ตอนที่ 7 หม้อทองคำใบแรก
วันต่อมาเมื่อฟ้าสาง เนื่องจากอาอินนอนหลับไม่สนิททั้งคืน จึงลุกจากเตียงด้วยอาการสะลึมสะลือ
เมื่อเดินออกมาจากห้องและพบว่าจี้จือฮวนไม่อยู่ นางจึงเดินวนหาทั่วบ้านอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะย่ำเท้าด้วยความโมโห
สตรีผู้นั้นเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว อาศัยตอนที่พวกเขาหลับอยู่หนีไป จะหนีก็หนีไปสิไม่มีใครว่า แต่ดันเอาเงินก้อนสุดท้ายของพวกเขาไปด้วย!
ไม่ควรเชื่อใจนางเลยจริง ๆ!
อาชิงขยี้ตาก่อนจะลืมตาขึ้น “พี่หญิง ท่านทำอะไรขอรับ”
อาอินเอ่ยด้วยความโมโห “สตรีผู้นั้นหนีไปแล้ว!”
“ใครหนีไปแล้ว” ยังไม่ทันที่อาชิงจะพูดอะไร เสียงของจี้จือฮวนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ในมือของนางถือตัวอะไรบางอย่างที่มีขนปุกปุยมาด้วย อีกทั้งยังมีคราบเลือดสด ๆ เปื้อนอยู่
อาชิงรีบสวมรองเท้าและวิ่งไปที่ประตู อาอินทำเพียงแค่มองหน้านางและเอ่ยถาม “ของพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?”
จี้จือฮวนเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ “ข้านอนไม่หลับก็เลยไปล่าสัตว์ในป่ามา จับกระต่ายป่ากับไก่ป่ามาได้นิดหน่อย”
เอ่ยจบก็นำซากสัตว์ในมือโยนไว้ที่เตา
“ท่านล่าสัตว์เป็นด้วยหรือ?” อาอินเดินตามเข้ามา เหตุใดนางจึงไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้ล่าสัตว์เป็นด้วย?
“อืม ในหม้อมีหมั่นโถวอุ่น ๆ อยู่ กินรองท้องไปก่อน เพราะอีกเดี๋ยวเจ้าต้องพาข้าเข้าไปในตำบลเพื่อนำเนื้อกับหนังพวกนี้ไปขาย”
หมั่นโถวนางเอามาจากช่องว่างมิติ เพราะนางมีนิสัยชอบตุนอาหาร ดังนั้นทุกครั้งที่หยุดอยู่บ้าน นางมักจะทำของอร่อยด้วยตัวเองอยู่เสมอ
นักกินตัวน้อยอย่างอาชิงทันทีที่ได้ยินว่ามีหมั่นโถว ก็รีบยกม้านั่งมาทันที จากนั้นก็เหยียบขึ้นไปเปิดฝาหม้อดู ด้านในหม้อนึ่งมีหมั่นโถวสีขาวลูกเล็ก ๆ อยู่สี่ลูก ซึ่งแตกต่างจากที่ขายในตำบลเป็นอย่างมาก เพราะมันมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเล็ก ๆ เท่านั้นเอง
อาชิงไม่สนใจความร้อนเลยสักนิด คว้าหมั่นโถวขึ้นมาได้ก็กัดเข้าปากทันที อาอินจะห้ามก็ห้ามไม่ทันเสียแล้ว “ทำไมเจ้ายัดใส่ปากเช่นนั้นเล่า ไม่กลัวว่านางจะวางยาพิษเจ้าเลยหรืออย่างไร?”
อาชิงกลับไม่สนใจ “เช่นนั้นข้าก็จะกลายเป็นผีท้องอิ่ม อีกอย่างปลาย่างเมื่อวานก็ไม่มีอะไรมิใช่หรือ”
อาชิงไม่สนใจอาอินอีก พลางตะโกนออกไปทางด้านนอกด้วยน้ำเสียงที่อู้อี้ “ท่านแม่ บ้านเรามีหมั่นโถวตั้งแต่เมื่อใดหรือขอรับ?”
“ข้าเอาสัตว์ที่ล่าได้ไปแลกกับคนในหมู่บ้านมา” จี้จือฮวนอยู่ที่ลานบ้าน กำลังถลกหนังกระต่าย และเก็บเนื้อกระต่ายไว้กินตอนกลางคืนสองตัว ส่วนกระต่ายที่เหลือก็จะเอาไปขายรวมกับสัตว์ตัวอื่น ๆ
อาชิงคว้าหมั่นโถวยัดใส่มือให้อาอิน “พี่หญิง ท่านกินสิ”
อาอินจ้องอาชิงด้วยท่าทางสับสน รู้สึกว่าน้องชายคนนี้ของตน แค่เป็นของกินก็ไม่กลัวตายเสียแล้ว วันใดหากถูกคนเอาไปขายคงจะไปช่วยเขานับเงินด้วยเป็นแน่
“อร่อยมากจริง ๆ ท่านจะกินหรือไม่!” อาชิงยื่นหมั่นโถวไปใกล้ปากนาง
อาอินเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นจึงคลายออกและกัดหมั่นโถวสีขาวนุ่มเข้าไปหนึ่งคำ ก่อนจะพบว่ามันหอมหวามและอร่อยมากจริง ๆ นางไม่เคยกินหมั่นโถวเช่นนี้มาก่อน ด้านในยังมีไส้อีกด้วย ไม่รู้ว่าทำจากอะไรนุ่ม ๆ หอม ๆ และมีกลิ่นนมด้วย
“เป็นอย่างไร? อร่อยมากใช่หรือไม่” อาชิงถามจบก็เอ่ยต่ออย่างเศร้า ๆ “ท่านพี่ ต่อไปพวกเราจะไม่ได้กินหมั่นโถวอร่อย ๆ เช่นนี้อีกแล้วใช่หรือไม่? ท่านแม่คิดจะเลี้ยงพวกเราให้อิ่มแล้วค่อยเอาเราไปขายใช่หรือไม่?”
เขาคิดได้ดังนั้นก็ไม่สนใจอาอินอีก รีบวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าจี้จือฮวนทันที ดวงตากลมโตที่คลอไปด้วยน้ำตาจ้องมองใบหน้าของนางเขม็ง “ท่านแม่ ถ้าท่านจะขายพวกเราละก็ ขายข้าเถอะ ข้าเด็กที่สุดอีกทั้งยังกินเก่งที่สุดด้วย อย่าขายพี่หญิงกับพี่ใหญ่เลยนะขอรับ”
จี้จือฮวนยังคงถลกหนังกระต่ายอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้คิดได้อย่างไรว่านางจะเอาพวกเขาไปขาย
นางกลอกตามองบน “แค่พวกเจ้าไม่เอาข้าไปขายอีก ข้าก็ขอบคุณสวรรค์มากแล้ว แต่ตอนนี้รีบมาช่วยข้าเร็ว ๆ เข้า ไปเอาตะกร้าสะพายหลังในครัวออกมา เอาขนกระต่ายใส่เข้าไป ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
อาชิงเบิกตากว้าง “ท่านแม่ไม่เอาพวกเราไปขายจริง ๆ หรือขอรับ?”
“ไม่ขาย นอกจากจะไม่ขายแล้ว เนื้อกระต่ายที่เหลือ คืนนี้ก็จะเอามาให้พวกเจ้ากินด้วย!”
เจ้าเด็กโง่นี่!
“ว้าว ท่านแม่ใจดีจังเลย อาชิงจะได้กินเนื้อกระต่ายแล้ว!” อาชิงกระโดดจนตัวลอย ก่อนจะเข้าไปหาตะกร้าสะพายหลังในครัว
จี้จือฮวนเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา เจ้าเด็กคนนี้เอาใจง่ายจริง ๆ
นางส่ายหน้าและเข้าไปในห้องแคบ ๆ หยิบกล่องสินเดิมของเจ้าของร่างเดิมออกมา เมื่อเปิดออกดูก็พบว่ามีเครื่องสวมหัวและชุดแต่งงานเยิน ๆ อยู่ข้างในด้วย แต่วางไว้เช่นนี้ง่ายต่อการถูกขโมย ซ่อนไว้ใกล้ตัวจะดีกว่า
นางจึงเพ่งสมาธิจากนั้นก็นำของไปเก็บไว้ในช่องว่างมิติแทน
จี้จือฮวนเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยขึ้นมาหน่อย และใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าเอาไว้ เมื่อออกมาอีกครั้งก็ดูไม่น่ากลัวมากเท่าไรนัก
“ท่านจะเข้าไปในตัวตำบลหรือ?” อาอินที่ช่วยหาตะกร้าสะพายหลังและเอาขนกระต่ายใส่ลงไป จากนั้นก็ช่วยอาชิงเก็บเนื้อกระต่ายจนเสร็จเรียบร้อย และรอจี้จือฮวนอยู่ที่ลานบ้านเอ่ยถาม
“อืม จะไปขายของสักหน่อย” เมื่อคืนนี้นางทำเกลือเสร็จแล้ว ต้องการที่จะเอาไปขายในตำบล ส่วนขนกระต่ายอะไรพวกนั้นก็ถือโอกาสเอาไปขายด้วยกันเสียเลย
การขายเกลือส่วนตัวในยุคนี้ถือเป็นความผิดอาญาร้ายแรง แต่ว่าเกลือของทางการมีราคาแพง ดังนั้นหากนางขายลดราคาลงมาหน่อย ก็ใช่ว่าจะไม่มีหอสุราต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นเกรงว่าจะขายดีกว่าของทางการด้วยซ้ำ
แค่ต้องหาคนที่ปิดปากให้สนิทมาร่วมงานด้วย
ทว่าปฏิกิริยาแรกของอาอินคือ สตรีผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ นางจึงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ดวงตาที่กระจ่างชัดของจี้จือฮวนจ้องมองมาที่เด็กน้อยราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
“วางใจเถอะ เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าจะไม่เอาพวกเจ้าไปขาย เพียงแต่ในบ้านต้องซื้ออาหารและเครื่องมือบางอย่าง ข้าคนเดียวแบกมาไม่หมด ข้าจะให้ค่าจ้างเจ้าด้วยเป็นอย่างไร”
อาอินเริ่มลังเล “ท่านพูดจริงหรือ หากท่านหลอกข้า ข้าไม่ปล่อยท่านไปแน่!”
“ไม่หลอก กินอิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันเถอะ” จี้จือฮวนเอ่ยจบก็แบกตะกร้าขึ้นหลัง และเป็นฝ่ายเปิดรั้วออกไปก่อน จากนั้นก็เดินลงเขาไป
อาอินหันกลับมากำชับอาชิง “เจ้าอยู่บ้านคนเดียวระวังตัวให้ดี อย่าวิ่งไปทั่ว ที่สำคัญดูแลท่านพ่อให้ดีด้วยรู้หรือไม่?”
“อืม อาชิงรู้แล้ว พี่หญิงเองก็ต้องระวังตัวด้วยนะขอรับ”
“วางใจเถอะ”
อาอินเดินตามจี้จือฮวนไปไม่ใกล้ไม่ไกล นางไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป หากจู่ ๆ สตรีผู้นี้เกิดลงมือจนนางสลบไปเล่า?
จนกระทั่งมาถึงตำบลฉาซู่ จี้จือฮวนก็ยังไม่ได้ทำอะไรนาง อาอินจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
จี้จือฮวนเข้าไปสอบถามคนแถวนั้นว่าร้านขายขนสัตว์อยู่ที่ใด สุดท้ายก็เจอที่ตลาดผักไช่ซือ นางไม่ได้รีบร้อนเข้าไป แต่กลับเดินสำรวจรอบ ๆ เพื่อดูราคาสินค้า จากนั้นจึงเข้าไปหาเจ้าของร้าน
“ฝีมือไม่เลวเลย ถลกหนังได้ค่อนข้างสมบูรณ์ เนื้อกระต่ายข้าให้ตัวละหกสิบเหวิน เพียงแต่ขนกระต่ายราคาจะไม่สูงเท่าไรนัก มากสุดก็แค่สี่สิบเหวิน สามีเจ้าเป็นคนถลกหนังเองหรือ?” เจ้าของร้านเอ่ยถาม
จี้จือฮวนเอ่ยต่อรอง “แพงกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ วันหน้าถ้าข้ามีหนังสัตว์ดี ๆ อีก ข้าจะเอามาส่งที่นี่ทั้งหมด”
เจ้าของร้านเองก็เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน เขาตอบรับว่า “ได้ แต่ทางที่ดีเจ้าให้สามีเจ้าล่าพวกเพียงพอนและสุนัขจิ้งจอกมาให้มาก ๆ หน่อย พวกนั้นถึงจะทำเงินได้เยอะ เอาเช่นนี้ ข้าจะเพิ่มให้เจ้าอีกอย่างละสิบเหวิน ทั้งหมดเป็นห้าร้อยเหวิน”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับ อย่างไรเสียนางก็ไม่คิดจะทำเงินจากการล่าสัตว์อยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อครู่นางก็ได้ไปสำรวจมาแล้ว ข้าวในตำบลนี้ราคาถังละยี่สิบเหวิน แป้งขาวราคาสี่สิบเหวิน ที่ได้มาตอนนี้ก็สามารถอยู่ได้สองวัน จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะขายเกลือได้หรือไม่
หลังจากรับเงินจากเจ้าของร้านได้ไม่ทันไร จู่ ๆ ร้านก็มืดลงเนื่องจากมีสตรีสวมชุดสีแดงนางหนึ่งเดินเข้ามา หน้าตาถือว่าไม่เลว แต่กลับมีนิสัยฉุนเฉียวอารมณ์ร้อน “จางต้าเปียว มีของดีบ้างหรือไม่?”
เจ้าของร้านรีบตอบรับทันที “เถ้าแก่เนี้ยฮวา ข้ากำลังรอท่านอยู่พอดี ข้าเก็บสัตว์ป่าดี ๆ เอาไว้ให้ท่านทั้งหมดเลยนะขอรับ” เจ้าของร้านเอ่ยขึ้นพลางยื่นเงินให้จี้จือฮวน
แต่เจ้าของร้านไม่ทันระวังทำให้ตะกร้าของจี้จือฮวนล้มลง เกลือในขวดจึงหกออกมาเล็กน้อย ดวงตาของเถ้าแก่เนี้ยฮวาเปล่งประกายขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้นก็หันไปจ้องจี้จือฮวนด้วยสายตาแวววาวระยิบระยับ