากพื้นที่ต่อสู้ก็ปลอดภัยมากพอแล้ว ทว่าสถานการณ์ตอนนี้มันทำให้พวกเขายากจะตอบสนองได้ถูก
สัตว์ทรายสีชาดพุ่งทะยานมาทางนี้อีกครั้งหนึ่ง ท่อนซุงที่ติดกับเขาบนศีรษะของมันยังคงอยู่ ทั้งยังดูหนักแน่นมั่นคงมากเสียด้วย
จะทำยังไงดี?
จะสู้หรือว่าหลบหนี?
ขณะอู๋ฝานกำลังครุ่นคิดว่าควรเลือกทางใด สัตว์ทรายสีชาดก็พุ่งทะยานตรงเข้ามาทางด้านหน้า มันเห็นพวกเขาแล้ว!
“โฮก!”
สัตว์ทรายสีชาดคำราม ออร่าแห่งความกระหายเลือดและดุร้ายแผ่พุ่งออกมาจากดวงตาของมัน!
เหมือนว่าจะไม่มีทางเลือก
ตอนนี้ไม่เหลือที่ให้หลบหนีแล้ว!
อู๋ฝานและคณะไม่อาจเดินทางได้รวดเร็วเท่าสัตว์ทรายสีชาดที่ไล่ตาม สัตว์ทรายสีชาดมองพวกเขาเป็นศัตรูเรียบร้อยแล้ว หลังจัดการปลิดชีพพยัคฆ์ทะยานเมฆ มันย่อมหันมาโจมตีพวกเขา ถึงเวลานั้น ก็เหลือทางเลือกเพียงแค่ต้องสู้เท่านั้น!