ตอนที่ 52 ตกใจกลางดึก
ในหมู่บ้านบนภูเขาที่เงียบสงบ ยอดไม้สั่นไหวด้วยสายลมยามค่ำคืน ฉีเทียนชางย่องไปที่นอกประตูรั้ว ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ
เมื่อครู่เขารออยู่ด้านล่างมาพักใหญ่ เมื่อเห็นแสงเทียนในห้องดับลงแล้วจึงได้ขึ้นมา
ขณะที่เขากำลังเตรียมที่จะเข้าไปนั้น ก็มีคนตีมาที่ไหล่ของเขาเบา ๆ หนึ่งที ฉีเทียนชางจึงหันไปมองด้วยความตกใจ
ที่แท้เป็นอวี๋ซิ่วเหลียนนี่เอง
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า?” ฉีเทียนชางเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
อวี๋ซิ่วเหลียนเอามือทั้งสองข้างกอดอก “ข้าออกมาดื่มน้ำ และเห็นเจ้าย่องมาทางนี้ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฉีเทียนชางกระแอมเล็กน้อย “ข้าแค่เดินผ่านมาเฉย ๆ”
“เจ้าคิดจะหลอกใครกัน ด้านหลังเนินเขานี่เป็นป่า เจ้าวิ่งแจ้นมาถึงที่นี่ แล้วบอกว่าแค่เดินผ่านมาอย่างนั้นหรือ? อ้อ ฉีเทียนชาง เจ้าคงคิดจะมาลักลอบได้เสียกับจี้จือฮวนกระมัง?” อวี๋ซิ่วเหลียนยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจ
นางเดินวนรอบกายฉีเทียนชางรอบหนึ่ง “หน็อย เจ้าฉีเทียนชาง คนหน้าตาเช่นนี้เจ้าก็ยังเอาลงอย่างนั้นหรือ? ข้าก็คิดอยู่ว่าเหตุใดช่วงนี้เจ้าถึงไม่มาหาข้าเลย ที่แท้เจ้าก็กลับไปคืนดีกับนางอัปลักษณ์นั่นอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าของฉีเทียนชางดุดันขึ้นมาในทันที เขาดึงอวี๋ซิ่วเหลียนมาซ่อนที่หลังต้นไม้ “โอ๊ย แม่คุณทูนหัว น้องสามีของเจ้าทำงานอยู่ที่บ้านทั้งวัน เวลาที่ข้าอยากไปหาเจ้าก็ต้องดูจังหวะด้วยสิ อีกอย่างครั้งก่อนก็เกือบถูกเฉินปิงจับได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะข้าหนีออกมาทางประตูหลังทัน พวกเราคงถูกจับใส่กรงหมูถ่วงน้ำไปแล้ว”
อวี๋ซิ่วเหลียนแค่นเสียงเย็นออกมา “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ก่อนหน้านี้ข้าเห็นจี้จือฮวนนั่น เวลาเจอเจ้าก็มักจะหน้าแดง แต่ข้าก็คิดว่าเจ้าคงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ทว่าตอนนี้เจ้ากลับวิ่งมาหานางกลางดึกกลางดื่น พวกเจ้าสองคนต้องมีอะไรกันแน่ ๆ มิน่าเล่าวันนี้นางถึงกล้ามีเรื่องกับข้า”
ฉีเทียนชางเห็นอวี๋ซิ่วเหลียนพูดจาไม่รู้เรื่อง ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดเหลวไหลอะไรกัน ข้ามาเอาเงินจากนางต่างหากเล่า”
“เอาเงิน มาขโมยใช่หรือไม่!” นิสัยของฉีเทียนชางเป็นเช่นไร มีหรือที่อวี๋ซิ่วเหลียนจะไม่รู้ เงินที่เฉินปิงให้ไว้เกินครึ่งล้วนถูกฉีเทียนชางขโมยไป ตอนดึก ๆ ดื่น ๆ นางเองก็ไม่อาจจะไปทวงเอาได้ จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้
“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!” ฉีเทียนชางไม่ยอมรับ
อวี๋ซิ่วเหลียนกลอกตาไปมา ก่อนจะยื่นมือออกไป “ไม่ให้ข้าพูดก็ได้ เจ้าไปขโมยมา แล้วเอามาแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง สตรีผู้นั้นหากรู้ว่าเจ้าเป็นคนขโมยคิดว่าก็คงไม่กล้าโวยวายหรอก”
ฉีเทียนชางไฉนเลยจะยอม แต่อวี๋ซิ่วเหลียนกลับทำท่าทางขึงขัง ราวกับว่าหากเจ้าไม่ยอมตกลงข้าก็จะไม่ไปไหน บังคับให้เขาตกลงให้ได้
“ตกลง เช่นนั้นเจ้ารออยู่นี่อย่าไปไหน” ฉีเทียนชางเอ่ยจบก็กำลังจะเข้าไป
ทว่าอวี๋ซิ่วเหลียนกลับตามมาด้วย “ท่าทางอย่างเจ้า ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคนพบเป็นแน่ ตามข้ามา”
อวี๋ซิ่วเหลียนมาถึงนอกรั้ว ฮวาฮวาก็โผล่หัวออกมาพอดี แต่เมื่อมันเห็นว่าเป็นเจ้าของเดิมก็กระดิกหางให้ อวี๋ซิ่วเหลียนจึงจุ๊ปากบอกให้มันเงียบ ฮวาฮวาจึงไม่ส่งเสียงอีก
นางเปิดรั้วออกด้วยความย่ามใจ ก่อนจะผลักฉีเทียนชางแล้วเอ่ยเสียงเบา “รีบ ๆ เข้า”
นางคนนี้ทั้งซื้อไก่ ซื้อเป็ด ซื้อหมู แล้วยังสร้างบ้านใหม่อีก นางต้องมีเงินหลายสิบตำลึงเป็นแน่ หากได้เงินมาแล้วนางจะได้เอาไปซื้อปิ่นปักผมอันใหม่
ฉีเทียนชางคิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะเลี้ยงสุนัขเอาไว้ด้วย แต่โชคดีที่อวี๋ซิ่วเหลียนมาด้วย เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะเดินไปทางห้องใหญ่
ภายในห้อง จี้จือฮวนลืมตาขึ้นมาทันที ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่หน้าประตู จากนั้นนางก็ลุกขึ้น เพิ่งจะเลิกผ้าห่มออก เผยจี้ฉือก็ส่งเสียงถามทันที “มีอะไรหรือ?”
จี้จือฮวนเห็นหน้าเขาก็รู้ว่าเขาหลับไปแล้ว และถูกปลุกขึ้นมา นางชำเลืองมองอาชิงที่แขนขาชี้ไปคนละทาง ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “มีคนมา”
เผยจี้ฉือใบหน้าซีดลงทันที รีบจับมือของจี้จือฮวนเอาไว้ ทันใดนั้นในหัวของเผยจี้ฉือก็มีภาพน่ากลัวนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาทันที
ในความทรงจำ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง เลือดที่สาดกระเซ็นตลอดเวลา ภาพทหารยามที่ต่างก็ล้มลงเพราะปกป้องเขา
แต่จี้จือฮวนไม่รอให้เขาได้สติก็จับเขากดลงไปบนเตียงทันที ส่วนนางค่อย ๆ ก้าวลงพื้น สวมเสื้อนอก และย่องไปหลบอยู่หลังประตูราวกับภูตผี
ฉีเทียนชางไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในห้องใหญ่ แต่เดินไปที่หน้าต่างบานนั้นและมองเข้าไปด้านในเพื่อดูลาดเลาก่อน
เดิมหน้าต่างเก่า ๆ นั้นมักจะมีรูอยู่ แต่ก่อนหน้านี้จี้จือฮวนได้ซื้อกระดาษมาซ่อมหน้าต่างใหม่แล้ว
ดังนั้นฉีเทียนชางจึงต้องเลียที่ปลายนิ้วและจิ้มไปที่หน้าต่างให้เป็นรู ดวงตาคู่นั้นเพิ่งจะมองเข้าไปข้างในก็ถูกทิ่มเข้ามาเต็ม ๆ
“โอ๊ย ตาข้า!” ฉีเทียนชางร้องออกมาอย่างโหยหวน พลางกระโดดถอยหลังออกจากหน้าต่าง ก่อนที่จะลื่นล้มลงไปกองกับพื้น
ขณะเดียวกัน จี้จือฮวนก็เปิดประตูออกมา จากนั้นก็ลากฉีเทียนชางออกไปราวกับลากสุนัขตัวหนึ่ง
เขายังอยากจะส่งเสียงร้องต่อ แต่กลับถูกจี้จือฮวนเอาดินหนึ่งกำมือยัดใส่ปากของเขาเสียก่อน เผยจี้ฉือวิ่งตามออกมา จี้จือฮวนจึงหันกลับไปบอกว่า “เป็นฉีเทียนชาง”
เผยจี้ฉือถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ยังดี ยังดีที่ไม่ใช่นักฆ่า ไม่ใช่คนที่จะมาฆ่าท่านพ่อ
ภายในห้อง อาอินถูกเสียงร้องของฉีเทียนชางปลุกขึ้นมา สุดท้ายก็เห็นประตูเปิดอยู่ พี่ใหญ่กับท่านแม่ต่างก็ไม่อยู่ นางจึงรีบลุกขึ้นมาทันที
เพิ่งจะเดินมาถึงประตู จี้จือฮวนก็ก้าวเท้ายาว ๆ ออกไปทางนอกรั้วแล้ว
เผยจี้ฉือกดฉีเทียนชางเอาไว้ เมื่อเห็นอาอินออกมาก็รีบเอ่ยขึ้น “รีบมาช่วยข้าที”
อาอินพับแขนเสื้อขึ้น ก่อนใช้มือข้างหนึ่งกดลงไป เสียงกร๊อบก็ดังขึ้นทันที กระดูกที่มือฉีเทียนชางหักเสียแล้ว
“โอ๊ย!” เสียงโหยหวนเพิ่งจะดังขึ้น เผยจี้ฉือก็หยิบเศษผ้ายัดเข้าปากเขาแล้ว
เศษผ้านี้หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ เมื่อตอนเย็นคนงานเหล่านั้นเพิ่งจะใช้เช็ดโคลนที่เท้ามา…
อวี๋ซิ่วเหลียนคิดไม่ถึงว่าฉีเทียนชางจะไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้ เข้าไปไม่นานก็ถูกคนจับได้แล้ว นางจึงวิ่งลงเขาไปด้วยความรีบร้อน ทว่าเพิ่งก้าวออกไปยังไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกจี้จือฮวนคว้าคอเสื้อและลากกลับไป
“จี้จือฮวน เจ้าจะทำอะไร ข้าแค่ผ่านมา เหตุใดเจ้าต้องจับข้าด้วย!” นางเพิ่งจะเริ่มแหกปากร้องตะโกน ก็ถูกจี้จือฮวนตบหน้าทันที ใบหน้าครึ่งซีกของอวี๋ซิ่วเหลียนพลันมีรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นมา
“เจ้าร้องอีกสิ ร้องจนคอแตกตาย ก็ไม่มีคนมาช่วยเจ้าบนเนินเขาเช่นนี้หรอก”
จี้จือฮวนออกแรงลากนางเข้ามาในลานบ้าน
นางมองฉีเทียนชางที่เจ็บจนกลิ้งไปมาบนพื้นแล้วเอ่ยขึ้นมา “เขาเป็นอะไรไป?”
อาอินเกาหัว แล้วเอ่ยออกมาด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อมๆ “เพิ่งจะตื่นจึงไม่ทันออมแรง เลยเผลอบีบมือเขาจนหัก”
“ทำได้ไม่เลว” จี้จือฮวนเอ่ยชมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ฉีเทียนชาง “…”
พวกเจ้าสองคนแม่ลูกยังใช่คนอยู่หรือไม่?
…
ผ่านไปหนึ่งเค่อ
ในห้องครัว ฉีเทียนชางและอวี๋ซิ่วเหลียนถูกเชือกป่านมัดเอาไว้ด้วยกัน เผยจี้ฉือปิดประตูลง
ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดมิด ทันใดนั้นจี้จือฮวนก็เปิดไฟฉายแรงสูงขึ้นมา สว่างจ้าจนสามารถมองเห็นสภาพใบหน้าที่สะบักสะบอมของอวี๋ซิ่วเหลียนและฉีเทียนชางได้อย่างชัดเจน
ส่วนเผยจี้ฉือและอาอินที่ยืนอยู่ข้างสตรีอัปลักษณ์อย่างจี้จือฮวนนั้น ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ในตำหนักของท่านยมบาลก็มิปาน
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์เงียบ และนับแต่นี้ไปคนที่สารภาพก่อนข้าจะลดโทษให้ ส่วนคนที่ปฏิเสธจะถูกลงโทษอย่างหนัก” หลังจากที่จี้จือฮวนพูดจบ ก็ส่องไฟฉายไปที่ฉีเทียนชาง
“ดึก ๆ ดื่น ๆ แอบย่องเข้าบ้านข้า คิดจะทำอะไร?”
ฉีเทียนชางย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นอาอินนวดข้อมือตัวเองอยู่ข้าง ๆ และชกกำปั้นน้อย ๆ ลงบนเสาไม้ต้นหนึ่ง เขาก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ข้าแค่ผ่านมาจริง ๆ เลยมาเยี่ยมเจ้า โอ๊ย!”