ตอนที่ 14 วางแผนสำหรับอนาคต
เผยจี้ฉือไม่อยากจะยอมรับว่าอาหารที่อร่อยเช่นนี้เป็นฝีมือของสตรีผู้นี้ แต่เขาหยุดกินไม่ได้จริง ๆ
สวรรค์รู้ดีว่าเขาไม่ได้กินของอร่อยเช่นนี้มานานเพียงใดแล้ว นอกจากนี้ หลายวันมานี้ระหว่างทางเขาก็กินแต่อาหารแห้ง ๆ แข็ง ๆ เมื่อได้กินข้าวที่ร้อน ๆ หอม ๆ เช่นนี้ เขาจึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป
อีกทั้งในนี้ยังมีไข่ไก่ด้วย หลังจากที่เผยจี้ฉือกินไปสองคำก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้ากินเถอะ”
ของแพง ๆ เช่นนี้ เขาต้องเก็บไว้ให้น้อง ๆ กิน
“ไม่ต้องเหลือไว้ ต่อไปข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหิวอีก” จี้จือฮวนเอ่ยสวนขึ้นมาทันที
เด็กทั้งสามคนต่างหันไปมองนางเป็นตาเดียวกัน นางจึงอธิบายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ต่อไปมีข้าอยู่ก็ไม่ต้องกลัวอดอีก ข้ากินอะไรพวกเจ้าก็จะได้กินอย่างนั้น ไม่ต้องประหยัด พวกเจ้าอยู่ในช่วงกำลังเติบโต นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะต้องมากังวล”
หลังจากที่จี้จือฮวนเอ่ยจบ นางก็กินข้าวต่อ นอกจากอาชิงที่แทบจะมุดลงไปในชามข้าวแล้ว หัวใจของอาอินและอาฉือต่างก็เต้นรัวขึ้นมา
ความหมายของนางเมื่อครู่ก็คือ…ต่อไป นางจะดูแลพวกเขาให้ดีอย่างนั้นหรือ?
ในคืนนั้นเด็กทั้งสามคนก็ได้นอนพร้อมหน้ากันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องนอนไม่หลับเพราะหิวจนเกินไปอีกแล้ว น้ำที่ดื่มก็สะอาด ผ้านวมที่ห่มก็แสนนุ่ม ๆ แถมยังมีกลิ่นหอมของแดดอ่อน ๆ ที่สำคัญก็คือ ไม่ต้องกังวลแล้วว่าพรุ่งนี้ตื่นเช้ามาจะไม่มีข้าวกินอีก
ขณะที่พวกเขากำลังหลับอยู่นั้น นิ้วของเผยหยวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งจู่ ๆ ก็เริ่มขยับ…
ทว่าจี้จือฮวนกลับรู้สึกไม่สบายตัว นางนอนไม่หลับจึงพลิกไปพลิกมาอยู่ที่ประตูถัดไป!
เตียงที่ทำจากไม้กระดานนั้นแข็งมาก จนคิดว่านอนที่พื้นยังสบายเสียกว่า!
หน้าต่างที่มีลมเข้า หลังคาที่มีรูรั่ว หากฝนตกเมื่อใดบ้านก็จะกลายเป็นถ้ำหลังม่านน้ำตก ยังมีผนังนั่นอีก คาดว่าเมื่อเจอลมแรง ๆ คงได้ถล่มลงมาเป็นแน่
การอาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อการนอนของนางเป็นอย่างมาก นางไม่สามารถทนได้จริง ๆ
การซ่อมบ้านยังต้องใช้ของอีกจำนวนมาก อาทิ ไม้ ดินเหนียว และเสื่อผืนใหม่ ของเหล่านี้ต้องไปซื้อที่ตำบล ดังนั้นจี้จือฮวนจึงลองคำนวณเงินอยู่ในใจ
ในที่สุดนางก็ฝืนหนังตาไม่ไหว และสุดท้ายก็หลับไหลเข้าสู่ห้วงนิทรา
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อจี้จือฮวนตื่นขึ้น ทันทีที่เปิดประตูออกไป นางก็เห็นใบหน้าน้อย ๆ ของเด็กทั้งสองคน อาชิงกำลังถืออ่างน้ำร้อนรอนาง สิ่งนี้ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะเจ้านักกินตัวน้อยผู้นี้ เพื่ออาหารอร่อย ๆ แล้ว จะให้อ้อนหรือทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
แต่อาอินนี่สิ เหตุใดถึงตามมาประจบด้วยเล่า?
หลังจากที่จี้จือฮวนล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปทางห้องครัว อาชิงก็เดินตามหลังไปติด ๆ “ท่านแม่ วันนี้พวกเราจะกินอะไรกันหรือขอรับ?”
“โจ๊กข้างฟ่าง”
“โอ้” โจ๊กข้างฟ่างก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าเขาอยากกินหมั่นโถวนุ่ม ๆ หอม ๆ เหมือนเมื่อวานมากกว่าก็เถอะ
“เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะทำซาลาเปาไส้ครีมให้พวกเจ้ากิน” ตอนนี้วัตถุดิบในบ้านมีจำกัด
แม้จะไม่รู้ว่าซาลาเปาไส้ครีมคืออะไร แต่อาชิงก็รู้สึกได้ว่ามันต้องอร่อยมากแน่ ๆ
“พี่ใหญ่ของเจ้าตื่นแล้วหรือ?” จี้จือฮวนเอ่ยถาม
“ตื่นแล้วขอรับ” อาชิงรีบตอบ
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปตักน้ำใส่อ่างเล็กเอาไปให้พี่ใหญ่กับพ่อเจ้าล้างหน้าด้วย” จี้จือฮวนสั่งการจบ อาชิงเด็กดีก็ทำตามอย่างเร็วรี่ ขาสั้น ๆ นั้นพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที
ภายในห้องครัวจึงเหลือแค่คนเพียงสองคนเท่านั้น
“มีธุระอะไรล่ะ?” จี้จือฮวนเห็นนางยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยถามออกมา
อาอินอ้าปาก เอ่ยเสียงเบาราวกับเสียงยุงบิน “ข้า…ข้าอยู่ทำเกลือกับท่านด้วยได้หรือไม่?”
“ได้” จี้จือฮวนตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิด
อาอินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ของแค่ขวดเดียวนี้ก็สามารถขายได้ถึงสองตำลึงเงิน สตรีผู้นี้ไม่กลัวว่านางจะเรียนรู้แล้วนำไปทำเองเลยหรือ?
เดิมทีจี้จือฮวนต้องไปที่ทะเลสาบน้ำเค็มเพื่อเก็บหินเกลือกลับมาทำเกลือ ลำพังนางคนเดียวทำได้ไม่มากนัก หากสอนให้อาอินทำเป็น ต่อไปนางก็จะสบายขึ้นด้วย
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว อาอินก็มายืนรอที่หน้าประตู จี้จือฮวนแบกตะกร้าออกมา จากนั้นทั้งสองจึงขึ้นภูเขาไปเก็บหินเกลือด้วยกัน
อีกด้านหนึ่ง ฉีเทียนชางกำลังเก็บตัวอยู่ในบ้านเพราะถูกจี้จือฮวนตีมา เขาจึงวางแผนให้จางชุ่ยเฟิงไปจัดการนาง และหวังว่าน่าจะได้รับเงินมาบ้าง นางสารเลวนั่นกล้าทำร้ายเขา คิดหรือว่าเขาจะหาคนเก่ง ๆ ไปจัดการนางไม่ได้
เมื่อถึงตอนนั้น นางก็จะเอาเงินมามอบให้เขาด้วยตัวเอง เขาค่อยทำเป็นฝืนใจยกโทษให้นาง
ขณะที่กำลังฝันหวานอยู่นั้น ประตูบ้านก็มีคนถีบเข้ามาอย่างกะทันหัน จางชุ่ยเฟิงสั่งพี่ชายทั้งสองคน “ไอ้สารเลวนี่แหละ ที่เป็นคนบอกข้าว่าจี้จือฮวนมีเงินและให้ข้าไปทวงกับนาง แต่สุดท้ายกลับทำให้ข้าต้องทนปวดท้องไปทั้งคืน ฉีเทียนชางหากวันนี้เจ้าไม่จ่ายค่ายาให้ข้าละก็ เจ้าไม่ตายดีแน่!”
พวกเศษสวะที่อ่อนแออย่างฉีเทียนชางจะไปทำอะไรได้ ต่อให้ร้องจนคอแตกก็ไม่สามารถหยุดหมัดของสองพี่น้องครอบครัวจางได้ สุดท้ายจึงทำได้แค่หยิบเงินสองตำลึงออกมาจากพื้นรองเท้าอย่างเชื่อฟัง นี่เป็นเงินก้อนสุดท้ายแล้วที่เขาเก็บเอาไว้ขอภรรยา ที่หลอกเอามาจากจี้จือฮวน
ครอบครัวจางจากไปด้วยความพอใจ ทว่าก่อนจากไปยังทุบบ้านของฉีเทียนชางจนพังไม่เป็นท่า ส่วนฉีเทียนชางก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนเก็บความแค้นในครั้งนี้เอาไว้ ก็ใครใช้ให้เขาอ่อนแอกันเล่า!
…
มีสาวน้อยจอมพลังอย่างอาอินอยู่ด้วย จี้จือฮวนจึงมีความสุขเป็นอย่างมาก หลังจากสอนนางว่าควรเลือกเก็บหินเกลืออย่างไรแล้ว จี้จือฮวนก็ไปตัดไม้ไผ่ในป่าไผ่ที่อยู่ติดกับทะเลสาบน้ำเค็ม
ขณะที่อาอินเก็บหินเกลืออยู่นั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าจี้จือฮวนไม่อยู่แล้ว เด็กน้อยจึงได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง “ไหนบอกว่าเปลี่ยนไปแล้วอย่างไรเล่า ที่แท้ก็ยังขี้เกียจเหมือนเดิม”
ทว่าเพิ่งจะเอ่ยจบ จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องของสัตว์ป่าดังขึ้นมา…
อาอินลุกขึ้นยืนทันที
คงไม่ใช่กระมัง เหตุใดถึงโชคร้ายเช่นนี้ กลางวันแสก ๆ เจอกับหมาป่าเข้าหรืออย่างไร?
อาอินตกใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรส่งเสียงเรียกสตรีผู้นั้นให้กลับมาเพื่อรีบลงจากภูเขาหรือไม่ และตอนนั้นเองนางก็เห็นว่าพุ่มไม้กำลังขยับ อาอินเกือบจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา ก่อนจะพบว่าเป็นจี้จือฮวนที่แบกแกะตัวหนึ่งออกมาจากตรงนั้น
…
นาง…นางคงไม่ได้ไปล่าแกะกลับมาหรอกกระมัง?
จี้จือฮวนโยนแกะลงบนพื้น ก่อนจะมุดกลับเข้าไปในพุ่มไม้อีกครั้ง…
หลังจากนั้น กระต่ายป่า ไก่ป่า และห่านป่าก็ถูกโยนตามออกมาติด ๆ อาอินที่รู้สึกตื่นตระหนกในตอนแรก ตอนนี้ก็ได้แต่รู้สึกงุนงง
แต่ในใจกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ดูท่าวันนี้จะมีเนื้อให้กินอีกแล้ว
หลังจากอยู่ด้วยกันมาสองวัน อาอินก็มั่นใจแล้วว่าแม่เลี้ยงผู้นี้ไม่ได้ไปแอบกินข้าวคนเดียว
นอกจากนี้ความสามารถของนางก็ดีมาก สามารถล่าสัตว์ป่าได้เยอะมาก หากตนสามารถเรียนรู้จากนางได้บ้าง…เช่นนี้ต่อไปก็จะสามารถหาเงินเองได้แล้ว
จนกระทั่งอาอินเก็บหินเกลือได้จนเต็มตะกร้าแล้ว จี้จือฮวนก็ทำงานของนางเสร็จแล้วเช่นกัน
นางรับตะกร้าของอาอินมา จากนั้นก็ใช้ไม้ไผ่ที่ตัดมาทำไม้คานอย่างง่าย ๆ ก่อนจะนำสัตว์ป่าและแกะตัวนั้นมัดติดกับคานด้วยเชือกฟาง เช่นนี้เวลาหามก็จะไม่เหนื่อยมากนัก
ก่อนกลับอาอินยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย “หินเกลือเหล่านี้ถ้าเก็บเสร็จแล้วจะทำเช่นไร จะถูกคนอื่นพบเข้าหรือไม่”
“พวกเขาอยู่มานานขนาดนี้ยังหาไม่เจอเลย ภายหน้าก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอ” จี้จือฮวนเอ่ยจบ อาอินก็รู้สึกว่าที่นางพูดมานั้นมีเหตุผล นี่เป็นการค้าที่ได้เงินก้อนโตจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด
“เหตุใดพวกเราไม่เก็บหินเกลือกลับไปให้หมดเล่า เช่นนี้ครั้งเดียวก็จะทำเงินได้มหาศาลแล้ว”
“ลำพังแค่พวกเราสองคนไม่สามารถทำเงินได้มากนักหรอก” เว้นแต่จะเปลี่ยนเป็นนาเกลือตามที่นิยายเขียนเอาไว้ เกลือเป็นของหลวงไม่อนุญาตให้คนทั่วไปทำเหมือง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมราชการส่วนท้องถิ่น
ดังนั้นนี่จึงเป็นแค่งาน ๆ หนึ่งเท่านั้น หากต้องการรายได้ทุกวัน ต้องคิดหาวิธีอื่น
อาอินผิดหวังเล็กน้อย เพราะนางคิดว่าถ้าอาศัยสิ่งนี้คนในครอบครัวก็จะไม่ต้องหิวโหยอีก
เมื่อพวกเขากลับมาใกล้ถึงประตูบ้าน อาชิงก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นสิ่งที่พวกนางหามมาด้วยก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “มันคือแกะ!”
“เหตุใดเจ้าถึงมารอพวกเราอยู่ที่นี่?” อาอินเอ่ยถาม
อาชิงชี้เข้าไปในบ้านแล้วตอบว่า “พี่ต้าเฉียงมาขอรับ บอกว่าจะพาพี่ใหญ่ไปศาลบรรพชนขอรับ”