บทที่ 297 โฉวหย่งเชา
บทที่ 297 โฉวหย่งเชา
“ไม่ได้!” อู๋ฝานเผยสีหน้าเย็นเยียบ “ที่นี่อันตราย อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ตอนนี้เชื่อฟังข้าและกลับไปซะ ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปกป้อง!”
ฝั่งของอู๋ฝานมีคนราวหกสิบที่สามารถต่อสู้ได้ ส่วนจำนวนของศัตรูที่สามารถสู้ได้ก็ควรเป็นกำลังคนที่ยังหนุ่มและแข็งแกร่ง จำนวนคนน่าจะราวสองถึงสามพัน ส่วนที่เหลือน่าจะแค่ติดตามมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพ
ทว่าจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายก็ยังแตกต่างกันนับสิบเท่าอยู่ดี แม้ว่าจะมีการติดตั้งกับดัก ติดอาวุธและเครื่องป้องกันให้ฝั่งนี้ รวมกับอุบายที่มีและเตรียมเอาไว้ สิ่งเหล่านี้พอทำให้อู๋ฝานยังมีกำลังสู้รบ ถึงจะค่อนข้างอันตรายมากแต่ก็ไม่ใช่ไม่มีทาง
อาการบาดเจ็บของลั่วเยวี่ยยังไม่หายดี อู๋ฝานจึงไม่ต้องการให้นางมาเสี่ยง
“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นเจ้าค่ะ!” ลั่วเยวี่ยตอบคำอย่างหนักแน่น
“คำพูดของข้าไม่ใช่เรื่องอะไรที่เจ้าต้องเชื่อฟังแล้วสินะ?” อู๋ฝานขมวดคิ้ว
ลั่วเยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังยืนกราน “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงนี้ยังคงหนักแน่น เพียงแต่ลดทอนตัวตนลงไปกว่าก่อนหน้า ราวกับลดอำนาจในเสียงลง เพราะกลัวอู๋ฝานจะโกรธ
อู๋ฝานปวดหัวอยู่ในใจ เขาไม่คาดว่าลั่วเยวี่ยจะดื้อรั้นถึงขนาดนี้ หากบังคับส่งนางกลับไป ผลก็พอเดาได้ว่าเมื่อใดเกิดการต่อสู้ขึ้น นางจะต้องแอบออกมาร่วมสู้รบ แทนที่จะปล่อยให้นางลอบทำเช่นนั้น การให้นางอยู่ในสายตาย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า
“ก็ได้ อยู่ต่อที่นี่ แต่ต้องอยู่ข้างกายข้าเอาไว้ ห้ามออกห่างไปไหน” อู๋ฝานออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ!” ลั่วเยวี่ยตอบรับด้วยสีหน้ายินดี
ตอนนี้เองที่แมวเมฆหิมะปรากฏตัว มันเคลื่อนตัวผ่านฝูงชน กระโดดขึ้นไปนั่งบนไหล่ของอู๋ฝาน พร้อมกับเผยสายตาสงสัยจ้องมองกลุ่มคนที่วุ่นวายอยู่นอกหมู่บ้าน
อู๋ฝานมองแมวเมฆหิมะพลางบอก “เจ้าตัวน้อย ที่นี่อันตรายมาก กลับไปป่าหลังภูเขาก่อนจะดีกว่า”
หลายวันมานี้ แมวเมฆหิมะมักจะอยู่ที่หมู่บ้านในช่วงกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนที่อู๋ฝานกลับโลกความเป็นจริง เจ้าตัวน้อยจะกลับไปใช้ชีวิตในป่าหลังภูเขา
เพียงแต่เจ้าตัวน้อยคล้ายไม่ฟังคำของอู๋ฝาน มันมีท่าทีเหมือนลั่วเยวี่ย ตอนนี้ปักหลักอยู่บนไหล่ของเขา ไม่มีท่าทีคิดกลับไป
เจอความดื้อรั้นอีกหนึ่งแล้ว
อู๋ฝานได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ ทว่าก็ไม่ได้บังคับให้แมวเมฆหิมะต้องกลับไปแต่อย่างใด มันค่อนข้างฉลาด ทั้งยังว่องไว อีกทั้งยังไม่ใช่มนุษย์ หากเกิดการต่อสู้เกิดขึ้นจริง มันจะสามารถซ่อนตัวเองได้ ทหารของกองทัพกบฏจะไม่เสียเวลาไล่ตามสังหารมันอย่างแน่นอน
ระยะราวสี่ถึงห้าลี้จากหมู่บ้านเร้นลับ กำลังคนราวสี่ถึงห้าพันกำลังเคลื่อนที่มาอย่างเชื่องช้า ส่วนใหญ่เดินเท้า มีเพียงสิบคนที่ขี่ม้า เป็นกองทัพที่เดินอย่างไร้ซึ่งระเบียบ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเดินทัพ แต่เป็นประหนึ่งมาเดินเล่นเที่ยวชมป่าไม้
คนกลุ่มนี้เป็นกองทัพกบฏที่เคยออกอาละวาดไปรอบ ๆ เทศมณฑลชิงหยวน ตอนนี้ปล้นชิงหมู่บ้านรอบเทศมณฑลชิงหยวนไปแล้วสามถึงสี่แห่ง ทำให้กองทัพนี้เริ่มที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง
หัวหน้าของกลุ่มเป็นชายวัยกลางคนนามโฉวหย่งเชา เขามีร่างกายที่แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้เคยเป็นองครักษ์ให้กับตระกูลใหญ่ รับการฝึกร่างกาย เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ โดนห้าถึงหกคนรุมยังไม่อาจทำอะไรได้ หลังลักขโมยของจากบ้านเจ้านายและถูกเจอ สุดท้ายจึงต้องหลบหนีออกมา
ยามนี้ที่ทั้งอาณาจักรเหยียนเฟิงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โฉวหย่งเชาจึงไม่คิดอยู่เฉย แต่ใช้ความกล้าที่ตนมี บีบบังคับกลุ่มคนจัดตั้งกองกำลังของตัวเองขึ้น จากนั้นจึงเริ่มปล้นสะดมบ้านเรือน ทำให้กลุ่มของเขาเริ่มเติบโตขึ้นมา
หลังกลุ่มเติบโตขึ้นมา โฉวหย่งเชายิ่งมีแรงทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ในอดีตตอนที่เขาได้พบกับกองทัพประจำการณ์ เขาทำได้เพียงหลบซ่อน แต่หลังมีกำลังขึ้นมา เขาถึงขั้นมีความคิดที่จะต่อสู้กับกองทัพประจำการ
ผลที่ได้ กลุ่มคนของเขาพ่ายแพ้ เขาถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนี โชคดีที่กองทัพประจำการไม่คิดไล่ล่ากวาดล้างให้สิ้นซาก ทำให้พวกเขาหลบหนีพ้น หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง พวกเขาจึงหนีมายังบริเวณเทศมณฑลชิงหยวน
แม้เขาเคยถูกเล่นงานอย่างสาหัส แต่แรงทะเยอทะยานของโฉวหย่งเชาไม่ได้ดับมอด เขามองว่าสาเหตุที่ตนเองพ่ายแพ้กองทัพประจำการเพราะไม่ได้เตรียมการให้ดีพอ ทหารภายใต้บัญชาการของเขาไม่มีคุณภาพในการสู้รบ ขาดแคลนอาวุธ ดังนั้นเขาจึงต้องการยึดเทศมณฑลชิงหยวน ปล้นชิงผู้มั่งคั่งในเมือง เพื่อสร้างกองทัพของตัวเองขึ้น และเสริมอำนาจให้กองทัพของตนเองแข็งแกร่งบราวนี่ออนไลน์
แต่ประตูของเทศมณฑลชิงหยวนปิดแน่นมาโดยตลอด ฝั่งพวกเขาเองก็ไร้ซึ่งอาวุธใช้บุกตีเมือง ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงปล่อยวาง แต่เขาไม่ได้คิดหนีไปไหน แต่เลือกที่จะเริ่มปล้นชิงหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียงเทศมณฑลชิงหยวน ทางหนึ่งคือการปล้นสะดมอาหารและเงินทองเพื่อป้อนให้แก่กำลังคนของตนเอง อีกทางหนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกซ้อมการสู้รบแก่กองทัพ เมื่อใดถึงเวลาลงมือ พวกเขาจะพร้อมบุกโจมตีเทศมณฑลชิงหยวน
หมู่บ้านและเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเทศมณฑลชิงหยวนแทบไม่มีการป้องกัน ทำให้โฉวหย่งเชาปล้นสะดมมาได้พอสมควร แต่แนวคิดเรื่องฝึกซ้อมการสู้รบให้แก่กองทัพนั้นไม่อาจสำเร็จผล เพราะเขายังไม่เจอการต่อต้านจากหมู่บ้านหรือว่าเมืองใด
มันจึงทำให้เขานึกเสียดายอยู่ในใจ ขณะนึกเหยียดหยามการป้องกันของหมู่บ้านและเมืองเหล่านั้น เขาก็วางแผนปล้นหมู่บ้านและเมืองทั้งหมดใต้การปกครองของเทศมณฑลชิงหยวนเพื่อเสริมกำลังแก่กองทัพตนเอง การทำเช่นนี้ก็คล้ายจะเป็นการบีบบังคับให้กองกำลังป้องกันเทศมณฑลชิงหยวนต้องออกมา
วันนี้พวกเขาเลือกที่จะมาเยือนหมู่บ้านเร้นลับ มันไม่ใช่เพราะพวกเขามุ่งตรงมายังที่นี่อย่างเฉพาะเจาะจง แต่โฉวหย่งเชาเลือกสุ่มเป้าหมายจนออกมาเป็นที่นี่
“เร็วกว่านี้อีก! พวกเจ้าไม่ได้กินอาหารกันหรืออย่างไร?” โฉวหย่งเชามองกลุ่มคนที่เดินทางอย่างเชื่องช้า ในใจรู้สึกโกรธเคือง
กำลังคนของเขาคิดจัดการหมู่บ้านหรือว่าเมืองนั้นไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ไม่อาจเทียบกับกองทัพประจำการได้ หากยังเป็นเช่นนี้ความทะเยอทะยานของเขาจะสำเร็จได้อย่างไร?
ไม่ได้! เมื่อใดที่พวกเขาคิดบุกยึดเทศมณฑลชิงหยวน ตอนนั้นจะต้องฝึกซ้อมคนเหล่านี้ให้ดี ก่อนหน้านี้ถือว่าให้ปล่อยพวกเขาหย่อนยานจนเกินไป
“ไกลจากตรงนี้ไม่กี่ลี้ก็จะเจอหมู่บ้าน บุกโจมตีและพักผ่อนที่นั่น วันนี้ไม่ต้องรีบไปที่ใดต่อแล้ว” โฉวหย่งเชากล่าวบอก
ทันทีที่กลุ่มคนได้ยินว่าไม่ต้องเร่งรีบเดินทางไปที่ใดต่อ พวกเขาก็ราวกับมีเรี่ยวแรงขึ้นมา
กลุ่มคนเหล่านี้ในอดีตเป็นเพียงชาวไร่ชาวนาธรรมดา พวกเขาไม่เคยเข้ารับการฝึก ไม่มีศักยภาพด้านการต่อสู้ หลังเดินทางอยู่ทั้งวัน ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเกิดคำสบถอยู่ในใจ ตอนนี้ขอเพียงไม่ต้องเดินทางอีกก็พอ เมื่อได้ยินว่าแค่ไปถึงหมู่บ้านก็สามารถพักผ่อนได้ พวกเขาย่อมไม่มีความเห็นเป็นอื่น
อีกทั้งหากมีหมู่บ้าน ก็ต้องมีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม พวกเขาสามารถอิ่มเอมและพักผ่อนได้ การเดินทางไกลของพวกเขาจะไม่สูญเปล่า
ส่วนที่ว่าพวกเขาจะสามารถจัดการหมู่บ้านนั้นได้หรือไม่ พวกเขาหาได้มีความกังวลเหล่านั้นอยู่ในใจไม่ พวกเขาเคยจัดการหมู่บ้านมาแล้วหลายแห่ง กับสถานที่ไกลห่างเช่นที่นี่ ย่อมไม่มีกำลังรบป้องกันแต่อย่างใด พวกเขาแค่บุกใส่ ก็สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย คนที่อยู่ในหมู่บ้านจะทำได้เพียงคุกเข่ายอมจำนน พวกเขาจะทำตัวประหนึ่งผู้พิพากษาจากนรก ที่สามารถตัดสินได้ว่าใครจะอยู่หรือตาย
ความรู้สึกดังกล่าว มันวิเศษเหลือประมาณ!
กลุ่มคนเหล่านี้สูญเสียตัวตนเพราะการปล้นชิงครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาลืมไปว่าไม่นานมานี้ พวกเขายังเป็นหนึ่งในบรรดาผู้คุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิตและความเมตตา พวกเขาต่างก็เคยเป็นเพียงชาวไร่ชาวนาธรรมดาในหมู่บ้าน เป็นผู้ที่เคยถูกกดขี่ ตอนนี้ตัวตนของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาต่างก็ลืมเลือนหมดสิ้นว่าเดิมนั้นตัวเองเป็นอย่างไร