บทที่ 236 ทุ่มเทสุดเรี่ยวแรง
บทที่ 236 ทุ่มเทสุดเรี่ยวแรง
พวกหนิวเอ้อต่างรู้สึกได้ว่าพละกำลังของนักรบอสูรทั้งห้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พยัคฆ์ทะยานเมฆที่เดิมมีท่าทีสุขกายสบายใจ ขณะนี้มันเผยสีหน้าจริงจัง แม้ไม่ทราบว่ากลุ่มคนชุดขาดวิ่นเหล่านี้ปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร แต่ตัวตนของกลุ่มคนเหล่านี้สร้างแรงกดดันให้มันรับรู้ได้ โดยเฉพาะตอนที่พวกมันได้รับอาวุธ รวมกับช่วงที่อู๋ฝานนำเอาธงรบออกมา แรงกดดันก็ยิ่งปรากฏก็ยิ่งเด่นชัด
“โฮก!”
พยัคฆ์ทะยานเมฆตัดสินใจว่าไม่ควรรีรออีกต่อไป มันจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่ดูจะเป็นภัยคุกคามขัดขวางเส้นทาง หลังร้องคำราม มันจึงพุ่งทะยานเข้าหาอู๋ฝาน
“บุกไป สังหารมัน!”
หลังพยัคฆ์ทะยานเมฆเปิดฉากลงมือโจมตี อู๋ฝานก็ออกคำสั่งแก่นักรบอสูรทั้งห้าตน
หลังได้รับคำสั่งจากอู๋ฝาน นักรบอสูรทั้งห้าจึงตอบสนอง พวกมันพุ่งทะยานเข้าหาพยัคฆ์ทะยานเมฆ แม้ว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆจะแข็งแกร่ง แต่ด้วยฐานะสิ่งมีชีวิตอัญเชิญ นักรบอสูรทั้งห้าต่างก็ไร้ซึ่งความกลัวเกรงอย่างสิ้นเชิง เลือดของโลกอสูรยังคงไหลเวียนในตัวพวกมัน ชาวโลกอสูรมีทั้งความดุร้ายและกระหายเลือด ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายเพียงใด พวกมันก็เพียงแค่ตายในศึกสู้รบ ไม่มีคำว่าถอยหนี
“ตึง!”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มศึกสู้กันอย่างเป็นทางการ หลังปะทะกันครั้งที่หนึ่ง นักรบอสูรถูกพยัคฆ์ทะยานเมฆเล่นงานจนล้มลง ร่างนั้นกระเด็นลอยลิ่วไปราวสองจั้ง สุดท้ายจึงร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง
แม้ว่านักรบโลกอสูรจะแข็งแกร่ง แต่พวกมันแข็งแกร่งก็ต่อเมื่อเทียบเปรียบกับนักรบของโลกมนุษย์ ในส่วนของพยัคฆ์ทะยานเมฆตรงหน้าพวกมันนั้น เป็นมอนสเตอร์เลเวลห้าสิบ ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของโลกอสูร อีกทั้งพยัคฆ์ทะยานเมฆยังเป็นถึงบอสมอนสเตอร์ พละกำลังจึงยิ่งแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ปกติทั่วไป
ป้ายอัญเชิญของอู๋ฝานเพียงแค่ระดับทองแดง ที่อัญเชิญออกมาได้ก็เป็นเพียงแค่นักรบโลกอสูรธรรมดาทั่วไป แม้ว่านักรบโลกอสูรธรรมดาจะไม่ได้มีพละกำลังอ่อนด้อย แต่ก็ยังคงไกลห่างจากพยัคฆ์ทะยานเมฆ หลังเห็นพวกมันถูกเล่นงานร่างกระเด็นลอยลิ่ว อู๋ฝานก็ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด
“ฟิ่ว!”
ขณะทั้งสองฝ่ายกำลังเปิดฉากสู้รบกัน อู๋ฝานก็ไม่ได้อยู่เฉย ลูกธนูในมือของเขาพุ่งตรงปักเข้าใส่ร่างพยัคฆ์ทะยานเมฆครั้งแล้วครั้งเล่า ความเร็วนั้นสูงล้ำ และยังเป็นมุมยิงที่แยบยล
ทว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆเป็นบอสมอนสเตอร์เลเวลห้าสิบ พละกำลังของมันจึงยอดเยี่ยม แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่พอสมควร แต่ก็ยังไม่ใช่อะไรที่ลูกธนูของอู๋ฝานผู้ซึ่งเป็นมือใหม่เลเวลห้าจะทำอันตรายได้ พยัคฆ์ทะยานเมฆสามารถหลบเลี่ยงได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เหมือนว่าจะมีแต่วิชาธนูระดับมาสเตอร์เท่านั้น ถึงจะสามารถสร้างความเสียหายแก่มอนสเตอร์เลเวลนี้ได้” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตนเองขณะเก็บธนูยาวลงไป พร้อมกับนำกระบี่ยาวออกมาแทน
การสำเร็จจากนักธนูระดับสูงไปสู่ระดับมาสเตอร์ได้นั้น ภายในกองทัพ พลแม่นธนูก็ยังต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการฝึกฝน แม้ว่าตัวเขาจะคว้าวิชายิงธนูระดับสูงมาได้ในเวลาไม่นาน แต่การจะสำเร็จระดับมาสเตอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงแล้ว มันยังต้องการทั้งพรสวรรค์และความรู้ความเข้าใจ
เพียงแต่พรสวรรค์ทางธนูไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะมีได้ ดังนั้นพลแม่นธนูระดับสูงจึงยังพอสามารถหาได้ในกองทัพ แต่ไม่ใช่กับพลแม่นธนูระดับมาสเตอร์ ต่อให้มีนักธนูระดับสูงสักหนึ่งร้อยคน ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถประสบความสำเร็จเป็นระดับมาสเตอร์ได้
มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าการยกระดับตรงนี้เป็นเรื่องยากเย็นเพียงใด
แท้จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เพียงแค่นักธนู แต่ยังรวมถึงทักษะวิชาอื่นด้วยเช่นเดียวกัน จากระดับต้นถึงระดับสูง ตราบเท่าที่ฝึกซ้อมมากพอและสั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง มันย่อมสามารถประสบความสำเร็จได้ ทว่าในส่วนของการเลื่อนระดับทักษะให้สำเร็จระดับมาสเตอร์นั้น มันจะต้องมีพรสวรรค์และความรู้ความเข้าใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คนที่มีพรสวรรค์ในด้านนั้น บ่อยครั้งก็จะเป็นถึงอัจฉริยะบุคคล
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ
ขณะที่อู๋ฝานไม่ได้มีเงื่อนไขชวนปวดหัวเหล่านั้น ด้วยฐานะของผู้เล่น เขาจึงมีความได้เปรียบ ตราบเท่าที่ฝึกซ้อมมากเพียงพอ อย่าพูดถึงระดับมาสเตอร์เลย ต่อให้เป็นระดับปรมาจารย์ตนก็สามารถเป็นได้ สำหรับตัวเขานั้นแทบไม่มีบรรทัดฐานของคำว่าปัญหาในการฝึกฝนทักษะ
เพียงแต่อู๋ฝานยังไม่ทราบว่าตนเองจะสามารถก้าวไปจนถึงระดับเทพได้หรือไม่ อย่างไรแล้วในโลกแห่งนี้ก็อาจจะไม่มีผู้ใช้ทักษะระดับเทพเลยแม้สักคนด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าแม้แต่พลแม่นธนูระดับที่เลเวลค่อนข้างสูง การต้องมารับมือกับบอสมอนสเตอร์เลเวลห้าสิบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่าลูกธนูของอู๋ฝานไร้ผลโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยพวกมันก็มีบทบาทในการขัดจังหวะ การที่พยัคฆ์ทะยานเมฆพยายามจะหลบเลี่ยงลูกธนูของอู๋ฝาน เป็นการเปิดโอกาสให้นักรบอสูรอีกสี่ตนเข้าใกล้เพื่อลงมือ
“ฟึ่บ!”
“ฟึ่บ!”
ดาบใหญ่ทั้งสี่เล่มต่างฟาดฟันลงใส่ร่างพยัคฆ์ทะยานเมฆอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายแก่พยัคฆ์ทะยานเมฆไม่มากก็น้อย!
อย่างที่รู้กันว่าดาบใหญ่ทั้งสี่เล่มนี้ถูกสร้างขึ้นโดยช่างตีเหล็กซุน ความคม ความแหลม ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธระดับเงินทั้งสิ้น ความเสียหายที่สร้างได้จึงยอดเยี่ยมอย่างไร้ข้อกังขา ต่อให้เป็นมอนสเตอร์เลเวลห้าสิบ ความเสียหายที่ได้รับนั้น ย่อมไม่มีทางใช่เล็กน้อย
“โฮก!”
และก็เป็นดังคาด
การโรมรันโจมตีด้วยดาบใหญ่ทั้งสี่เล่มต่อเนื่องนั้น ทำให้พยัคฆ์ทะยานเมฆส่งเสียงร้องชวนเวทนาดังออกมา ไม่นานมันก็ตวัดหางอย่างโกรธเกรี้ยวดุดัน ส่งร่างนักรบอสูรสองตนลอยลิ่ว ขณะเดียวกันนั้นก็วางแผนจัดการกับนักรบอสูรอีกสองตนที่เหลือด้วยเช่นกัน แต่แล้วทันใดนั้นเอง หางของมันก็ถูกอะไรบางอย่างปักลงอย่างรุนแรง มันคือกระบี่แหลมคม! ทำให้มันไม่อาจจัดการนักรบอสูรอีกสองตนที่ยังเหลือได้ ขณะนี้มันเร่งหันกลับมามอง ทว่ามันไม่พบเห็นอะไรทั้งสิ้น ไม่มีคนอยู่ตรงนั้น และไม่มีมอนสเตอร์ด้วยเช่นกัน
ผู้ที่ลงมือโจมตีพยัคฆ์ทะยานเมฆเมื่อครู่ย่อมเป็นอู๋ฝาน ตัวชายหนุ่มใช้วิชาดำดินไปเล่นงาน โดยการบุกเข้าหาจากทางด้านหลังของมันโดยไม่ทันให้รู้ตัว ตอนนี้ความสนใจของพยัคฆ์ทะยานเมฆมุ่งเน้นไปยังเหล่านักรบอสูร ทว่าตอนที่เขากำลังจะลงมือต่อ ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะใช้งานหางเพื่อโจมตี และเพราะไม่ทันได้ระวัง ชายหนุ่มจึงถูกหางของมันตบหน้าไปฉาดหนึ่ง
เพียงแต่ตอนที่พยัคฆ์ทะยานเมฆหันกลับมาตอบโต้คนที่ลอบโจมตีมันจากด้านหลังนั้น กลับต้องตื่นตกใจ เพราะด้านหลังของมันนั้นไม่มีใครหรือตัวอะไรอยู่ทั้งสิ้น ราวกับว่ามันไม่เคยมีใครหรือตัวอะไรเคยปรากฏเล่นงานมันจากทางด้านหลัง
ขณะที่พยัคฆ์ทะยานเมฆหันกลับมองนั้นเอง นักรบอสูรอีกสองตนก็ลงมือโจมตีอีกครั้งคราหนึ่ง ดาบอันแหลมคมได้ฝากบาดแผลขนาดใหญ่เอาไว้กับร่างของมันอีกครั้งครา
ส่วนนักรบอสูรอีกสามตน แม้ว่าพวกมันจะบาดเจ็บหนักเพราะถูกพยัคฆ์ทะยานเมฆเล่นงาน แต่พวกมันไม่มีทั้งความหวาดกลัวและอาการเจ็บปวด ดังนั้นจึงลุกพรวดขึ้นอีกครั้งพร้อมโหมบุกหมายสังหารพยัคฆ์ทะยานเมฆให้จงได้
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว พยัคฆ์ทะยานเมฆก็ไม่อาจสนใจอะไรก็ตามที่เล่นงานมันจากทางด้านหลังได้อีก ตอนนี้มันต้องเร่งหันกลับไปตอบโต้เหล่านักรบอสูร
เพียงแต่ขณะที่หันกลับไปนั้นเอง หางของมันก็ถูกเล่นงานอีกครั้งหนึ่ง ความเจ็บปวดโลดแล่นผ่านเส้นประสาทของมัน ทำให้ต้องหันกลับมองหาผู้ลงมืออีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
ขณะพยัคฆ์ทะยานเมฆหันกลับกลับมามองหาตัวผู้ลงมือ นักรบอสูรทั้งห้าก็เปิดฉากโจมตีอีกครั้งหนึ่งแล้ว ดาบใหญ่ทั้งห้าเล่มฟันลงอีกระลอกหนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“โฮก!”
พยัคฆ์ทะยานเมฆร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่เสียงคำรามนี้ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากเสียงคำรามร้องครั้งก่อนหน้า มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโทสะอันล้นพ้น