จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 721-725

ตอนที่ 721-725

บทที่ 721 : อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (5)
  ลานบ้านเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ
  ใบหน้าของมู่เจินเย็นยะเยือกนางช้อนตาขึ้นมองด้วยความโกรธ ทว่าเสียงของนางหายลงลำคอทันทีหลังจากที่เห็นใบหน้าชายชรา
  ไป๋ฉางเฟิ่ง…
  ไป๋ฉางเฟิ่งเจ้าสำนักเวชโอสถกระนั้นหรือ?
  “เจ้าสำนักไป๋ท่านมาถึงแล้วกระนั้นหรือ ?” เหวินหวู่เหว่ยมองไป๋ฉางเฟิ่ง พลางถอนหายใจยาว อย่างผ่อนคลาย “ท่านหมายความว่า ปรากฏการณ์นี้คือการปรุงยาเม็ดระดับแปดใช่หรือไม่ ?”
  “ท่านไม่รู้หรอกหรือ?” ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ไป๋ฉางเฟิ่งก็วาดสายตาไปมองเหวินหวู่เหว่ยช้า ๆ “หมอปรุงยาทำการปรุงยาเม็ดระดับแปดในคฤหาสน์เหวินของท่าน ไยท่านจึงไม่รู้ ? อย่างไรก็ตามวันนี้อสนีบาตมีความรุนแรงมากกว่าที่ข้าได้พบในครานั้นอีก เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นการปรุงยาอายุวัฒนะระดับแปด”
  ไป๋ฉางเฟิ่งมีรอยยิ้มที่มุมปากทว่าเขาไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของมู่เจินนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวทันทีที่เขากล่าวจบ
  ”มาเยือนตำหนักเซียนพยับหมอกในครานี้นับได้ว่าไม่เสียเวลาเปล่าช่างน่ายินดีที่ได้พบกับหมอปรุงยาระดับแปดอีกคน”
  เหวินหวู่เหว่ยถอนหายใจ”ทว่าความแข็งแกร่งของหมอปรุงยาผู้นี้อยู่เพียงแค่ระดับซุ่นเจี่ยเท่านั้น”
  ”ระดับซุ่นเจี่ยกระนั้นรึ?”
  ทันใดนั้นท่าทีเฉยเมยของไป๋ฉางเฟิ่งพลันเปลี่ยนไป เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “ไร้สาระ ร่างที่มีความแข็งแกร่งเพียงระดับซุ่นเจี่ยไม่มีทางต้านรับพลังของอสนีบาตได้หรอก นี่สมองของเขาถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไร ? เขาน่าจะมีอายุห้าสิบหรือหกสิบปี เขาไม่ทราบอะไรเลยหรือ ? ”
  ไป๋ฉางเฟิ่งตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธที่สุดเขาก็ได้พบกับหมอปรุงยาระดับแปด เขาอยากจะสนทนาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับความรู้ด้านการปรุงยาด้วย แต่ผู้ใดจะคิดว่าคนผู้นี้จะประมาทกล้าใช้กำลังอันแข็งแกร่งเพียงซุ่นเจี่ยของตนในการต่อต้านอสนีบาตกระนั้นรึ ?
  หากคนผู้นี้รอดชีวิตมาได้เขาจะสอนบทเรียนให้สักหน่อย !
  โชคดีที่ไป๋ฉางเฟิ่งไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ภายในก็คือไป๋หยานหาไม่ผู้ที่เขาจะให้บทเรียนจะมิใช่ไป๋หยาน ทว่าจะเป็นคนของตำหนักเซียนพยับหมอกต่างหาก
  สีหน้าของเหวินหวู่เหว่ยแลดูละอายแก่ใจ”ผู้ที่อยู่ด้านในนั้นอยู่ในวัยเพียงยี่สิบเศษเท่านั้น”
  ”แค่วัยยี่สิบเศษ?” ครานี้ถึงตาไป๋ฉางเฟิ่งประหลาดใจแทน “ในโลกนี้มีผู้ที่มีความสามารถเทียบเท่าหลานสาวของข้าด้วยกระนั้นหรือ ? ไม่สิ ความแข็งแกร่งของหลานสาวของข้าคือจุนเจี่ย และการปรุงยาก็เพียงระดับเจ็ด หากแต่คนผู้นี้สามารถปรุงยาระดับแปดได้แล้ว ?”
  เท่าที่เขารู้ไป๋หยานเพิ่งบุกทะลวงระดับจุนเจี่ยได้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เช่นนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่า หมอปรุงยาที่เหวินหวู่เหว่ยกล่าวถึงจะเป็นไป๋หยาน
  อย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะฝ่าไปยังตำแหน่งสูงขึ้น ๆ ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
  ”ท่านเจ้าสำนักไป๋”จุนเทียนเยว่เพิ่งรู้สึกตัว นางคว้าแขนของไป๋ฉางเฟิ่ง พลางเอ่ยขอความช่วยเหลือ “ท่านพอจะมีวิธีช่วยเขาบ้างหรือไม่ ?”
  “ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้หรอกเรื่องนี้ต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น”
  ไป๋ฉางเฟิ่งสั่นศีรษะอย่างสงบเงียบ
  แน่นอนหากเขารู้ว่าผู้ที่อยู่ด้านในก็คือไป๋หยาน เขาคงจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป
  ร่างของจุนเทียนเยว่อ่อนระทวยสายตาที่เป็นกังวลของนางหันไปทางประตู หัวใจของนางอึดอัด กระทั่งแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ
  เมื่อเทียบกับความตกใจของคนอื่นๆ แล้ว หัวใจของมู่เจินกลับเต็มไปด้วยความสะใจ นางแพศยานั่นกำลังกลั่นยาระดับแปดจริง ๆ กระนั้นรึ ?
  น่าเสียดายด้วยความแข็งแกร่งของนาง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จในการปรุงยา สมน้ำหน้ามันแล้ว !
  *****
  ภายในห้องพักไป๋หยานนั่งเงียบ ๆ ข้างเตาหลอม ทุกครั้งที่สายฟ้าฟาดลงมา ร่างของนางก็จะแข็งค้าง
  มันเจ็บปวดไปถึงไขกระดูกทุกครั้งที่ฟ้าผ่าลงมา!
  บูม!
  เสียงฟ้าร้องพลันสายฟ้าก็ฟาดลงบนร่างของไป๋หยานอีกครั้ง กระทั่งนางตัวสั่น ปรากฏเลือดไหลรินออกจากมุมปากของนาง แววตาของนางเต็มไปด้วยความทรมาน นางพยายามต่อสู้กับสายฟ้าด้วยเลือดเนื้อของตนเอง
  ”นี่แค่สองครั้งยังเหลืออีกเจ็ดครั้ง !” มุมปากของไป๋หยานวาดเป็นรอยยิ้ม”ต้องต้านรับอีกเจ็ดครั้ง จากนั้นเม็ดยาถึงจะขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เช่นนั้นข้าต้องทน !”
  ***จบบทอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (5)***

บทที่ 722 : อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (6)
  บูม!
  แต่ละครั้งที่สายฟ้าฟาดลงมาความรุนแรงจะหนักหน่วงขึ้นเป็นสองเท่าจากครั้งก่อนหน้า
  เช่นนั้นทันทีที่สายฟ้าฟาดครั้งที่สามเหนือร่างของไป๋หยาน นางจึงกระตุกและเกือบจะล้มลงกับพื้น
  โชคดีที่ชั่ววินาทีสุดท้ายนางก็ต้านรับไว้ได้อีกครั้ง นัยน์ตาของนางสดใสเปล่งประกายด้วยความอดทน
  ”ฟาดลงมาอีกสิ!”
  บูม!
  นี่คือครั้งที่สี่!
  ใบหน้าของไป๋หยานไม่เปลี่ยนสีเลยใบหน้าของนางปราศจากความกลัว ขณะจ้องมองสายฟ้าเบื้องบน
  ฟุ่บ!
  ครานี้ภายใต้อำนาจของสายฟ้าฟาดไป๋หยานถึงกับกระอักเลือดออกมาเต็มปาก นางเช็ดเลือดที่มุมปากของตนเองพลางขมวดคิ้ว “มีบางสิ่งผิดปกติ สำหรับอสนีบาตระดับแปด เหตุใดมันจึงมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ข้าเคยพบมาในชีวิตก่อนหน้านี้ พลังขนาดนี้มันพอ ๆ กับอสนีบาตระดับเก้าได้เลยนะ !”
  เกิดอะไรขึ้นเท่าที่นางจำได้พลังของอสนีบาตระดับแปดนั้นไม่รุนแรงนัก ไม่เป็นปัญหาที่จะต้านรับได้ด้วยความแข็งแกร่งในยามนี้ของนาง
  ทว่าตอนนี้มันกลับรุนแรงเกินกว่าที่นางคิดไว้
  อย่างไรก็ตามตอนนี้นางไม่เหลือทางเลือกแล้ว!
  นางหันกลับไปมองบุรุษผู้ซึ่งอยู่บนเตียงใบหน้าของนางยิ่งสว่างไสวแน่วแน่ยิ่งขึ้น
  ”ข้าจะช่วยท่านให้จงได้!”
  ไม่ว่านางจะต้องเจ็บปวดสักเพียงใดนางก็จะต้องช่วยเขาให้รอด !
  คนบนเตียงดูเหมือนจะได้ยินเสียงของนางคิ้วของเขาขยับเล็กน้อย น้ำตาหยดลงจากมุมหางตา ริมฝีปากของเขาขยับ หากแต่กลับไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ แม้เขาจะอยากพูดสักเพียงใดก็ตาม
  ยามนี้ไป๋หยานได้เบือนสายตาของนางกลับไปแล้ว
  ”ต่อเลย!”
  จากนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกสามครั้งติดๆ กัน นางได้แต่กัดฟันทน และพยายามพยุงตัวเอาไว้ ใบหน้าของนางขาวราวกับหิมะ
  นางรู้ว่านางไม่อาจยอมแพ้ได้!
  หากเจ้ายอมแพ้เจ้าก็จะรักษาเหวินหยุนเฟิงไม่ได้ !
  บูม!
  พลังของอสนีบาตขั้นแปดนั้นร้ายกาจเหลือเกินฉับพลันร่างของไป๋หยาน ก็ทรุดลงกับพื้น แขนของนางค้ำพื้นอย่างหนักแน่น นางพยายามหยัดกายลุกขึ้นจากพื้นอีกครั้ง เรือนผมดำขลับของนางชี้ฟู ทาบทับกับประกายสายฟ้ายิ่งเปล่งประกาย
  ”ครั้งสุดท้ายแล้ว!” ไป๋หยานหัวเราะน้อย ๆ ราวกับสายลม “จะได้จบ ๆ ไปเสียที”
  ทว่าครั้งสุดท้ายนี้จะรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ หลายร้อยเท่านัก !
  สำเร็จก็ได้ยา
  ล้มเหลวนางก็ตาย !
  ไป๋หยานหลับตาลงพลางรอสายฟ้าฟาดครั้งสุดท้าย และแน่นอนว่าเพียงพริบตาสายฟ้าฟาดครั้งที่เก้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา
  ความเจ็บปวดเช่นที่นางคาดคิดไม่ได้เกิดขึ้น
  ไป๋หยานนิ่งอึ้งนางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ยามนี้ภาพเงาเสมือนมายืนอยู่เบื้องหน้านาง
  ภาพเงาเสมือนโปร่งใสเส้นผมสีเงินปลิวไสวไปในสายลม ภายใต้อาภรณ์สีม่วงยิ่งงดงามราวภาพวาด แม้ไป๋หยานจะพยายามเบือนหน้าหลบ หากแต่นางก็ยังสามารถรู้สึกถึงแรงผลักดันที่เพิ่มขึ้นไหลทะลักมาราวกับคลื่นในทะเล
  ”เหตุใด?”
  เหตุใดเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่?
  เหตุใดเขาถึงต้านรับการโจมตีครั้งสุดท้ายแทนนาง?
  หัวใจของไป๋หยานสั่นเทานางรู้สึกตกใจ แต่ครั้นนางลุกขึ้น เพื่อจะถามไถ่ เงานั้นก็เลือนหายไปเสียแล้ว
  ”ตี้คัง!” น้ำเสียงของไป๋หยานสั่นระริก นางเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลรินจากดวงตา
  ป๊อก!
  ยามนี้ไป๋หยานรับรู้ว่ามีเสียงบางสิ่งแตก นางพยายามค้นถุงเก็บของ พลันนางก็พบดอกไม้ที่แกะสลักจากแครอท
  นี่เป็นสิ่งที่นางกับตี้คังร่วมกันใช้ทำอาหารให้เฉินเอ๋อเขาหาโอกาสแกะสลักและมอบให้นาง ยามนั้นนางเกลียดมันมาก ทว่าที่สุดนางก็ยอมรับไว้ แม้ว่านางจะจากตี้คังมา ทว่านางก็ไม่เคยทิ้งมัน
  หากเดาไม่ผิดพลังที่ตี้คังช่วยกันอสนีบาตระดับแปดให้นางเมื่อครู่นี้ ก็คือพลังที่เขาผนึกไว้ในแครอท ทั้งพลังของตี้คังก็แข็งแกร่งมากเหลือเกินทำให้นางไม่รู้สึกถึงการมีพลังนี้อยู่ข้างกายเลย
  ***จบบทอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (6)***
บทที่ 723 : อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (7)
  ”ตี้คัง… ”
  ขาของไป๋หยานอ่อนแรงลงเล็กน้อยนางหาที่นั่ง ขณะที่ถือแครอทหัก ๆ ไว้ในมือ น้ำตาของนางเอ่อ จากนั้นก็ไหลรินราวกับสายน้ำ
  ภายในใจของนางภาพฉากต่าง ๆ หลากหลายภาพพลันทะยอยเลื่อนผ่าน กระทั่งหัวใจของนางสัมผัสอารมณ์ต่าง ๆ นานานับไม่ถ้วน นางหลับตาลงอย่างช้า ๆ
  ”เหตุใด? ทั้งที่ตี้คังทิ้งบางสิ่งไว้ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของข้า ทว่าเหตุใดในวันนั้นเขาถึงได้ส่งคนมาสังหารข้า ? เหตุใด ? นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ?”
  ริมฝีปากของไป๋หยานสั่นระริกนางเริ่มสงสัย นางไม่รู้ว่า นางคิดถูกหรือคิดผิด เกี่ยวกับการตัดสินใจออกจากแดนอสูรในวันนั้น
  *****
  ถ้ำภายในหุบเขาไม่ไกลกันนัก
  ตี้คังหลับตาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทันใดนั้นอกของเขาพลันรู้สึกเจ็บแปลบ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาว เขาพิงกำแพงหินด้านหลัง เพื่อไม่ให้ล้มลงกับพื้น
  ”อ๊ะ!”
  จิ้งจอกตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปหาตี้คังพลางเอียงศีรษะมอง ในแววตาเต็มไปด้วยความกังวล
  นั่นแปลเป็นคำถามได้ว่าท่านเป็นอะไรหรือไม่
  “ข้าไม่เป็นไรเจ้าไม่ต้องกังวล หากแต่มารดาของเจ้าเพิ่งจะตกอยู่ในอันตราย” ตี้คังแตะหัวเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉิน
  หัวใจของไป๋เสี่ยวเฉินตึงเครียดขึ้นมาทันทีเขากระโดดสูงกว่าสามจ้าง แววตาของเขาว้าวุ่น เขาเกือบจะวิ่งออกไป
  ”ไม่ต้องห่วงนางปลอดภัยดี”
  ตี้คังยิ้ม
  พลังที่เขาทิ้งไว้ให้ถูกนางใช้ไปแล้วเช่นนั้นนางย่อมจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใด ๆ เป็นแน่
  พลังที่เขาทิ้งไว้นั่นแม้กระทั่งการโจมตีระดับเทพจากสรวงสวรรค์ก็ยังสามารถต้านรับได้ และพลังป้องกันนั้นจะถูกกระตุ้นให้แสดงพลานุภาพออกมา ก็ต่อเมื่อนางได้พบกับอันตรายที่ร้ายแรงเท่านั้น
  สาเหตุที่ในวันนั้นวันที่ไป๋หยานถูกไล่ล่าและตามฆ่า พลังนั่นกลับไม่ปรากฏก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถเอาชีวิตของนางได้ หากแต่ก็ทำให้ตี้คังต้องโศกเศร้า และโกรธตนเองแทน
  หาไม่แล้วเขาอาจรับรู้ได้ว่านางกำลังตกอยู่ในอันตราย
  ”เฉินเอ๋อเจ้าก็รู้แล้วว่ามีสิ่งไม่ปลอดภัยอยู่รอบตัวแม่ของเจ้า เช่นนั้นเจ้าควรบอกพ่อว่าแม่ของเจ้าอยู่ที่ใด ? พ่อจะสามารถไปปกป้องนางได้ที่ใด ?”
  ตอนตี้คังหลอกลูกเข้าสู่แดนอสูรเขาก็ใช้ไม้อ่อนแบบนี้แหละ
  เขาต้องไม่ใช้ไม้แข็งกับเจ้าตัวเล็กทว่าต้องใช้การหลอกล่อ
  ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้นมองตี้คังหลังจากนั้นเขาก็ส่ายหัว พร้อมกับร้องครางออกมาสองครั้ง
  “เจ้าหมายความว่าเจ้าจะกลับไปถามแม่ของเจ้าก่อนงั้นหรือ ?” นัยน์ตาเรียวคมของตี้คังเปล่งประกายขณะเอ่ยปาก
  ไป๋เสี่ยวเฉินรีบพยักหน้ารับ
  เขาจะพาพ่อไปพบแม่ได้ก็ต่อเมื่อแม่ยินยอมเท่านั้น
  ”ตกลงไปหาหยานเอ๋อไวไวเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่เป็นไร”
  หัวใจของตี้คังเต้นแรงเขาพยายามกดความตื่นเต้นลง พลางกล่าวด้วยเสียงต่ำ ๆ
  ไป๋เสี่ยวเฉินลังเลอยู่เป็นเวลานานเขามองไปที่ตี้คัง ก่อนจะวิ่งตรงไปยังปากถ้ำ เพียงพริบตาก็หายไปต่อหน้าต่อตา
  เช่นนั้นยามนี้ไป๋เสี่ยวเฉินจึงไม่เห็นว่าเมื่อเขาจากไปแล้ว มุมปากของชายผู้นั้นก็ยกโค้งขึ้น
  ”เพื่อที่จะได้พบหยานเอ๋อแล้วข้ายอมใช้ทุกวิธีที่จะทำได้ ทุกที่ที่เฉินเอ๋อไป ข้าก็สามารถติดตามไปได้” ตี้คังกล่าวด้วยแววตาเย่อหยิ่งยโส “หยานเอ๋อ ข้าบอกแล้วไงว่า ชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่อาจหนีจากอ้อมแขนของข้าได้ ! ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปต่อให้สุดขอบโลก หรือในนรกก็ตามที !”
  ไป๋เสี่ยวเฉิน…เจ้าจิ้งจอกน้อยย่อมด้อยปัญญากว่าจิ้งจอกเฒ่าเขาไม่รู้ตัวเลยว่า เขาได้บอกที่อยู่ของไป๋หยานไปแล้ว
  *****
  ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินรีบวิ่งไปหาไป๋หยานไป๋หยานก็หลุดจากห้วงภวังค์แล้ว ยามนี้นางก้าวไปยืนข้างเตาหลอมอย่างเงียบ ๆ นางเปิดฝาเตาหลอมด้วยมือของตน ทันใดนั้นก็ปรากฏยาเม็ดสีเขียววางนิ่งภายในเตาหลอม
  ***จบบทอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (7)***

บทที่ 724 : ไปฉางเฟิ่งโกรธ (1)
  ครั้นหยิบเม็ดยาออกจากเตาหลอมแล้วไป๋หยานก็เดินเงียบ ๆ ไปยืนหน้าเหวินหยุนเฟิง นางวางยาบนริมฝีปากของเขาอย่างระมัดระวัง เพียงครึ่งวินาทีต่อมา เมื่อเม็ดยาสัมผัสกับน้ำลาย ก็กลายกลับเป็นน้ำไหลรินดั่งลำธารใส ฤทธิ์ของยาช่วยให้อวัยวะภายในของเขาอบอุ่นขึ้น
  *****
  เหวินหยุนเฟิงรู้สึกว่าเขากำลังหลับฝัน ช่างเป็นความฝันอันยาวนาน ในความฝัน เขาดูเหมือนจะได้พบหนิงเอ๋ออีกครั้ง เหมือนตอนที่นางพบเขาครั้งแรก นางยิ้มให้เขา และเพราะรอยยิ้มนั้นทำให้เขาติดใจหลงใหลตลอดชีวิต และไม่เคยหลุดพ้นจากวังวนนั้นได้เลย
  ทว่า…
  หากนี่เป็นเพียงความฝันเขาก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในฝันนั้นตลอดไป และไม่ขอตื่นขึ้นมาอีกเลย
  ขอเพียงได้มองนางเช่นนี้…
  ”หนิงเอ๋อ… ”
  เขาเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัวพึมพำเสียงแหบแห้ง นัยน์ตาของเขาค่อย ๆ เผยอขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงจากหน้าต่างตกลงมากระทบ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตา กระทั่งต้องยกมือขึ้นป้อง
  นี่มิใช่ความฝัน…
  เหวินหยุนเฟิงมองเห็นใบหน้าเบื้องหน้าเขาเขากระพริบตาด้วยอาการงุนงง เหมือนที่บางคนกระทำเมื่อไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น
  ”หนิงเอ๋อนี่เป็นเรื่องจริงกระนั้นหรือ ?”
  หนิงเอ๋อ…
  นัยน์ตาของไป๋หยานเปล่งประกายประหลาดใจที่เขาตะโกนออกมานั้น คือคำว่า หนิงเอ๋อ ใช่หรือไม่ ?
  ”ข้ามิใช่ไป๋หนิง”ไป๋หยานเงียบอยู่นาน ก่อนจะตอบคำถาม
  ”เจ้ามิใช่หนิงเอ๋อกระนั้นหรือ?”
  นัยน์ตาของเหวินหยุนเฟิงเต็มไปด้วยความผิดหวังปรากฏว่าหนิงเอ๋อยังคงเป็นเพียงภาพฝันของเขา และจะเลือนหายไปเมื่อเขาตื่นลืมตา
  ”ท่านกับไป๋หนิงแยกจากกันนานกว่า20 ปีแล้ว ท่านยังคิดว่า ข้าเป็นนางอีกหรือไม่ ?”
  ถ้อยคำของไป๋หยานทำให้เหวินหยุนเฟิงตะลึงงัน
  ”นานกว่า20 ปีแล้วกระนั้นหรือ ? นี่ผ่านมานานกว่า 20 ปีแล้ว เช่นนั้นเจ้า … ” เหวินหยุนเฟิงนึกบางอย่างออก สายตาของเขาจับจ้องมองไป๋หยานเขม็ง
  หากจำไม่ผิดหนิงเอ๋อกำลังตั้งครรภ์ และเพราะภรรยาของเขาตั้งครรภ์ เขาจึงรีบกลับมาบอกบิดาว่าเขามีภรรยาแล้ว
  ผู้ใดจะรู้ว่านั่นจะเป็นการจากกันชั่วนิรันดร์ !
  ครั้นไป๋หยานแลเห็นสายตาของเหวินหยุนเฟิงนางก็เผยอริมฝีปากเล็กน้อย “ไป๋หนิงเป็นมารดาของข้า”
  บูม!
  ถ้อยคำนี้ดังเช่นสายฟ้าฟาดเหวินหยุนเฟิงกระตุกตัวแข็งหลายต่อหลายครั้ง
  เป็นเวลานานกว่าเขาจะเหยียดมือใหญ่อันสากหนา พยายามแตะไป๋หยาน ทว่าดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวบางอย่าง เขาจึงหดมือกลับอีกครั้ง
  ”เจ้าเป็นบุตรสาวของหนิงเอ๋อเช่นนั้นเจ้าก็เป็นลูกของข้าใช่หรือไม่ ?”
  เหวินหยุนเฟิงเสียงสั่นเขาหลับตาลงช้า ๆ
  เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะหลับใหลไปนานมาก กระทั่งตื่นขึ้นมาอีกที ลูกก็โตเป็นสาวแล้ว
  ”มารดาของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?นางสบายดีหรือไม่ ? นางยังโทษข้าที่จากมาโดยไม่บอกลาหรือไม่ ?”
  แววตาของเหวินหยุนเฟิงปะปนไปด้วยความประหม่าความกลัว และ ความอึดอัด เขากลัวว่าสตรีที่เขาพร้อมจะรักนางไปชั่วชีวิต จะไม่มีวันให้อภัยเขาได้ในชีวิตนี้
  มือของไป๋หยานกุมหน้าอกแน่น
  หลังจากที่ได้ยินเหวินหยุนเฟิงเรียกไป๋หนิงนางก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดนางถึงต้องเจ็บปวดตามเขาไปด้วย
  นี่สินะที่เรียกว่าการเชื่อมต่อทางสายเลือด?
  ”ท่านแม่ของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสนางมอบข้าให้ผู้อื่น จากนั้นนางก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว”
  “ข้าไม่รู้เรื่องเลย? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ? ไม่…ข้าไม่เชื่อ !!! ภรรยาของข้าไม่มีวันทอดทิ้งข้า !
  เหวินหยุนเฟิงต้องการที่จะลุกขึ้นจากเตียงทว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ออกกำลังกายมานาน นอกจากนี้เขายังตกใจกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้จากไป๋หยาน ร่างของเขาจึงกลิ้งหล่นจากเตียง
  โชคดีที่ไป๋หยานประคองตัวเขาไว้ได้ทันนางพยุงเขาลงนอนอีกครั้ง
  ***จบบทไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (1)***

บทที่ 725 : ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (2)
  ”ข้าจะไปหาหนิงเอ๋อข้าต้องออกตามหานาง นางเป็นคนขี้กลัว ผู้ใดจะปกป้องนางหากนางถูกรังแก ?”
  หัวใจของเหวินหยุนเฟิงกำลังจะแตกสลายเขาแทบจะกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาซีดขาวไร้สีเลือด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดล้ำลึก
  ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเองหากเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เขาไม่ถูกหลอกให้กลับบ้าน เขาก็จะไม่สูญเสียหนิงเอ๋อไป
  ทว่าบัดนี้เป็นเวลากว่า20 ปีแล้ว หนิงเอ๋อของเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดในโลกภายนอกนั่น ตอนนี้ยังไม่ทราบว่านางไปอยู่ที่ใด ต่อให้ทุกคนขัดขวางเขา อย่างไรเสียเขาก็จะต้องออกตามหานางให้จงได้ !
  *****
  ด้านนอกประตูเหวินหวู่เหว่ย และคนอื่น ๆ ต่างก็ได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของเหวินหยุนเฟิง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข หากแต่พวกเขากลับตกตะลึงยิ่งกว่าที่รู้ว่าไป๋หยานสามารถสร้างยาเม็ดระดับแปดได้
  เช่นนั้นพวกเขาจึงรีบรุดไปที่ห้องทว่ากลับทิ้งไป๋ฉางเฟิ่งไว้ด้านนอก
  ไป๋ฉางเฟิ่งเองก็มีความอยากรู้อยากเห็นมากเกี่ยวกับหมอปรุงยาระดับแปดผู้นั้นทว่าตอนนี้ตำหนักเซียนพยับหมอกมีเรื่องที่ต้องจัดการเป็นการส่วนตัว ไม่เหมาะที่เขาจะรีบเร่งเข้าไป
  ”อาวุโสมู่เจิน”
  จงหนานเยาะมุมปากของเขาจิกอย่างเย้ยหยัน ขณะมองใบหน้าซีดขาวของมู่เจินด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อครู่นี้เจ้าว่ากระไรนะ ?”
  ”ฮึ!”
  มู่เจินเย้ยหยัน”นังหญิงไร้ค่านั่นปรุงยาระดับแปดได้แล้วไง ? อย่างไรเสียแม่ของนางก็เป็นเพียงผู้หญิงราคาถูก นางใฝ่ฝันที่จะใช้อำนาจของตำหนักเซียนพยับหมอกล่ะสิ ในฐานะผู้อาวุโสของตำหนักเซียนพยับหมอก ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอม !”
  ”เจ้ารู้จักมารดาของลูกศิษย์ข้ากระนั้นเหรอ?”ใบหน้าของจงหนานเคร่งขรึมอีกทั้งเย็นชา
  “เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่านังเด็กผู้หญิงคนนั้นคล้ายกับนังแพศยาที่ล่อลวงเจ้าตำหนักน้อยเพียงไร? และในเวลานั้นนังแพศยานั่นก็ตั้งครรภ์ เช่นนั้นนางต้องแอบไปคลอดลูกไว้เป็นแน่”
  สองพี่น้องสกุลจงได้ยินเช่นนั้นพลันตัวแข็งนัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อระคนสุขใจ
  หญิงผู้นี้เป็นบุตรสาวของเจ้าตำหนักน้อยกระนั้นหรือ?
  นางจะเป็นผู้สืบทอดตำหนักเซียนพยับหมอกในวันหน้าใช่หรือไม่?
  ”อย่ามีความสุขกันเร็วเกินไปนักนังแพศยานั่นคิดว่า นางเป็นแค่คนยากจนที่ชอบผู้ชายรวย ๆ เพราะเจ้าตำหนักน้อยไม่เปิดเผยตัวตน นางจึงไม่ลังเลเลยที่จะขายเรือนร่างของนางเพื่อแลกกับเงิน ส่วนนังลูกไม่มีพ่อนั่นก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของนาง ?
  มู่เจินหัวเราะเบาๆ อย่างภาคภูมิใจ
  “หุบปาก!” จงหนานกล่าวด้วยความโกรธ “อย่าคิดว่าเจ้าตำหนัก และฮูหยินจะปล่อยเจ้าไป ! พวกเขาเพียงไม่มีเวลาจัดการเจ้าเท่านั้น แล้วตอนนี้เจ้ายังกล้าเหยียดหยามลูกศิษย์ของข้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ?”
  มู่เจินเหลือบตามองจงหนานพลางทำเสียงฮึ ! อย่างเย็นชา นางหันหลังเดินไปที่ห้องของเหวินหยุนเฟิง
  จงหนานโกรธกระทั่งแทบจะโผเข้าจู่โจมก่อนทว่าจงเป่ยดึงแขนของเขาไว้พลางส่ายศีรษะ “เจ้าตำหนักน้อยฟื้นตัวจากอาการป่วยหนัก อย่าเพิ่งลงมือทำอะไร มันอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าตำหนักน้อย ยิ่งไปกว่านั้น มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้ซึ่งเกือบจะกลายเป็นนายหญิงของเราในเวลานั้น ? เรื่องนี้เราต้องหาเบาะแสจากมู่เจิน รวมถึงเรื่องของศิษย์เราด้วย”
  เมื่อได้ยินเช่นนี้จงหนานก็ระงับความโกรธของตนไว้ แววตาของเขาเย็นชาก่อนจะเดินตามไปที่ห้อง
  ”ตำหนักเซียนพยับหมอกมีเรื่องมากมายเลย”
  ไป๋ฉางเฟิ่งส่ายศีรษะอย่างหมดหนทางอย่างไรก็ตาม เรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ เขาทำได้เพียงเป็นผู้รับชมการแสดงดี ๆ นี่เท่านั้น ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้
  อย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตำหนักเซียนพยับหมอกก็ไม่อาจเรียกได้ว่าสนิทสนมกันนัก
  แน่นอนว่าหากไป๋ฉางเฟิ่งรู้ว่าผู้ที่มู่เจินเรียกขานว่านังลูกไม่มีพ่อก็คือหลานสาวของเขา และผู้ที่นางกล่าวว่าขายเรือนร่าง เพื่อเงินก็คือบุตรสาวที่หายไปของเขา เกรงว่าเขาคงไม่อาจนั่งนิ่งใจเย็นดูละครสนุก ๆ ได้เป็นแน่
  *****
  ”ท่านเจ้าตำหนักน้อย!”
  ทันทีที่มู่เจินเข้ามาในห้อง นางก็เห็นเหวินหยุนเฟิงนั่งอยู่บนเตียง นางมีความสุขมาก กระทั่งอดไม่ได้ที่จะซับน้ำตา
  ***จบบทไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (2)***

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท