ตอนที่ 39 อาชิงถูกคนจับตัวไป
อาชิงถอนหญ้าออก จากนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะนั่งยอง ๆ และอุ้มลูกแมวน้อยตัวนั้นมาไว้แนบอก
เผยจี้ฉือกำลังเรียนรู้วิธีการเก็บของป่า เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องก็เข้ามาดู ก่อนจะตกใจในทันที นี่มันใช่แมวน้อยที่ไหนกัน นี่มันลูกเสือที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานต่างหาก!
ถึงแม้ตัวมันจะเป็นสีขาว แต่ลายบนตัวนั้นใช่ลายของแมวที่จะมีได้?
แต่อาจจะเพราะอยากสนับสนุนคำพูดของอาชิง ลูกเสือตัวนั้นจึงหลับตาลงพลางขยับปากสีแดงเล็กน้อย ท่าทางเหมือนมันอยากจะดื่มนม
“เจ้ารีบวางมันลงซะ นี่ใช่แมวที่ไหนกัน” เจ้าน้องชายโง่คนนี้ ไม่ว่าอะไรก็กล้าเก็บขึ้นมาจริง ๆ
อาชิงไม่ยอมหรอก นี่เป็นลูกแมวที่เขาเก็บมา พี่ใหญ่ไม่ให้เลี้ยงเขาก็จะไปขอท่านแม่
อาชิงอุ้มลูกเสือตัวน้อยวิ่งดุกดิกไปตรงหน้าจี้จือฮวน “ท่านแม่ ข้าเลี้ยงแมวเหมียวได้หรือไม่ขอรับ”
จี้จือฮวนวางเคียวลง นางตั้งใจว่ารอการค้าในตำบลเข้าที่เข้าทางแล้ว จะจัดการบ้านให้เข้าที่เข้าทางด้วย โดยคิดว่าจะต่อน้ำจากทะเลสาบน้ำเค็มให้ไหลตรงไปที่บ้านเลยน่าจะดีกว่า
แต่จู่ ๆ อาชิงก็โผล่มา ความคิดของนางจึงหยุดชะงักไปทันที
“แมวเหมียวหรือ?”
“ใช่ขอรับ ท่านดูสิ ลูกแมวที่ข้าเก็บมาจากในพงหญ้า มันตัวเล็กและน่าสงสารมากเลยขอรับ” มือเล็ก ๆ ของอาชิงยังคงลูบลูกเสืออยู่
เผยจี้ฉือก็ตามมาสมทบ “นี่ไม่ใช่ลูกแมว นี่เป็นลูกเสือ”
จี้จือฮวนเองก็มองออกเช่นกัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดแม่เสือถึงได้คลอดลูกที่นี่ แต่กลับไม่คอยเฝ้าอยู่ข้างกาย
นี่ก็หมายความว่าภูเขาลูกนี้มีสัตว์ดุร้ายอยู่จริง ๆ ดูท่าต่อไปคงต้องระวังสักหน่อยแล้ว
“เอามันกลับไปเถอะ ทิ้งมันไว้ที่นี่แม่เสือกลับมาก็คงไม่เอามันแล้ว” จี้จือฮวนตัดสินใจ
เนื่องจากเสือไวต่อกลิ่นมาก หากบนกายของลูกเสือมีกลิ่นของมนุษย์ติดอยู่ แม่เสือต้องกัดมันอย่างแน่นอน
อาชิงไม่รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องอะไรไป จึงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความกระวนกระวายใจ และใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มทีแล้ว
จบกัน ท่านแม่ต้องคิดว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีแน่ ๆ จะต้องตีเขาอีก และไม่ชอบเขาอีกต่อไปเป็นแน่
แต่ว่าอาชิงชอบท่านแม่ในตอนนี้มากนี่นา
เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของเด็กน้อยก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาในทันที
ตอนนั้นเองก็มือคู่หนึ่งยื่นมาลูบผมนุ่ม ๆ บนหัวของเขา “อาชิงจิตใจดี แม่ภูมิใจในตัวเจ้า พวกเราอุ้มลูกเสือกลับไปด้วย รอมันโตขึ้นจนสามารถวิ่งได้แล้ว พวกเราค่อยส่งมันกลับเข้าป่าไกลหน่อย ดีหรือไม่?”
อีกสองสามเดือน คาดว่าคนในหมู่บ้านก็คงไม่ยอมให้เลี้ยงลูกเสือตัวนี้อีกเป็นแน่
อาชิงมองด้วยน้ำตาที่ยังคลออยู่ในเบ้า “จริงหรือขอรับ ท่านแม่ไม่เกลียดอาชิงใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ไม่อยู่แล้ว เด็กโง่” จี้จือฮวนเห็นน้ำตาของเจ้าตัวเล็ก ในที่สุดก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา
เผยจี้ฉือขมวดคิ้วมองนาง รออาชิงวิ่งไปคุยกับหย่งหนิงที่กำลังเก็บเห็ด เรื่องสัตว์เลี้ยงที่เพิ่งเก็บมาได้อย่างมีความสุขแล้ว เขาจึงเอ่ยออกมาน้ำเสียงเย็นชา “เลี้ยงเสือในบ้าน พวกเราต้องถูกคนในหมู่บ้านไล่ออกแน่”
“ลูกเสือตอนนี้ยังไม่มีอันตรายอะไร รอมีเขี้ยวเล็บแล้วค่อยปล่อยกลับเข้าป่าไปก็ได้” ความจริงแล้วความคิดแรกของจี้จือฮวนก็คือเลี้ยงมันจนโตแล้วค่อยนำไปขาย…
แต่คำพูดเหล่านี้สำหรับเด็กที่สามารถกลายเป็นตัวร้ายได้ตลอดเวลานั้น จะฟังดูเป็นการชักจูงเกินไป
การเลี้ยงเด็กเป็นความรู้แขนงหนึ่ง น่าเสียดายที่หน่วยพิเศษเช่นนางไม่เคยเรียนรู้มัน ดังนั้นจึงได้แต่ทำไปตามสัญชาตญาณของตนเอง ก่อนอื่นต้องสอนให้เด็กมีจิตใจที่ดี เช่น…ความเมตตากรุณา
ไม่อย่างนั้นเมื่อพ่อของพวกเขาหายดีแล้ว และเมื่อนางต้องจากไป พวกเขาก็จะถูกพระเอกและนางเอกของนางเรื่องสังหารจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
อย่างไรซะนางก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยง อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วย
เห็นได้ชัดว่าเผยจี้ฉือไม่รู้ว่าควรพูดกับนางเช่นไรดี น้ำเสียงจึงอ่อนลงไปด้วย “เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกัน”
เมื่อก่อนเหตุใดถึงไม่รู้สึกว่าเด็กคนนี้ว่าง่ายขนาดนี้เลยสักนิด
รอจนกระทั่งจี้จือฮวนเก็บของป่าจนเต็มตะกร้าแล้ว ทุกคนจึงได้ลงจากเขาพร้อมกัน
ความสนใจของพวกเด็ก ๆ ล้วนถูกลูกเสือที่ยังลืมตาไม่ขึ้น และส่งเสียงร้องเบา ๆ นั้นดึงดูดไปหมดแล้ว
“เมื่อกี้มันมองข้าหรือเปล่า!”
“มันน่ารักจัง เท้าก็นุ่มด้วย”
หย่งหนิงเตี้ยที่สุด นางจึงให้องครักษ์อุ้มไว้แนบอกก่อนจะก้มลงมอง อยากลูบแต่ก็ไม่กล้าลูบ
“มันหิวแล้วหรือเปล่า?” อาอินเอ่ยถาม
จี้จือฮวนกวาดตามองเล็กน้อย “น่าจะใช่ ช่วงนี้ในหมู่บ้านมีบ้านใครที่ลูกหมาเพิ่งเกิดหรือไม่?”
“ลูกหมา บ้านพี่เสี่ยวเจียนมีลูกหมาเพิ่งเกิดหนึ่งคอก ตอนที่ท่านป้าหยางมาดูข้าเมื่อเช้าได้เล่าให้ฟังขอรับ” อาชิงเงยหน้าขึ้นตอบ
“เช่นนั้นอีกเดี๋ยวอุ้มลูกเสือไปดื่มนมมันหน่อย”
ไม่อย่างนั้นเกรงว่าลูกเสือตัวนี้คงไม่รอดเป็นแน่
เมื่อกลับมาถึงลานบ้าน แม่นมเจียงที่รอนานจนจะหลับอยู่แล้ว แต่เนื่องจากได้ลูกเสือมาด้วย หย่งหนิงจึงไม่สามารถละสายตาได้ จี้จือฮวนปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันที่ลานบ้าน เพราะนางต้องเข้าห้องครัวไปทำกับข้าว
เมื่อไม่มีใครอยู่ จี้จือฮวนจึงลองดูว่าจะสามารถเข้าไปในช่องว่างมิติได้หรือไม่?
นางหลับตาลง ก่อนจะพบว่ามีภาพสามมิติปรากฏขึ้นตรงหน้า คราวนี้ยาหลิงเฉวียนไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองหยดแล้ว แต่มีถึงหนึ่งขวดเต็ม ๆ!
นอกจากนี้ยังมีชั้นวางเพิ่มขึ้นมาอีกชั้น ด้านบนมีเมล็ดผักต่าง ๆ อาทิเช่น มะเขือเทศ, กานพลู, จันทน์เทศ, โรสแมรี่, ใบกระวาน ฯลฯ และยังมีของที่ยังไม่ปรากฎในช่องว่างมิติตอนนี้อีก
จี้จือฮวนดีใจเป็นอย่างมาก นางรู้แล้วว่าเคล็ดลับในการอัพเกรดช่องว่างมิติก็คือการหาเงิน
ขอเพียงมียาหลิงเฉวียนเพียงพอ นางเชื่อว่าแม้ตอนนี้จะยังหาวิธีรักษาเผยยวนไม่ได้ แต่เขาจะต้องฟื้นตัวขึ้นมาแน่นอน
จี้จือฮวนนำเมล็ดมะเขือเทศและเมล็ดผักที่ใช้ทำเครื่องปรุงมาโรยลงบนพื้นดินที่มาพร้อมกับช่องว่างมิติ จากนั้นก็หยดยาหลิงเฉวียนลงไปเล็กน้อย คิดว่าอีกสองวันก็คงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว
เมื่อนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลานบ้านด้านนอกก็มีเสียงโวยวายดังขึ้น
เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย?
จี้จือฮวนรีบไปดูที่ประตู เห็นเจิ้งต้าเฉียงกำลังยืนหอบอยู่ “พี่สะใภ้เผย อาชิงของพวกท่านถูกคนจับตัวไปแล้ว บอกว่าจะจัดการเขาด้วย”
แม่นมเจียงที่กำลังสัปหงกเกือบจะหัวทิ่มลงกับพื้น ได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเบิกโพลงขึ้นมา “ใครจับอาชิงไป!”
เจิ้งต้าเฉียงไม่รู้ว่าคนในลานบ้านเป็นใครกันบ้าง เขาจึงพูดแต่สาระสำคัญออกมา “ข้าเองก็ไม่รู้ คนพวกนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ดูท่าทางเหมือนคนมีเงิน และยังจับเด็กผู้หญิงที่อยู่กับอาชิงคนนั้นไปด้วย”
อาอินจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความร้อนใจ “จะต้องเป็นพวกลักพาตัวเด็กแน่ ๆ”
อาชิงตอนนี้ไม่เหมือนเด็กขอทานอีกแล้ว เขาสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน บวกกับเครื่องประดับบนตัวของหย่งหนิง เช่นนี้แล้วจะไม่ถูกคนลักพาตัวไปได้อย่างไร
จี้จือฮวนสีหน้าเปลี่ยนไป “ข้าจะออกไปตาม!”
แม่นมเจียงได้ยินว่าหย่งหนิงถูกจับตัวไปด้วย คราวนี้จึงนั่งไม่ติดอีก “ข้างกายคุณหนูมีองครักษ์อยู่ แล้วองครักษ์เหล่านั้นเล่า?”
เจิ้งต้าเฉียงเกาหัวแกรก ๆ “พวกเขาไม่ได้ห้ามนะ”
แต่จี้จือฮวนกลับวิ่งออกไปก่อนแล้ว ทันทีที่ไปถึงตีนของเนินเขา นางก็ได้ยินเสียงร้องของอาชิงดังลั่น
“ปล่อยข้า เจ้าปล่อยข้านะ”
“ปล่อยหรือ เมื่อครู่เจ้ากัดข้า แค้นนี้ข้าจะชำระความกับใคร เจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก กล้าลักพาตัว…ลักพาตัวท่านอาน้อยของข้าอย่างนั้นหรือ!” เซียวเย่เจ๋อกัดฟันพูดจนจบ และกำลังคิดที่จะตีก้นของอาชิง
จู่ ๆ หางตาก็รู้สึกว่ามีร่าง ๆ หนึ่งใกล้เข้ามา เซียวเย่เจ๋อเกือบจะหลบไม่ทัน ลมจากหมัดดังขึ้นข้างหู เพียงพริบตาเด็กน้อยในมือของเขาก็ตกไปอยู่ในอ้อมแขนของจี้จือฮวนแล้ว
“เป็นเจ้าหรือ?”
“เป็นเจ้า”