บทที่ 235 พยัคฆ์ทะยานเมฆผู้ลวงหลอก
บทที่ 235 พยัคฆ์ทะยานเมฆผู้ลวงหลอก
“ฟึ่บ!”
ตอนที่สัตว์ทรายสีชาดกำลังพัวพันอยู่กับอู๋ฝาน ดาบใหญ่ในมือของลั่วเยวี่ยก็ฟันลงใส่ร่างของมันอย่างไร้ความปรานี สัตว์ทรายสีชาดสนใจเพียงอู๋ฝาน เป็นเหตุให้ลั่วเยวี่ยสบโอกาส
ลั่วเยวี่ยสมกับเป็นผู้มีศักยภาพเป็นมือสังหาร นางสามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ทุ่มเทสุดแรงที่มี ฟันคอของสัตว์ทรายสีชาดอย่างดุดันด้วยดาบใหญ่ในมือ
“โฮก!”
สัตว์ทรายสีชาดคำรามด้วยความเจ็บปวด ศีรษะของมันบิดอย่างรุนแรง ลั่วเยวี่ยไม่คิดปล่อยผ่าน นางปีนขึ้นร่างของสัตว์ทรายสีชาด ทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีไว้ที่ดาบใหญ่ในมือ ปักดาบเข้าใส่ลำคอของสัตว์ทรายสีชาด
ตอนนี้พวกหนิวเอ้อต่างก็ลุกขึ้นจากพื้นกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังจะเปิดฉากโจมตีใส่สัตว์ทรายสีชาดโดยพร้อมกัน พยายามฟันใส่ร่างของมันด้วยดาบใหญ่ทั้งหลาย ร่างของสัตว์ทรายสีชาดปรากฏบาดแผลเหวอะ มันแทบจะเหมือนถุงที่ขาดรุ่งริ่ง
ตอนนี้อู๋ฝานยังพยายามดิ้นรน ช่วงชิงความได้เปรียบจากโอกาสที่พวกหนิวเอ้อและลั่วเยวี่ยสร้างขึ้น เพื่อเข้าจัดการกับสัตว์ทรายสีชาด ตัวเขาโน้มสายธนู ตั้งลูกธนูเตรียมเล็งยิงอีกครั้ง แม้ว่าลั่วเยวี่ยและคนอื่นจะอยู่ใกล้กับสัตว์ทรายสีชาด ทว่าลูกธนูของอู๋ฝานก็ยังปักลงใส่ร่างของมันได้อย่างแม่นยำ
สัตว์ทรายสีชาดพยายามดิ้นรน เพียงแต่เรี่ยวแรงของมันก็อ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายล้มลงกองกับพื้นเสียงดัง ‘ตึง!’ เกิดเป็นมวลฝุ่นฟุ้งกระจาย
เห็นดังนั้นพวกอู๋ฝานจึงค่อยถอนหายใจโล่งอกกันออกมาได้
สัตว์ทรายสีชาดที่ได้รับบาดเจ็บหนักจากศึกปะทะกับพยัคฆ์ทะยานเมฆ ตอนนี้ยังทำพวกอู๋ฝานใจสั่นกันไม่หาย ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจและทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มี เพื่อเปิดฉากปิดล้อมสังหารสัตว์ทรายสีชาดลง ขณะนี้สำเร็จแล้ว หากไม่ใช่เพราะมันบาดเจ็บสาหัส ผลลัพธ์สุดท้ายก็คงไม่ใช่การที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันสังหารสัตว์ทรายสีชาดลงได้ แต่เป็นการที่ถูกมันสังหารกันจนหมดในชั่วพริบตาต่างหาก
มอนสเตอร์เลเวลห้าสิบนับได้ว่าแข็งแกร่งอย่างมาก ความแตกต่างทางเลเวลมีมากจนเกินไป สิ่งที่แสดงให้เห็นชัดที่สุดก็คือความต่างทางพละกำลัง มันเกินกว่าที่พวกอู๋ฝานในตอนนี้จะเทียบเปรียบได้
“ยังไงซะ มอนสเตอร์เลเวลห้าสิบก็ให้ค่าประสบการณ์ค่อนข้างมากเลยทีเดียว” การลงมือโจมตีปลิดชีพสัตว์ทรายสีชาดนั้นอู๋ฝานเป็นคนลงมือ ไม่นานก็ได้ยินเสียงจักรกลที่คุ้นเคยแจ้งค่าประสบการณ์อันมหาศาล กล่าวคือเพราะเสียงนี้ต่างหากที่ทำให้อู๋ฝานแน่ใจว่าสัตว์ทรายสีชาดตายแล้วจริง ๆ
“น่าเสียดายอีกตัว ถ้าหากได้ฆ่าพยัคฆ์ทะยานเมฆด้วยล่ะก็ คงได้ค่าประสบการณ์อีกเพียบแน่” อู๋ฝานครุ่นคิดอย่างนึกเสียดายอยู่ภายใน
“นายท่านระวัง!”
ขณะอู๋ฝานกำลังนึกเสียดายเรื่องที่พยัคฆ์ทะยานเมฆตายไปเพราะสัตว์ทรายสีชาด ทำให้เขาอดได้รับค่าประสบการณ์ ทันใดนั้นเสียงเร่งร้อนของลั่วเยวี่ยก็ดังขึ้น
ขณะนี้เองที่อู๋ฝานได้รับรู้ถึงสายลมจากทางด้านหลังใบหู ราวกับว่ากำลังจะมีอันตรายแสนยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามา
อู๋ฝานคิดอยากขยับกายหลบเลี่ยง ทว่าร่างกายคล้ายถูกจับยึดเอาไว้แน่นกับที่ ดังนั้นเขาจึงเผชิญกับสภาพกายแข็งค้างไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
ตอนนั้นเองอู๋ฝานร้อนรนขึ้นมา!
ทว่าลั่วเยวี่ยผู้ซึ่งเมื่อครู่ใบหน้าซีดเผือด กลับเร่งทะยานเข้าหาอย่างสุดชีวิตจากทางด้านหลังของอู๋ฝาน
“ตึง!”
ทั้งอู๋ฝานและลั่วเยวี่ยร่างกระเด็น ขณะที่การโจมตีนั้นเล่นงานโดนที่ลั่วเยวี่ยก่อน ดังนั้นแม้ว่าอู๋ฝานจะร่างกระเด็นเช่นเดียวกัน แต่สภาพของเขานั้นดีกว่าเด็กหญิงอย่างไม่อาจเทียบได้
ทั้งอู๋ฝานและลั่วเยวี่ยต่างกระเด็นกระแทกพื้นรุนแรง ร่างกายชายหนุ่มราวกับได้รับอิสระกลับคืน ขณะนี้จึงเร่งตรวจดูอาการของเด็กหญิง ก่อนจะพบว่ามุมปากของนางมีเลือดไหลออกมา เห็นได้ชัดว่ามีอาการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง อีกทั้งลมหายใจก็ค่อนข้างรวยริน
อีกฝั่งหนึ่ง พวกหนิวเอ้อเร่งพุ่งตัวออกจากร่างของสัตว์ทรายสีชาด เพื่อสกัดขวางทางหน้าอู๋ฝานและลั่วเยวี่ยไว้
“คุ้มกันลั่วเยวี่ย ข้าจัดการต่อเอง!” อู๋ฝานบอกกับพวกหนิวเอ้อ
ขณะนี้อู๋ฝานได้เห็นตัวต้นเรื่องที่เล่นงานทั้งเขาและลั่วเยวี่ยแล้ว มันคือพยัคฆ์ทะยานเมฆ ที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันตายไปแล้ว!
แม้ว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆจะได้รับบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง แต่ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้แสดงอาการอ่อนแรงให้เห็น และเมื่อครู่ที่คล้ายกับว่ามันตายไปแล้วจากการโจมตีของสัตว์ทรายสีชาด ทำให้อู๋ฝานและคณะไม่ได้สนใจสถานการณ์ทางฝั่งนั้น พวกเขาไม่คิดว่าสัตว์ร้ายดังกล่าวจะไม่ได้ตาย แต่แสดงท่าทีว่าอ่อนแรงจนตายไป เพื่อให้พวกอู๋ฝานและสัตว์ทรายสีชาดตายใจ
ไม่ใช่มีเพียงแค่อู๋ฝานที่คิดเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ แต่พยัคฆ์ทะยานเมฆก็ทำเช่นเดียวกัน!
ตอนที่พวกอู๋ฝานพยายามทุ่มเทเรี่ยวแรงกับการสังหารสัตว์ทรายสีชาด ก็คิดไปว่าไม่น่ามีสถานการณ์ร้ายแรงอื่นแล้ว ทำให้คลายความระมัดระวังลง ช่วงเวลานั้นเองที่นักแสดงตัวฉกาจเช่นพยัคฆ์ทะยานเมฆ ลุกพรวดขึ้นมาหมายสังหารอู๋ฝาน หากไม่ใช่เพราะลั่วเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังพุ่งตัวอย่างสุดชีวิตมาคุ้มกันให้ ชายหนุ่มในเวลานี้ก็คงบาดเจ็บสาหัสปางตายแล้ว
ทว่าสภาพของอู๋ฝานตอนนี้ก็ยังค่อนข้างเลวร้าย เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวรับเรื่องราวเช่นนี้
เขาถึงกับถูกมอนสเตอร์ตัวหนึ่งหลอกลวงเอาเสียได้ เรื่องนี้ทำให้ในใจอู๋ฝานเกิดความโกรธขึ้น การที่พยัคฆ์ทะยานเมฆทำร้ายลั่วเยวี่ยจนบาดเจ็บสาหัส มันยิ่งทำชายหนุ่มโกรธมากขึ้น เขาทราบดีว่าด้วยสภาพตอนนี้ของพวกหนิวเอ้อ ไม่มีทางที่จะสามารถต่อกรกับพยัคฆ์ทะยานเมฆเลเวลห้าสิบได้ อาการบาดเจ็บของมันเห็นได้ชัดว่าน้อยกว่าที่สัตว์ทรายสีชาดเคยบาดเจ็บ หากพวกหนิวเอ้อเข้าไปเสี่ยงต่อสู้ ก็มีแต่จะทิ้งชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
แม้ว่าพวกหนิวเอ้อจะกังวลถึงความปลอดภัยของอู๋ฝานจากใจ แต่พวกเขาก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของอีกฝ่าย ขณะนี้จึงเร่งร้อนถอยไปข้างกายลั่วเยวี่ยเพื่อคุ้มกัน พร้อมกับถือดาบใหญ่ในมือจับจ้องพยัคฆ์ทะยานเมฆด้วยความระแวดระวัง
อู๋ฝานลุกขึ้นยืน ออกห่างจากข้างกายของลั่วเยวี่ย มุ่งตรงเข้าหาพยัคฆ์ทะยานเมฆทีละก้าว
พยัคฆ์ทะยานเมฆที่ส่งร่างอู๋ฝานและลั่วเยวี่ยกระเด็นลิ่วกลางอากาศในคราวเดียว มันเป็นเหตุให้เด็กหญิงได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนสิ้นสติ แทนที่มันจะเปิดฉากโจมตีต่อ มันกลับมองพวกอู๋ฝานราวกับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย หลังสัตว์ทรายสีชาดตาย มันคือผู้ที่ยังคงอยู่ และไม่มีคู่ต่อสู้ใดสมน้ำสมเนื้อกับตัวมันอีก มนุษย์ตรงหน้าก็ไม่มีทางต่อกรอะไรมันได้ ดังนั้นมันจึงไม่คิดเร่งร้อนสังหารอีกฝ่าย เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยผ่อนแรงสังหารสัตว์ทรายสีชาด พยัคฆ์ทะยานเมฆไม่ใส่ใจ หากจะปล่อยให้กลุ่มมนุษย์ตรงหน้าได้หายใจกันอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
อู๋ฝานจ้องพยัคฆ์ทะยานเมฆด้วยสายตาเย็นยะเยือก ตอนนี้เขานำเอาป้ายไม้ออกมาจากกระเป๋าหลัง ขณะนั้นเองนักรบอสูรห้าตนจึงปรากฏตัวทางด้านหลังของอู๋ฝาน ดวงตาของพวกมันหมองหม่น พร้อมกับร่างที่ดูรุ่งริ่ง
“ส่งอาวุธของพวกเจ้าให้กับพวกมัน!” อู๋ฝานตะโกนบอกพวกหนิวเอ้อ
พวกหนิวเอ้อสำรวจมอง ‘คนยากไร้’ ห้าคนที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมาจากที่ไหน เพียงแต่สถานการณ์ที่มีชีวิตอู๋ฝานเป็นเดิมพันนี้ พวกเขาย่อมพร้อมใจทำตามคำสั่ง รีบโยนอาวุธของตนเองให้กับกลุ่ม ‘คนยากไร้’ เหล่านั้น
อู๋ฝานสั่งการนักรบอสูรทั้งห้าให้หยิบอาวุธขึ้นมา ด้วยอาวุธในมือ ออร่าจากนักรบอสูรทั้งห้าก็แปรเปลี่ยน พวกมันที่เคยมีดวงตาหม่นหมองไร้ประกายแห่งชีวิต ขณะนี้กลับกลายเป็นคมกล้าประดุจมีดเชือดเฉือน ดวงตาของพวกมันทอประกายความดุร้ายออกมา
จากนั้นอู๋ฝานจึงนำเอาธงสีแดงออกมา
[ธงรบสีแดงระดับเงิน เพิ่มพลังโจมตีสมาชิกหน่วย 20% รองรับการเพิ่มพลังให้สมาชิก 20 คน คงสภาพได้ 30 นาที ระยะเวลาคูลดาวน์ 1 ชั่วโมง]
ในพริบตานั้นพวกหนิวเอ้อที่อยู่อีกด้าน ก็รับรู้ได้ถึงเลือดลมในกายที่พลุ่งพล่าน เป็นความรู้สึกที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เคยเป็น