บทที่ 278 ผู้ฝึกตน
บทที่ 278 ผู้ฝึกตน
ตัวละครหลักของการต่อสู้ครั้งนี้ออกไปแล้ว การต่อสู้ก็จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนที่มาเพื่อรับชมก็เริ่มแยกย้าย กระทั่งคนของชมรมการต่อสู้ก็ยังเดินทางกลับกันไป ทั่วทั้งโถงของโรงยิม จึงเหลือเพียงแค่สามคน อู๋ฝาน หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ และถังอวี่เฟย
แม้ว่าการแข่งขันจบลงแล้ว แต่ผลกระทบและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมไม่มีทางจบลงง่าย ๆ ในหมู่ผู้ชมที่เดินทางกลับไป ย่อมต้องนำเรื่องราววันนี้ไปเปิดเผยให้รู้กันทั่วทั้งมหาวิทยาลัย
ทั้งเหอเหลียงและโนซาวะ ชูอิจิต่างก็ตกเป็นผู้ร้ายของเหตุการณ์นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์และอู๋ฝานเป็นฝ่ายคนดีผู้ถูกกระทำ โดยเฉพาะชายหนุ่ม เพื่อปกป้องนักศึกษาจึงลงมือทำร้ายโนซาวะ ชูอิจิไปอย่างหนักมือ เป็นการเล่นงานวายร้ายโฉดชั่ว ทำเอาบรรดานักศึกษาที่ได้เห็นต่างชื่นชม เรื่องนี้ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาในมหาวิทยาลัยเจียงโจวโด่งดังขึ้น
“ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ?” อู๋ฝานถามหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ “มันก็ไม่ใช่แผลใหญ่อะไรตั้งแต่แรก”
“นี่ หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ สภาพเธอเรียกว่าแย่นะ” ถังอวี่เฟยยิ้มบางตอบรับ “แผลยาวขนาดนี้ ต่อให้หายดี ยังไงก็ต้องเหลือรอยแผลเป็น ถึงจะบางแต่ก็ยาว อาจจะเหมือนตะขาบ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว ไม่รู้เลยว่าแฟนเธอในอนาคตจะกลัวเธอเพราะแผลเป็นนี่หรือเปล่า ต่อไปนี้เธอคงแทบไม่มีโอกาสได้ใส่เสื้อแขนสั้นอีกแล้วมั้ง”
ถังอวี่เฟยที่กังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ หลังได้เห็นว่าอีกฝ่ายปลอดภัยแล้ว เธอก็เริ่มกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
อู๋ฝานห้ามถังอวี่เฟยด้วยสายตา โดยหวังว่าเธอจะหยุดพูด
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เผยเสียงเย็นตอบรับ
อู๋ฝานก็พอมองออกว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เองก็กังวลเรื่องแผลเป็น พอมาคิดดูแล้ว ผู้หญิงก็ต้องรักสวยรักงามไม่ใช่เหรอ ใครกันจะชอบให้มีรอยแผลเป็นปรากฏบนแขนขาวเนียนของตัวเอง? ต่อให้เป็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่มักจะเย็นชา แต่ก็คงไม่มีทางที่จะมองข้ามเรื่องนี้
“ไม่ต้องห่วงครับ มันไม่น่าจะเหลือรอยแผลเป็น ต่อให้เหลือรอยแผลเป็น ผมก็มีวิธีกำจัดให้” อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้น
ที่อู๋ฝานพูดออกมานี้ ไม่ใช่คำปลอบอย่างไร้สาเหตุ เพราะอาจารย์ของเขาคือปรมาจารย์ปรุงยา อาจารย์ปรุงยาหลี่มีฝีมือเลิศล้ำ เขาย่อมสามารถพัฒนายาเพื่อกำจัดรอยแผลเป็นบนแขนของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ได้
“จิ๊ จิ๊! อาจารย์อู๋คะ คุณทำดีกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เกินไปแล้ว มีเจตนาคิดไม่ซื่ออะไรหรือเปล่าคะ?” ถังอวี่เฟยเผยยิ้ม พลางถาม “แต่ว่านะ ครั้งนี้คุณอาจต้องกลืนคำพูดแล้วล่ะค่ะ ในตลาดมียาหลายตัวที่บอกว่าลบรอยแผลเป็นได้ก็จริง แต่ไม่มีอันไหนที่ได้ผลจริงเลยสักอย่าง ไม่เคยเห็นเหรอคะว่าดาราใหญ่อย่างสวี่จื่อฉีมีรอยแผลเป็นตรงข้อมือ ผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังลบไม่ออกน่ะ? ดาราใหญ่ที่ต้องห่วงเรื่องภาพลักษณ์ขนาดนั้น ถ้ามีหนทาง เธอคงหาทางกำจัดรอยแผลเป็นนั่นไปแล้ว ปัจจุบันเธอถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของประเทศ ด้วยเงินและเส้นสายระดับนั้น แต่กลับยังไม่มีวิธีกำจัดรอยแผลเป็น ดังนั้นการที่บอกว่าสามารถช่วยหลิ่วเหยียนเอ๋อร์กำจัดรอยแผลเป็นได้ ออกจะเป็นไปไม่ค่อยได้ค่ะ”
ทั้งสีหน้าและสายตาของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่เดิมเป็นประกาย ขณะนี้หมองหม่นลงไปหลายส่วน
“ก็ไม่จริงเสมอไปครับ คนอื่นทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมจะทำไม่ได้” อู๋ฝานตอบกลับ
ถังอวี่เฟยจึงยกนิ้วโป้งให้อู๋ฝาน พร้อมเอ่ยคำ “อาจารย์อู๋ ฉันชอบความมั่นใจแบบนี้ค่ะ”
“ไม่ว่ายังไง ฉันก็อยากขอบคุณค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์บอกอู๋ฝาน
เห็นได้ชัดไม่ว่าจะถังอวี่เฟยหรือหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ต่างก็ไม่เชื่อว่าอู๋ฝานจะสามารถลบเลือนรอยแผลเป็นจนหมดได้
อู๋ฝานไม่ได้อธิบายอะไรต่อ อย่างไรแล้วเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าอาจารย์ปรุงยาหลี่จะสามารถทำยาเช่นนั้นขึ้นมาตอนนี้ได้หรือไม่ และก่อนจะได้เห็นผลลัพธ์ หากเขาพูดมากจนเกินไป ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยย่อมไม่มีทางเชื่อ
“ยาสมานแผลนี้หามาจากที่ไหนกันคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถามกับอู๋ฝาน
ในฐานะผู้ฝึกตนคนหนึ่ง หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ย่อมต้องเคยได้พบเห็นยาสมานแผลมามาก แต่เธอกลับไม่เคยได้เห็นยาที่ได้ผลชะงักและรวดเร็วเหมือนดังที่อู๋ฝานมี
“ผมเรียนมาและปรุงด้วยตัวเองครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
เดิมอู๋ฝานคิดจะบอกออกไปว่ายาสมานแผลนี้อาจารย์ของเขาเป็นคนทำขึ้น เพราะแต่เดิมมันก็เป็นผลงานของอาจารย์ปรุงยาหลี่ เพียงแต่อาจารย์ปรุงยาหลี่อยู่ที่อีกโลกหนึ่ง หากหลิ่วเหยียนเอ๋อร์อยากพบอาจารย์ของเขาขึ้นมา อย่างนั้นเขาจะไปหาอาจารย์มาจากที่ใด? ดังนั้น อู๋ฝานจึงต้องบอกว่าปรุงมันขึ้นมาด้วยตนเอง
ที่จริงแล้วอู๋ฝานเองก็มีฝีมือด้านการปรุงยา เพียงแต่สรรพคุณไม่มีทางเทียบได้กับอาจารย์ปรุงยาหลี่ ช่วงที่ผ่านมา เขาแทบไม่มีเวลาได้ฝึกฝนวิชาปรุงยาเลยแม้แต่น้อย
“ทำขึ้นเองเหรอคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองอู๋ฝานด้วยความประหลาดใจ ทางด้านถังอวี่เฟยก็สงสัยไม่ต่างกัน
ในหมู่ผู้ฝึกตน ย่อมมีคนที่สามารถปรุงยาได้ เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นมีจำนวนเพียงน้อยนิด แต่ละคนต่างก็มีพรสวรรค์เลิศล้ำ พวกเขาต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าประจำกองกำลังที่ตนเองสังกัด หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่คิดว่าอู๋ฝานจะสามารถปรุงยาได้ และยาที่ปรุงขึ้นมานี้ยังมีสรรพคุณเลิศล้ำ
“ครับ” อู๋ฝานตอบรับ
“งั้นคุณก็เป็นผู้ฝึกตน?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟย ก่อนหน้านี้รู้เพียงว่าอู๋ฝานเป็นคนธรรมดา และตอนที่สู้กับกลุ่มอันธพาลครั้งก่อน เขาก็เอาชนะมาโดยใช้เพียงแค่กำลัง ไม่ได้มีกระบวนท่าอะไร เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้ฝึกตน
แต่การลงมือของอู๋ฝานเมื่อครู่ รวมถึงยาที่นำออกมา ทั้งหมดบ่งชี้และพิสูจน์ว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งฝีมือของเขายังไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เรื่องนี้ทำให้หญิงสาวประหลาดใจ นี่ผ่านมานานแค่ไหนกันแล้วนะ? ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกลับก้าวหน้าขึ้นมาก จนยากที่จะเชื่อได้ด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าถังอวี่เฟยก็รู้ถึงตัวตนผู้ฝึกตนของอู๋ฝานก่อนหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ อย่างไรที่ปาร์ตี้วันเกิดของเธอ ชายหนุ่มก็เป็นคนส่งวิชาฝึกฝนระดับลึกล้ำออกมา หากบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตน ถังอวี่เฟยไม่มีทางเชื่อ
“ครับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ
เมื่อมาถึงจุดนี้ อู๋ฝานก็ยากจะปฏิเสธได้อีก แต่แท้จริงชายหนุ่มเป็นเพียงคนที่มีเพียงแค่วิชายอดศัสตราวุธติดตัว และเขาก็ไม่ได้ชอบวิชานี้มากนัก เพราะหากไร้ดาบหรือกระบี่ติดตัวมาก็ไม่อาจใช้งาน การที่จะสามารถเอาชนะคนอื่นได้ ก็อาศัยพึ่งพาค่าสถานะของผู้เล่นทั้งสิ้น ทุกค่าสถานะทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ดังนั้นพละกำลังของตนจึงยอดเยี่ยมกว่าใคร
เพียงแต่อย่างไรแล้วเขาก็ฝึกฝนวิชายอดศัสตราวุธ ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกตนก็คงไม่ผิดนัก
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ชะงัก แต่ในใจเธอก็เกิดความสงสัย
เธอรู้จักอู๋ฝานมาก่อน และทราบว่าด้วยสถานการณ์ของอู๋ฝาน ด้วยพื้นเพของเขาแล้ว ย่อมไม่มีโอกาสได้ข้องเกี่ยวกับการฝึกตน การต่อสู้กับกลุ่มอันธพาลก่อนหน้านี้ ก็ถือเป็นประเด็นที่พิสูจน์ได้
แต่อู๋ฝานในตอนนี้ ได้ข้ามผ่านจุดตั้งต้นของผู้ฝึกตน เป็นผู้ฝึกตนแล้ว อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ระดับการฝึกฝนของเขากลับเทียบได้กับเธอ หรืออาจจะสูงส่งกว่า ตามหลักมันคือเรื่องที่ไม่สามารถเชื่อได้ บรรดาอัจฉริยะแห่งการฝึกฝนที่เธอเคยรู้จัก ก็ไม่เคยมีใครที่จะก้าวหน้าได้ในระยะเวลาสั้น ๆ จนประสบความสำเร็จขั้นสูงถึงระดับนี้ได้
แม้ว่าเธอสงสัยเรื่องของอู๋ฝาน แต่มันเกี่ยวข้องกับความลับของชายหนุ่มโดยตรง หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ไม่สะดวกที่จะถามอะไรไปมากกว่านี้
เขาคือผู้ฝึกตน และด้วยพละกำลังของเขา มันคล้ายว่าจะเหนือกว่าเธอไปแล้ว
คิดได้ดังนั้น หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา