บทที่ 264 หวงถิงเฟิงมาเยือน
บทที่ 264 หวงถิงเฟิงมาเยือน
ภายในราชสำนักของอาณาจักรเหยียนเฟิงนั้นเต็มไปด้วยคลื่นลมและเมฆครึ้ม ส่วนทางด้านหมู่บ้านเร้นลับที่ไกลห่างจากเมืองหลวง ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างครั้งใหญ่ บรรดาผู้มาจากเทศมณฑลชิงหยวน ภายใต้การนำของหลี่ว์ปิน ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมืองหิน การตัดต้นไม้ หรือการขุดดิน ต่างก็กำลังคืบหน้า
ลั่วหยางและหลี่ว์ปินคอยไปที่เทศมณฑล เพื่อขายวัตถุดิบที่ได้รับมาจากมอนสเตอร์ ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังเกณฑ์คนมาเพิ่มขึ้น รวมถึงคอยรับข่าวคราวล่าสุดจากทางจวน
ส่วนทางอู๋ฝาน เขากำลังออกล่ากับพวกหนิวเอ้อ ตอนนี้กำลังสังหารมอนสเตอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำวัตถุดิบไปขายเป็นเงิน และสะสมค่าประสบการณ์เพิ่มเลเวล
อู๋ฝานในโลกความเป็นจริงก็ค่อนข้างยุ่งเช่นกัน หลังออกกำลังกายช่วงเช้าที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยเจียงโจว ชายหนุ่มก็รีบมุ่งหน้าไปจัดการนำวัตถุดิบออกจากกระเป๋าหลัง เพื่อจัดเก็บไว้ภายในโกดัง
สำหรับอู๋ฝานที่ยืนยันจะซื้อวัตถุดิบด้วยตนเองนั้น เฉินปิงเหยาไม่อาจทำความเข้าใจได้ กระทั่งสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่เชื่อใจเธอ เพราะเกรงจะแอบเก็บกำไรเอาไว้ส่วนตัวหรือไม่ ไม่เช่นนั้นแล้ว เพราะอะไรชายหนุ่มจึงรับผิดชอบหน้าที่ซื้อหาวัตถุดิบด้วยตนเอง?
ปัจจุบันอู๋ฝานยังไม่มีวิธีการแก้ไขที่ดีพอ เรื่องการเทเลพอร์ตข้ามโลก มันไม่อาจเปิดเผยกับใครได้ อีกทั้งวัตถุดิบส่วนใหญ่สำหรับใช้ในร้านอาหารก็มาจากอีกโลกหนึ่ง ดังนั้นภาระงานซื้อวัตถุดิบชายหนุ่มจึงต้องลงมือทำด้วยตนเอง หากปล่อยให้คนอื่นช่วยเหลือ ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะช่วยได้อยู่ดี
เพียงแต่อู๋ฝานเองก็ทราบว่ามันไม่ใช่เรื่องดีในระยะยาว ในอนาคตเขายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะคอยรับผิดชอบซื้อวัตถุดิบอยู่ตลอด อีกทั้งการเดินทางแต่ละครั้งก็จำเป็นต้องใช้เวลาไม่ใช่น้อย
ส่วนที่ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร อู๋ฝานในตอนนี้ยังไม่มีทางแก้ไขที่ดีพอ
ตอนที่อู๋ฝานกลับมายังร้าน ก็ได้พบเห็นร่างอันคุ้นเคยภายในโถงกลาง อีกฝ่ายนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ไม่ได้แตกต่างอะไรจากลูกค้าทั่วไป ชายหนุ่มต้องนึกอยู่พักหนึ่ง แต่แทนที่จะเดินเข้าไปทักทาย เขากลับเดินตรงเข้าไปยังครัว
คนคุ้นเคยที่อู๋ฝานได้เห็นเมื่อครู่ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้จัดการร้านคัลเลอร์แมนอย่างหวงถิงเฟิง
ช่วงนี้ร้านของหวงถิงเฟยไม่ค่อยดีนัก เพราะสถานการณ์กำลังย่ำแย่ลง แม้ร้านอาหารโลกในแหวนของอู๋ฝานจะเพิ่งเปิดทำการได้ไม่กี่วัน แต่อุตสาหกรรมร้านอาหารในแวดวงของเหล่าผู้มีอิทธิพลและผู้มั่งคั่งในเจียงโจวปัจจุบันกำลังมีชื่อเสียงมากขึ้น วันนี้ร้านโลกในแหวนได้ช่วงชิงลูกค้ามากมายไปจากร้านคัลเลอร์แมน อย่างไรร้านทั้งสองก็จับกลุ่มลูกค้าเดียวกัน ระยะห่างก็ไม่ไกลนัก กิจการของฝั่งอู๋ฝานกำลังรุ่งเรืองขึ้น ดังนั้นกิจการของร้านคัลเลอร์แมนย่อมแย่ลงเป็นเงาตามตัว มันคือผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เพราะเหตุผลดังกล่าว หวงถิงเฟิงจึงร้อนใจ ทางหนึ่งแจ้งให้ทางครัวพัฒนาอาหารเมนูใหม่ ส่วนเขาก็กำลังสร้างช่องทางติดต่อกับลูกค้า กระทั่งจัดงานเชื่อมสัมพันธ์ขนาดเล็กขึ้นมา ทว่าการกระทำเหล่านั้นก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จที่ดีพอ
การพัฒนาเมนูใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับเมนูใหม่ที่จะเป็นทั้งที่นิยมและกระแสความสนใจ แม้หลายวันที่ผ่านมาเชฟของร้านคัลเลอร์แมนคิดอาหารขึ้นมาได้หลายจาน แต่การตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างจืดชืด
ส่วนเรื่องการติดต่อลูกค้าและประชาสัมพันธ์ มันแทบไม่ได้ผลอะไรมากนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่คือผู้มั่งคั่งและผู้มีอำนาจในเจียงโจว หรือไม่ก็เหล่าคุณชายคุณหนูตระกูลร่ำรวย พวกเขาเหล่านั้นมีดวงตาวางเหนือศีรษะ ปกติแทบไม่มองผู้จัดการร้านคัลเลอร์แมนอย่างเขาในสายตา อีกทั้งพวกเขาเหล่านั้นยังไม่ขาดแคลนเงินทอง เรื่องส่วนลดหรือการประชาสัมพันธ์อะไรนั้นไม่มีทางคิดใส่ใจ
เห็นกิจการของร้านเริ่มย่ำแย่ลง หวงถิงเฟิงจึงเริ่มได้ตระหนักถึงแรงกดดันจากเถ้าแก่ของตนเอง ทว่าเขาก็อับจนหนทาง ดังนั้นวันนี้จึงได้มาเยือนร้านโลกในแหวน ต้องการลิ้มรสชาติอาหารของที่นี่ เพื่อดูว่ามันแตกต่างอย่างไรหากเปรียบเทียบกับร้านคัลเลอร์แมน ในฐานะผู้จัดการ หวงถิงเฟิงย่อมมีประสบการณ์วิเคราะห์อาหารมาไม่น้อย
แน่นอนว่าก่อนจะมาที่นี่หวงถิงเฟิงได้ปลอมตัวก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้คนอื่นทราบว่าผู้จัดการร้านคัลเลอร์แมนอย่างเขา วิ่งเข้าร้านของคู่แข่งมาทานอาหาร ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป มันจะไม่ยิ่งทำให้หลายคนคิดว่าร้านอาหารอย่างคัลเลอร์แมนด้อยกว่าร้านโลกในแหวนหรอกเหรอ? ไม่งั้นเหตุใดผู้จัดการเช่นเขาต้องมาที่ร้านคู่แข่ง
ทว่าหวงถิงเฟิงไม่ได้คาดว่าการปลอมตัวของตน จะถูกอู๋ฝานเห็นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อยังไม่ถึงช่วงเวลาทานอาหาร ทางร้านจึงไม่ได้ยุ่งมากมายนัก ไม่นานอาหารที่หวงถิงเฟิงสั่งจึงถูกนำมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
หอม! หอมเหลือเกิน!
แม้ว่ายังไม่ได้ขยับตะเกียบ แต่หวงถิงเฟิงก็ถูกกลิ่นหอมของอาหารดึงดูดเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว เดิมเขาไม่ได้หิวมากมายอะไร กระทั่งว่าทานอะไรรองท้องก่อนมาแล้วด้วยซ้ำ ทว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ มันกลับทำให้เขารู้สึกอยากอาหารขึ้นมา
ในฐานะผู้จัดการร้าน หวงถิงเฟิงย่อมทราบดีว่าความรู้สึกเช่นนี้ยากจะพบพาน มันยิ่งทำให้ในใจของเขาตื่นตระหนก เพราะแค่ช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ทาน เพียงได้กลิ่น มันกลับทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นรสชาติของอาหารคงจะยิ่งกว่านั้นไปอีก
“บางที อาหารนี้อาจดีเพียงแค่กลิ่น รสชาติตอนที่เคี้ยวในปาก อาจไม่ได้อร่อยอะไรขนาดนั้น” หวงถิงเฟิงพยายามปลอบใจตนเอง
ด้วยความคาดหวังและร้อนใจ หวงถิงเฟิงพลันส่งอาหารเข้าปากคำหนึ่ง ทันทีที่อาหารสัมผัสประสาทรับรส กลิ่นหอมก็เริ่มฟุ้งกระจายภายในปาก มันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายในเวลาสั้น ๆ ราวกับทุกเซลล์ในร่างกายกำลังตอบรับ หวงถิงเฟิงถึงขนาดหลับตาลงดื่มด่ำรสชาตินั้นอยู่นาน ขนาดที่ว่ายากจะทำใจกลืนลงไป
ทว่าตอนที่ลืมตาขึ้นมา สายตาของเขาก็ปรากฏแววตื่นตระหนก สีหน้าเองก็เช่นกัน!
เขามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อหาข้อผิดพลาด เดิมใจนั้นไม่ได้คิดว่ารสชาติอาหารของที่นี่จะดีอะไร ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ ความตั้งใจกลับต้องคลาดเคลื่อนไป เขากำลังถูกรสชาติของอาหารนี้ดึงดูดล่อลวง ผลที่ตามมาเรียกได้ว่าน่าสะพรึง
อู๋ฝานมีฝีมือทำอาหารร้ายกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?!
หวงถิงเฟิงเป็นผู้จัดการของร้านคัลเลอร์แมนมานาน ดังนั้นย่อมพอมีเส้นสายในวงการ เขาทราบดีว่าทุกวันนี้ ร้านโลกในแหวนถูกขับเคลื่อนโดยอู๋ฝาน
ส่วนที่ว่าอู๋ฝานมีฝีมือระดับใด หวงถิงเฟิงคิดว่าตนเองยังพอมีความเข้าใจอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้ที่ชายหนุ่มและหลิวอี้เตาแข่งขันกัน หวงถิงเฟิงก็ได้ชิมอาหารและซุปที่อีกฝ่ายทำขึ้น แม้รสชาติจะสูงส่งกว่าหลิวอี้เตา แต่ก็ไม่ได้สูงส่งกว่ามากมายนัก
แต่ตอนนี้คืออะไร? มันเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน เพราะอะไรฝีมือของอู๋ฝานจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากถึงขนาดนี้?
แม้ไร้ซึ่งหลิวอี้เตาในร้านคัลเลอร์แมน แต่เขาก็ได้เชิญเชฟที่ระดับทัดเทียมกับอีกฝ่ายมาแทนแล้ว เดิมตอนที่ทราบว่าอู๋ฝานรับผิดชอบการทำอาหาร หวงถิงเฟิงแทบไม่ได้คิดจริงจังอะไร เพราะเขามองว่าฝีมือของชายหนุ่มก็เทียบได้กับเชฟใหญ่ของร้านตนเอง หากทั้งสองแข่งขันกัน อย่างไรก็ยากตัดสินแพ้ชนะ
ทว่าหลังได้ลิ้มรสอาหารที่อู๋ฝานทำออกมา ความคิดเหล่านั้นของหวงถิงเฟิงก็หายไป เพราะเขาได้ลิ้มรสแล้ว ระดับของเชฟที่ร้านคัลเลอร์แมนไม่อาจทัดเทียมกับชายหนุ่มได้ เรียกว่าไกลห่างซะด้วยซ้ำ ตราบใดที่ไม่ใช่คนประสาทรับรสบกพร่อง อย่างไรก็ต้องสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างทั้งสองได้อย่างชัดเจน
ความแตกต่างนี้มากจนเกินไป เปรียบเสมือนช่องว่างที่กว้างใหญ่จนไม่สามารถข้ามผ่าน