ตอนที่ 26 เอาสิ่งที่ควรได้กลับมา
ทันทีที่จี้จือฮวนเอ่ยออกมา เฉินไคชุนก็เซไปทันที เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!
หากอนาคตของเฉินเย่าจงถูกทำลาย เช่นนั้นเขาก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกแล้ว ตระกูลเฉินยังจะมีความหวังอะไรได้อีก?
“เจ้า!”
จี้จือฮวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา มุมปากแสยะยิ้มออกมา “คนจนไม่มีอะไรที่ต้องกลัว และคนที่ไม่กลัวตายก็ไม่ควรมีเรื่องด้วยมากที่สุด ท่านคิดเอาเองก็แล้วกันว่าข้าจะกล้าหรือไม่?”
นางกล้าทำอยู่แล้ว และนางก็รู้ว่าเฉินไคชุนไม่กล้าเอาชื่อเสียงของเฉินเย่าจงมาเดิมพันอย่างแน่นอน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เฉินไคชุนกระทืบเท้าอย่างแรง ก่อนจะชี้หน้าด่าหวังกุ้ยฟาง “เจ้าใส่ความคนอื่นจริงหรือไม่?!”
หวังกุ้ยฟางเองก็ตกตะลึงเช่นกัน นางไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้ หลายปีมานี้ในหมู่บ้านมีใครบ้างที่ไม่เคารพนาง ใครบ้างจะไม่ยอมก้มหัวให้นาง แม้แต่จางชุ่ยเฟิงแค่เห็นหน้านางก็ยังเรียกนางว่าแม่ของถงเซิงเลย
นางอยู่ที่บ้านก็ไม่ต้องออกไปทำไร่ไถนา ดังนั้นเมื่อถูกพ่อสามีชี้หน้าด่าเช่นนี้ นางจึงร้องไห้ออกมาทันที “ข้าไม่ได้ถามให้ชัดเจน ข้าผิดไปแล้ว ข้าใส่ความพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าไปร้องเรียนที่จวนปกครองเลยนะ”
“ก็ต้องดูความจริงใจของเจ้าก่อน” จี้จือฮวนค่อย ๆ นั่งลง “อาฉือ”
เสียงที่เย็นชาของนางดังขึ้น เผยจี้ฉือจึงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้านาง
นี่…นี่กำลังเรียกเขาอย่างนั้นหรือ?
“คำขอโทษของนาง เจ้าพอใจหรือไม่?”
เผยจี้ฉือกัดฟัน “ไม่พอใจ เมื่อครู่นางด่าว่าพวกเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเด็กเหลือขอ มือเท้าสกปรก”
หวังกุ้ยฟางได้ยินดังนั้นก็รีบตบปากตัวเอง หน้าตาอะไรนางไม่สนใจแล้ว เพราะตอนนี้อนาคตของลูกชายนางสำคัญที่สุด
“ข้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ข้าเป็นคนชั่ว ข้าไม่ควรใส่ความพวกเจ้า ข้าไม่ดีเอง”
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นลูกสะใภ้ของตัวเอง เฉินไคชุนจึงรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก และเมื่อเห็นจี้จือฮวนพอใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นมา “พอใจแล้วใช่หรือไม่?”
“เดิมทีคำขอโทษนี้พวกเราก็ควรได้รับอยู่แล้ว” จี้จือฮวนหยิบลูกคิดขนาดเล็กที่วันนี้เพิ่งซื้อออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “พวกเรามาคิดบัญชีกันดีกว่า อาอิน เจ้าไปดูที่บ้านว่านางพังของไปเท่าไร เสื้อผ้าและรองเท้าใหม่ที่เสียหาย ข้ายังมีใบแสดงรายการซื้อขายจากร้านขายเสื้อผ้าอยู่ ให้ชดใช้ตามราคาก็แล้วกัน”
มุมปากของหัวหน้าหมู่บ้านกระตุกขึ้นทันที “อะไรนะ ยังต้องชดใช้เงินอีกอย่างนั้นหรือ?”
“เหตุใดถึงจะไม่ต้องชดใช้เล่า ของในบ้านพวกเราไม่ได้ใช้เงินซื้อมาหรืออย่างไร ตกลงมาจากฟ้าหรืออย่างไร ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปทุบบ้านของพวกเจ้า แล้วเอาเสื้อผ้าของพวกเจ้าไปโยนลงดินโคลนดีหรือไม่ เช่นนี้ข้าถึงจะหายโมโห ไม่อย่างนั้นหากท่านไม่ทำให้ถูกต้อง ข้าก็ยังจะไปร้องเรียนอยู่ดี”
จี้จือฮวนทำท่าจะลุกขึ้น
เฉินไคชุนกลัวนางมาก “เจ้าค่อย ๆ นั่งคิดต่อดีกว่านะ”
จี้จือฮวนจึงนั่งดีดลูกคิดต่อด้วยความพอใจ อีกด้านอาอินก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมาแล้ว “ทำเก้าอี้พังไปสองตัว ยังมีผ้าห่มของพวกเรา ที่เปื้อนไปหมด ซี่โครงหมูสองชิ้นใหญ่ในบ้านก็หายไปด้วยเจ้าค่ะ”
หวังกุ้ยฟางคร่ำครวญออกมาด้วยความอับอาย “ข้ายังไม่ได้แตะซี่โครงหมูเลย ข้าก็แค่เอาไปซ่อนไว้ที่บ้าน”
“นางคนไม่รักดี!” เฉินไคชุนโมโหจนแทบจะทนไม่ไหว บ้านเขาแม้จะไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยให้ครอบครัวลูกคนโตอดอยาก มีของกินอะไรต่างก็ยกให้พวกเขาก่อน หวังกุ้ยฟางนับเป็นคนที่ได้กินเนื้อมากที่สุดในบรรดาลูกสะใภ้ทั้งหมดแล้ว
แต่ก็ยังไปเอาซี่โครงหมูบ้านจี้จือฮวนมาอีก พูดไปพูดมาสุดท้ายแล้วคนที่ขโมยของก็คือนางนั่นแหละ!
“ในเมื่อเนื้อนั่นถูกโจรอย่างเจ้าขโมยไป หากเอากลับมากินอีกก็คงน่าสะอิดสะเอียนไม่น้อย บ้านเราไม่ขาดเนื้อ ข้าขายให้พวกเจ้าเลยก็แล้วกัน รวมแล้วทั้งหมดสามตำลึงเงิน จะจ่ายเงินให้ข้าเมื่อไร?”
“อะไรนะ สามตำลึงเงิน เจ้าจะปล้นกันหรืออย่างไร?”
“ในเมื่อไม่ตกลง เช่นนั้นก็ไปจวนปกครองเถอะ ราคาที่ข้าคิดล้วนมีระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ทุกร้านข้าล้วนมีใบแสดงรายการซื้อขายยืนยันทั้งหมด”
แค่จี้จือฮวนพูดถึงจวนปกครอง เฉินไคชุนก็รู้สึกว่าตัวเองหดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาหอบหายใจพลางเอ่ยออกมา “ตกลง ข้าจะจ่ายให้เจ้าสามตำลึงเงิน เช่นนั้นก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว!”
“ช้าก่อน” จี้จือฮวนเอ่ยต่อ
เฉินไคชุนสูดลมหายใจเข้าลึก “เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”
“เดิมทีข้าไม่อยากจะถือสา แต่ในเมื่อมีคนมาหยามถึงที่ เช่นนี้บัญชีที่ควรจะคิดก็มาคิดให้ชัดเจนกันไปเลย ข้าจำได้ว่าตอนที่ครอบครัวของเรามาที่หมู่บ้าน ได้ให้เงินท่านไปยี่สิบตำลึงเงิน ซื้อบ้านบนเนินเขารวมถึงที่ดินอีกห้าหมู่ ราคานี้ยุติธรรมหรือไม่ในใจท่านย่อมรู้ดี”
เฉินไคชุนคาดไม่ถึงว่านางจะเอาเรื่องเก่ามาพูดในเวลาสำคัญเช่นนี้ เวลาผ่านไปนานแล้วก็ไม่เห็นว่านางจะมาทวงถามแต่อย่างใด เขายังคิดว่านางลืมไปแล้วเสียอีก!
ตอนนั้นเห็นว่าพวกเขามากลางดึก ดังนั้นจึงเรียกราคาไปส่ง ๆ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะจ่ายให้จริง ๆ ที่ตรงนั้นมีค่าถึงยี่สิบตำลึงที่ใดกัน
คนในหมู่บ้านคิดไม่ถึงว่าครอบครัวเผยจะมีที่ดินด้วย หัวหน้าหมู่บ้านรับเงินไปยี่สิบตำลึงแต่กลับไล่พวกเขาให้ไปอยู่บนเนินเขาลูกนั้นเนี่ยนะ ที่นั่นเดิมที่มีไว้ให้คนที่เฝ้าป่าอยู่ต่างหาก เพราะห่างจากหมู่บ้านไปไม่น้อยเลย
เฉินไคชุนผู้นี้ใจดำเกินไปแล้วกระมัง มิน่าเล่าครอบครัวเผยถึงได้ยากจนจนแทบจะต้องกินแกลบ ที่แท้ครอบครัวเขาก็เอาที่คนอื่นไปแล้วไม่คืนให้นี่เอง ตอนนี้ยังจะมาใส่ความคนอื่นว่าขโมยของอีก
เฉินไคชุนเห็นสีหน้ารังเกียจของพวกชาวบ้าน ก็รู้ว่าอำนาจในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านของตนแทบจะไม่มีเหลือแล้ว
“ที่ตรงนั้นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่เอาเองต่างหาก”
“ท่านพูดเช่นนี้ออกมาต้องการจะหลอกใครกัน ก่อนหน้านี้ครอบครัวของเราสถานการณ์เป็นเช่นไร แทบจะหิวตายอยู่แล้ว ข้ายังจะไม่เอาที่ดินอีกอย่างนั้นหรือ ข้าขี้เกียจจะมาเถียงกับท่าน อย่าทำให้ข้าเสียเวลา หากไม่เอาที่ของพวกเราคืนมา ข้าจะไปร้องเรียนเฉินเย่าจง และร้องเรียนว่าพวกท่านยึดที่ดินทำกิน ให้ทางการจับพวกท่านทั้งครอบครัวไปเข้าคุกเสีย!”
เฉินไคชุนถึงกับแข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปกับพื้นทันที
เขาไม่เคยเรียนหนังสือ และไม่รู้ว่าความผิดนี้ใหญ่หลวงเพียงใด แต่เขารู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเฉินเย่าจงจะติดคุกไม่ได้ เย่าจงต้องเป็นหน้าเป็นตาให้แก่วงศ์ตระกูล!
“ให้ ข้าแค่ลืมไปเท่านั้นเอง ข้าบอกว่าจะไม่ให้เมื่อใดกัน”
หวังกุ้ยฟางร้อนใจขึ้นมา ที่ดินนั่นเป็นของครอบครัวนางนะ หากขาดที่ดินห้าหมู่นั้นไป ไม่รู้ว่าจะขาดเงินไปอีกเท่าไร ตอนนี้เฉินเย่าจงกำลังเรียนหนังสืออยู่ เงินไหลออกอย่างกับอะไรดี ต่อให้ตายไปนางก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องในวันนี้นางจะเป็นฝ่ายเสียหายเสียเอง!
หวังกุ้ยฟางแทบอยากจะตีตัวเองให้ตายเสียด้วยซ้ำ!
จี้จือฮวนรอประโยคนี้อยู่ จากนั้นจึงได้เก็บลูกคิดด้วยความพอใจ หลังจากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านจึงบอกว่าจะกลับไปเอาโฉนดที่ดินและเงินมาให้ จี้จือฮวนเมื่อได้คำตอบที่พอใจจึงได้หมุนกายกลับไป แม้แต่หางตาก็ยังไม่แลพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
หวังกุ้ยฟางคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้ขาจะชาไปหมดแต่ก็ยังไม่ได้สติ นางอยากจะร้องไห้ฟูมฟายออกมา แต่เฉินไคชุนกลับเอ่ยด้วยความโมโหขึ้นมาเสียก่อน “ตอนนี้รู้จักหลั่งน้ำตาแล้วหรือ แล้วก่อนหน้านี้เจ้าทำอะไรลงไปรู้หรือไม่? ดังนั้นไปคุกเข่าในศาลบรรพชนซะ ถ้าไม่ใช่เพราะเย่าจง ข้าจะให้พ่อของเย่าจงหย่ากับเจ้าเดี๋ยวนี้!”
จี้จือฮวนแบกเผยจี้ฉือกลับไป เจ้าของร่างเดิมความจริงแล้วเพิ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น แทนที่จะบอกว่าเป็นแม่เลี้ยง บอกว่าเป็นพี่สาวยังจะเหมาะสมเสียกว่า อาอินเข็นรถเข็นนำไป ส่วนอาชิงตามมาทางด้านหลังด้วยดวงตาบวมช้ำ พวกท่านป้าหยางเองก็ตามไปช่วยด้วย
เผยจี้ฉือถูกจี้จือฮวนแบกเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่สัมผัสได้ว่าร่างกายของนางก็ผอมบางเช่นเดียวกัน แต่กลับมีแรงมากกว่าเขาเสียอีก ราวกับนางสามารถดูแลบ้านหลังนี้แทนท่านพ่อได้ และรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก
ในอดีตเขาเองก็หวังเอาไว้ว่าท่านแม่ที่ถูกจวนโหวส่งมาผู้นี้จะอ่อนโยนและมีคุณธรรม จะดูแลท่านพ่อและพวกเขาได้ เพราะท่านพ่อกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ดังนั้นสตรีที่ยอมแต่งเข้ามาคงเป็นคนดีกระมัง?
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจะต้องผิดหวังซ้ำ ๆ ในทุกวัน ทว่าตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นในใจของเผยจี้ฉือจึงรู้สึกสับสนอย่างมาก
“ต่อไปข้าจะปกป้องพวกเจ้า” เขาเอ่ยคำสัญญาออกมา
มุมปากของจี้จือฮวนยกขึ้น “ได้ รอเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว ข้าจะนอนนับเงินอยู่ที่บ้าน”