ตอนที่ 41 พูดอีกอย่างทำอีกอย่าง
เนื้อเสียบไม้คืออะไร? เซียวเย่เจ๋อปรายตามามอง
เหล่าองครักษ์ตื่นเต้นกันอย่างมาก “พวกเรากินอะไรก็ได้ขอรับ แม่นางจี้สะดวกทำอะไรก็ทำอย่างนั้นได้เลยขอรับ”
จี้จือฮวนเข้าใจแล้ว ขอแค่เป็นของอร่อยก็พอสินะ นางจึงพับแขนเสื้อขึ้นพลางเอ่ยออกมา “เช่นนั้นก็ทำบะหมี่หอยขมก็แล้วกัน”
สองวันมานี้ปากไม่ค่อยรู้รสพอดี หน่อไม้ที่หามาจากภูเขาครั้งก่อนที่ดองไว้ในช่องว่างมิติก็สามารถกินได้แล้วเช่นกัน
จี้จือฮวนจึงเรียกอาชิงเข้ามา และสั่งให้เขาไปจับหอยขมที่ริมลำธาร
เนื่องจากต้องเลี้ยงปลิงดูดเลือด ทุกครั้งหลังจากที่พวกจี้จือฮวนกลับมาถึงบ้านแล้ว อาชิงก็จะช่วยไปจับหอยขมที่ริมลำธารมาให้ งานนี้ถือเป็นงานถนัดของเขาเลยก็ว่าได้ หลังจากแบกตะกร้าไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่จี้จือฮวนทำให้แล้ว ขาสั้น ๆ นั้นก็ก้าวลงเนินไป
หย่งหนิงจึงวิ่งดุกดิกตามไปด้วย โดยมีองครักษ์ไปเป็นเพื่อน จี้จือฮวนจึงไม่เป็นกังวล
เซียวเย่เจ๋อรู้สึกน้อยใจ เหตุใดคนเหล่านี้ถึงไม่ถามตนเลยว่าอยากกินอะไร!
จี้จือฮวนนำกุนเชียงที่ทำเมื่อคืนนี้ออกมา จากนั้นก็เอาถั่วลั่นเตาออกมาอีกนิดหน่อย เพื่อทำข้าวอบข้าวโพดผสมถั่วลั่นเตาและกุนเชียงสำหรับเด็ก ๆ หม้อตุ๋นขนาดเล็กสี่ใบถูกวางไว้ที่ด้านนอกเรียบร้อยแล้ว ไม่นานกลิ่นหอมก็โชยออกมา
จากนั้นก็เอาผักกาดขาวมาหนึ่งหัว นำเห็ดหอมและหัวไชเท้าที่หั่นเป็นลูกเต๋าที่เตรียมไว้ใส่ในกระทะที่ร้อนจัดแล้วผัดรวมกัน จากนั้นก็ลวกผักกาดขาวแล้วผ่าครึ่ง เอาผักที่หั่นเต๋าและผัดเสร็จแล้วนั้นไปห่อ ก่อนจะใช้กุยช่ายมัดเป็นถุงและวางไว้บนจานแล้วนำไปนึ่ง หลังนำออกมาจากซึ้งนึ่งก็ราดน้ำด้วยน้ำแกง เท่านี้ถุงโชคแปดสมบัติก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
เหล่าองครักษ์ยืนน้ำลายไหลอยู่ที่ประตูห้องครัวมาตั้งนานแล้ว ทันทีที่อาอินยกกับข้าวออกไป พวกเขาก็มองตามกันตาไม่กะพริบ
เซียวเย่เจ๋อเห็นแล้วก็ได้แต่กลอกตาใส่ “ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรืออย่างไร ครัวที่จวนพวกเจ้ากินไม่อิ่มหรือ?”
แม่นมเจียงงีบหลับไปอีกครั้ง เหล่าองครักษ์ได้แต่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ซื่อจื่อ ท่านอย่าว่าไปนะขอรับ ขาหมูย่างเมื่อคืน กรอบนอกนุ่มใน แค่กัดลงไปน้ำมันจากเนื้อก็เยิ้มออกมา อย่าให้พูดเลยขอรับว่าอร่อยเพียงใด ยังมีเนื้อเสียบไม้นั่นอีก เอาของมาเสียบรวมกัน ทั้งชีวิตนี้ข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยเช่นนั้นมาก่อนเลยขอรับ”
“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อคืนข้าถึงขนาดเก็บเอาไปฝันว่ากำลังกินเนื้อเสียบไม้ย่างด้วย แต่เหตุใดข้างนอกถึงไม่มีขายนะ หากต่อไปไม่ได้กินอีกเล่า เกรงว่าข้าต้องคิดถึงทุกคืนวันเป็นแน่”
เซียวเย่เจ๋อเองก็เผลอคิดถึงรสชาติของเนื้อตุ๋นโดยไม่รู้ตัว…มันอร่อยมากจริง ๆ และยังมีซาลาเปาไข่ปูอะไรนั่นอีก
เหตุใดพอคิดถึงแล้ว ก็เหมือนจะได้กลิ่นอาหารนั้นเลยล่ะ?
จี้จือฮวนเพิ่งหั่นปูเนื้อที่ฮวาเซียงเซียงให้มาเป็นสองส่วน หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็ใส่ลงไปในหม้อขนาดใหญ่ จากนั้นก็หั่นมันฝรั่งเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ใส่ซอส ใส่รากบัวที่หั่นเป็นชิ้น ๆ และตีนไก่ที่ล้างสะอาดแล้วลงไป
กลิ่นหอมของปูเนื้ออบแผ่ออกมา จนเซียวเย่เจ๋อได้กลิ่นเข้า
เขาจึงมายืนรวมกับองครักษ์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว ชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน ลืมไปเสียสนิทว่าคนที่ดูถูกฝีมือของจี้จือฮวนเมื่อครู่ก็คือตัวเขาเอง
“หอมจังเลย ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นอะไร?”
“มีของอร่อยมากมายให้กินเช่นนี้ทุกวัน ข้าล่ะอิจฉาอาชิงจริง ๆ”
เซียวเย่เจ๋อจ้องเขม็ง ทั้งยังเลียริมฝีปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นเองก็มีคนมาสะกิดที่เอวของเขา เซียวเย่เจ๋อเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “อย่ามายุ่งกับข้า”
มือเล็ก ๆ นั่นก็ยังสะกิดไม่หยุด
เซียวเย่เจ๋อขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมอง “อยากตายหรือ?”
เขาเอ่ยเสร็จก็พบว่าไม่มีคน แต่เมื่อก้มหน้าลงไปมอง ก็เห็นว่าเป็นหย่งหนิงที่กำลังวางท่าในฐานะผู้อาวุโสและจ้องมองเขาอยู่
“ข้าสั่งให้เจ้าสำนึกผิดอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังอีกแล้ว เจ้าทำให้ข้าเป็นกังวลเช่นนี้ ข้าจะไปพบท่านพี่ได้อย่างไรกัน?”
เซียวเย่เจ๋อคลึงขมับตัวเอง จากนั้นหย่งหนิงก็ใช้ตัวเบียดเขาและวิ่งดุกดิกไปตรงหน้าของจี้จือฮวน ก่อนจะแหงนใบหน้าเล็ก ๆ ที่น่ารักนั้นขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยว่า “ฮวนฮวน พวกเราจับหอยขมมาเต็มเลย ของสิ่งนั้นข้าสามารถเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านได้หรือไม่?”
เลี้ยงอะไร? หอยขมเนี่ยนะ ความคิดของเด็กน้อยช่างแปลกประหลาดจริง ๆ
จี้จือฮวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ”
อาชิงถือหอยขมหนึ่งตะกร้าเดินเข้ามา “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!”
จี้จือฮวนจึงรีบรับเอาไว้ “อาชิงเก่งจริง ๆ รีบไปกินข้าวเถอะ”
กับข้าวของเด็กน้อยทำเสร็จแล้ว
อาอินกับเผยจี้ฉือหยิบผ้ามาเปิดหม้ออบออก กลิ่นหอมของถั่วลั่นเตาและกุนเชียงลอยเข้ามาปะทะจมูก หย่งหนิงนั่งลงบนม้านั่งอย่างเรียบร้อย พร้อมกับหยิบช้อนขึ้นมากินข้าวเอง
แม่นมเจียงเห็นเช่นนั้นก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก “คุณหนูไม่ต้องให้ข้าป้อนแล้วหรือเจ้าคะ?”
หย่งหนิงส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ไม่ได้ อาชิงบอกว่าเด็กดีต่างก็กินข้าวเอง หย่งหนิงก็ต้องกินข้าวเองให้ได้”
เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของตนเอง นางหยิบช้อนขึ้นมาและตักข้าวเข้าปากคำใหญ่
หลังจากกลืนข้าวอุ่น ๆ ลงท้อง สาวน้อยก็โยกหัวไปมาอย่างมีความสุข
แม่นมเจียงมองดูคุณหนูของนางเล็กน้อย จากนั้นก็พบว่าเด็กที่จี้จือฮวนเลี้ยงดูมานั้นต่างเป็นเด็กที่ดีมาก มิหนำซ้ำหน้าตาก็ดีมากด้วย อีกอย่างการที่ท่านหญิงน้อยสามารถเรียนรู้ที่จะกินข้าวเองได้เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ดูท่าจะไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว
เซียวเย่เจ๋อทำได้เพียงมองดูพวกเขากินข้าวตาปริบ ๆสตรีผู้นี้ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ ทำอาหารก็ไม่รู้จักทำให้มาก ๆ ให้แค่เด็ก ๆ กิน ผู้ใหญ่ไม่ต้องกินหรืออย่างไร?
เขาคิดไปคิดมาก็คิดว่าจะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ เขาต้องไปจัดการนางสักหน่อย
แต่ทันทีที่เข้าไปในห้องครัวก็ถูกกลิ่นเหม็นไล่ออกมา “แหวะ เจ้ากำลังต้มอึอยู่หรือ กลิ่นอะไรกัน เหตุใดถึงได้เหม็นเพียงนี้!”
ห้องครัวที่เมื่อครู่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม จู่ ๆ ก็เหม็นเหมือนกลิ่นถุงเท้าในค่ายทหารที่ไม่ได้ซักมาเป็นเดือน ๆ เหม็นจนแสบจมูกไปหมด
จี้จือฮวนตักบะหมี่หอยขมออกมา เครื่องปรุงบางอย่างยังขาดอยู่ แต่นางก็พยายามเต็มที่เพื่อให้ได้ความรู้สึกเปรี้ยว เผ็ด และกลิ่นเฉพาะแบบต้นฉบับ
“กินข้าวได้แล้ว!” จี้จือฮวนไม่สนใจเขา เพียงตะโกนออกไป
เหล่าองครักษ์ด้านนอกที่จด ๆ จ้อง ๆ อยู่นานแล้ว ต่างก็ต่อแถวเข้ามารับบะหมี่ไป ส่วนเซียวเย่เจ๋อที่รู้สึกรังเกียจก็ไม่อยากกินแล้ว
เนื่องจากในบ้านไม่ได้มีโต๊ะและเก้าอี้มากมาย ทุกคนต่างก็ไปนั่งพิงต้นไม้แล้วถือชามกินกัน
เดิมทีพวกเขาก็นึกรังเกียจเพราะกลิ่นเหม็นของมันเช่นกัน แต่เพราะเชื่อในฝีมือของจี้จือฮวนจึงได้กล้าเอาเข้าปาก
หืม อะ…อร่อยมากทีเดียว!
สุดท้ายแต่ละคน ยิ่งกินก็ยิ่งติด กินจนหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อก็ยังจะกินต่อไม่หยุด
สดชื่น เปรี้ยว โล่ง เผ็ด รวมอยู่ในชามเดียวกัน อร่อยชุ่มคออย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อครู่พวกเขาตั้งใจตักกันมาเพียงเล็กน้อย ทว่าตอนนี้แต่ละคนต่างก็นึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
จี้จือฮวนเห็นพวกเขากินกันไปเยอะแล้ว จึงได้นำปูเนื้ออบออกมา
แต่หย่งหนิงกินปูไม่ได้ อาชิงจึงไม่กินเป็นเพื่อนนางด้วย อาอินกับอาฉือก็แบ่งกันกินเพียงชิ้นเดียว ดังนั้นส่วนที่เหลือทั้งหมดจึงยกให้เหล่าองครักษ์ด้านนอก
“อร่อย อร่อยมาก คิดอย่างไรถึงได้เอาปูเนื้อกับตีนไก่มารวมกันเช่นนี้”
“อ๊ะ รากบัวในนี้ก็อร่อยมาก”
เซียวเย่เจ๋ออยู่ข้าง ๆ หิวจนท้องจะร้องขึ้นมาอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าจี้จือฮวนเดินไปเดินมาผ่านหน้าเขา แต่กลับไม่คิดที่จะเรียกให้เขากินข้าวด้วย ในใจก็ร้อนรนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงทำเป็นกระแอมออกมา หมายที่จะดึงความสนใจจากเหล่าองครักษ์
ทว่าเจ้าพวกบ้าเหล่านั้น หน้าแทบจะมุดเข้าไปในชามกันอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีคนปรายตามามองเขา
“อร่อยหรือไม่?” เสียงเย็นยะเยือกของเซียวเย่เจ๋อดังขึ้นข้าง ๆ พวกเขา
“อร่อยสุด ๆ ไปเลยขอรับ ซื่อจื่อท่านชิมสักนิดสิขอรับ”
เซียวเย่เจ๋อสะบัดหน้าอย่างเย็นชา
ข้าเซียวเย่เจ๋อ ต่อให้ต้องหิวตายอยู่ข้างนอกหรือต้องกระโดดลงไปจากตรงนี้ ข้าก็จะไม่กินอึเด็ดขาด!
เหล่าองครักษ์เห็นเขาทำท่าทางเช่นนี้ก็ก้มหน้ากินต่อ
???
เซียวเย่เจ๋อกระแอมเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าเชิญข้าด้วยความจริงใจ ข้าจะชิมสักนิดก็แล้วกัน”
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา และลองชิมคำเล็ก ๆ คำหนึ่ง
เซียวเย่เจ๋อตกตะลึง “!!!”
นี่มัน…อร่อยกว่าเนื้อตุ๋นเสียอีก กลมกล่อมกว่าซาลาเปาไข่ปูเป็นไหน ๆ นี่มันอะไรกัน?
เขาคีบบะหมี่หอยขมเข้าปากอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว กลิ่นเหม็นพลันกระจายอยู่ในปาก แต่กลับอร่อยจนหยุดกินไม่ได้
ยิ่งเหม็น ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งอร่อย!
“ขออีกชาม หอมจริง ๆ!” เซียวเย่เจ๋อทนไม่ไหวแล้ว
เขา จะ กิน บะ หมี่ หอย ขม!
จี้จือฮวนกลอกตามองบน พูดอีกอย่างทำอีกอย่าง มาช้าแต่ก็มานะ