ตอนที่ 69 ใบหน้าใกล้จะหายแล้ว
สตรีสูงวัยไม่ได้คัดค้าน เพราะนางเห็นจี้จือฮวนเป็นเหมือนอากาศธาตุ สายตาเอาแต่จับจ้องไปยังอาฉือ
ในห้องครัว หลังจากจี้จือฮวนนึ่งเสี่ยวหลงเปาสามเข่งแล้ว ก็ได้ไปดูว่าแป้งมันแกวเมื่อคืนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อเห็นว่ามันตกตะกอนลงไปด้านล่างแล้ว ก็รีบเทน้ำออก ตักแป้งมันแกวด้านในออกมา ใส่ลงไปในผ้าขาวบางอีกผืน มัดปากห่อผ้าให้แน่น แล้วเอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ในลานบ้านเพื่อรอให้มันแห้ง
เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้น่าจะสามารถทำเหลียงเกา*ได้แล้ว จี้จือฮวนก็ปัดมือไปมา ก่อนจะพบว่าอาอินออกมาจากห้องด้วยความโมโห เมื่อเห็นนางก็วิ่งมาฟ้องทันที
* เหลียงเกา (凉糕) เป็นขนมที่มีลักษณะเหมือนวุ้นเย็น แต่ทำจากแป้งต่าง ๆ มักจะกินในหน้าร้อน
“คนผู้นั้นฟื้นแล้ว แต่คุยกับพี่ใหญ่แค่คนเดียว แถมยังเรียกพี่ใหญ่ว่าน้องชายด้วย” อาอินคิดไปคิดมา ร่างเล็ก ๆ ก็สั่นเทาขึ้น “รอนางหายดีแล้วก็รีบให้นางไปเถอะ ประหลาดคนจริง ๆ”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับ อาอินจึงได้เข้าไปในครัวด้วยความพอใจ ไปดูว่าเกลือของนางเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้นางเชี่ยวชาญในการทำเกลือมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
อาชิงเองก็ตื่นหลังจากนั้นตามมาอีกคน แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ไม่สนใจคนอื่นเหมือนอย่างอาอิน ปากเล็ก ๆ นั้นคอยรบกวนสตรีสูงวัยไม่หยุด ในที่สุดก็ทำให้อาฉือปลีกตัวออกมาได้
“ท่านยาย ท่านรู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”
“นี่เป็นเกมขุนพลแหกค่าย ท่านแม่ข้าซื้อมาให้”
“ท่านยาย เหตุใดท่านไม่มองข้าเลยล่ะขอรับ ดูสิ นี่เป็นเสือน้อยของข้า”
สตรีสูงวัยทำเพียงนอนอยู่บนเตียง สายตาของนางดูเลื่อนลอย
…
จนกระทั่งถึงเวลากินข้าวเช้า วันนี้จี้จือฮวนทำเกี๊ยวน้ำกับเสี่ยวหลงเปา ปรุงด้วยน้ำแกงชั้นดี ไม่ต้องบอกว่าหอมแค่ไหน อาชิงน้อยเลิกรบกวนสตรีสูงวัยในทันที ขาสั้น ๆ วิ่งไปยกชามและมานั่งลงบนเก้าอี้อย่างเร็วรี่
เผยจี้ฉือยังกลัวสตรีสูงวัยผู้นี้อยู่เล็กน้อย จึงหันหลังให้นางขณะกิน
เด็กทั้งสามรอให้จี้จือฮวนมาก่อนจึงเริ่มกินข้าว นี่เป็นกฎที่กำหนดไว้
จี้จือฮวนวางเกี๊ยวน้ำและเสี่ยวหลงเปาลงบนหัวเตียง “รีบกินตอนยังร้อน ๆ อยู่”
สตรีสูงวัยปรายตามองด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็หลับตาลงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
จี้จือฮวนเองก็ขี้เกียจจะสนใจนาง อย่างไรเสียก็ไม่สามารถให้อยู่ต่อได้อยู่แล้ว
นางจึงนั่งลงกินข้าว ก่อนจะเอ่ยกับเด็กทั้งสามคน “ตารางเวลาแขวนอยู่บนผนัง อีกเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปออกกำลังเป็นการย่อยอาหาร จากนั้นไปวิ่งเหยาะ ๆ สองลี้รู้หรือไม่?”
“รู้แล้วขอรับ/เจ้าค่ะ” เด็ก ๆ ตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
ตอนนี้แม่เลี้ยงของพวกเขาเข้มงวดมาก มีการจัดทำตารางเวลาทุกวัน บอกว่าเช่นนี้ก็จะทำให้พวกเขาพัฒนาทั้งด้านศีลธรรม สติปัญญา และร่างกายได้รอบด้าน
แต่อาอินคิดว่ามันเสียเวลา นางทำงานสามารถเพิ่มความแข็งแรงได้ดีกว่าไปเดินเล่นเสียอีก เสียเวลาทำเงินอีกด้วย แต่ใครใช้ให้ตอนนี้นางชอบแม่เลี้ยงขึ้นมากันเล่า ตามใจนางสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
“อืม อร่อยจริง ๆ อาชิงชอบมากเลยขอรับ” เจ้าตัวเล็กในฐานะลูกสมุนอันดับหนึ่ง กินหนึ่งคำก็ต้องชมหนึ่งคำ
เผยจี้ฉือเองก็คิดว่าอร่อย จึงกินคำแล้วคำเล่าอย่างหยุดไม่ได้
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหาร สตรีสูงวัยผู้นั้นไหนเลยจะไม่หิว ท้องก็ส่งเสียงร้องจ๊อก ๆ ดังออกมา
ทุกคนจึงเงียบลง ก่อนจะหันไปมองนางโดยพร้อมเพียงกัน
สตรีสูงวัยจึงแสร้งตาย
อาชิงเป็นคนตรง ๆ เขาหันกลับมาและเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ท่านยายหิวแล้วขอรับ”
“นางไม่กินก็ปล่อยนางไป” จี้จือฮวนไม่อยากสิ้นเปลืองอาหารไปเปล่า ๆ
สตรีสูงวัยได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงออกมา ก่อนจะลุกขึ้นและยกชามมากินเอง อยากให้นางหิวตายหรือ ไม่มีวันเสียหรอก
เพิ่งกินไปคำเดียว
ทันใดนั้นอาหารตรงหน้าของสตรีสูงวัยก็ราวกับเปล่งประกายได้ขึ้นมาทันที
นี่มัน…นี่มันของดีอะไรกัน เหตุใดถึงได้อร่อยเพียงนี้?
จากนั้นนางก็ไม่สงวนท่าทีอีกต่อไป กินไม่หยุดเหมือนเผยจี้ฉืออีกคน
เด็กทั้งสามคน “…”
เป็นท่านยายที่แปลกพิลึกจริง ๆ
แต่กิริยามารยาทและสุขอนามัยของสตรีสูงวัยนั้นดีมาก แม้ว่านางจะรีบกิน แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด ทุกท่วงท่ายังคงดูสง่างาม
จี้จือฮวนจึงคิดว่า ฐานะของนางต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และหวังว่าคงจะไม่ทำให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อน มิฉะนั้น…ก็คงทำได้เพียงเอาตัวกลับไปไว้บนภูเขาแล้ว
เมื่อกินข้าวเสร็จ เผยจี้ฉืออาสารับหน้าที่ล้างจานเอง ส่วนจี้จือฮวนพาอาอินและอาชิงไปให้อาหารบรรดาสัตว์ในบ้าน
ตอนที่เหล่าเติ้งและท่านป้าหยางมาถึง จี้จือฮวนก็กำลังนำเด็กทั้งสามคนรำไท้เก๊กอยู่
“นี่คือท่าแยกแผงคอม้าป่า เก็บเท้าและทำท่าเหมือนอุ้มลูกบอล หมุนซ้ายก้าวออกไป งอขา แยกมือ อาชิงการเคลื่อนไหวของเจ้ายังไม่ถูกต้อง ให้ดูตามพี่ ๆ เอา” หลังจากที่จี้จือฮวนแสดงให้ดูครั้งหนึ่ง ก็เริ่มชี้แนะท่าทางของเด็ก ๆ
“ฮวนฮวน กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?” ท่านป้าหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ สอนเด็ก ๆ รำไท้เก๊ก ให้ร่างกายแข็งแรงเจ้าค่ะ”
“เจ้ารำเป็นด้วยหรือ?” ท่านป้าหยางเห็นเด็กทั้งสามคนรำอย่างทะมัดทะแมง ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา “เช่นนั้นข้าส่งอาฝูมาเรียนด้วยได้หรือไม่? เจ้าเด็กคนนั้นวัน ๆ เอาแต่เล่นอยู่ในบ้าน ไม่ได้เรื่องได้ราวเลย”
“ได้สิเจ้าคะ ถ้าท่านว่างก็พาเขามาได้เลย ถ้าข้าอยู่บ้านจะสอนเขาให้เจ้าค่ะ”
อย่างไรซะก็ต้องสอนอยู่แล้ว สอนเพิ่มอีกคนสองคนก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนัก
ท่านป้าหยางเห็นนางพูดง่ายเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา ส่วนเหล่าเติ้งก็เป็นห่วงเรื่องหญิงสูงวัย ได้ยินว่าคนฟื้นแล้วแต่ยังต้องพักฟื้นอยู่บนเตียง อีกทั้งยังจำอะไรไม่ได้ ก็รู้สึกร้อนใจแทนจี้จือฮวนขึ้นมา
คนในหมู่บ้านล้วนเป็นคนจิตใจดี จี้จือฮวนจึงขอบคุณในความเป็นห่วงเป็นใยของพวกเขา
ท่านป้าหยางเอางานที่เมื่อวานทำไม่เสร็จออกมา นางสนเข็มไปก็เอ่ยกับจี้จือฮวนไป
“เจ้าไม่รู้อะไร ในหมู่บ้านจะมีการเลือกหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่แล้วนะ มีคนเสนอตาเฒ่าเฉินของเราด้วย เจ้าว่าเขาเป็นคนหัวแข็งเช่นนั้น รู้จักแต่ทำไร่ไถนา จะไปเป็นหัวหน้าหมู่บ้านได้อย่างไรกัน” ท่านป้าหยางพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เบาลง
“พวกเราเองก็ไม่ได้อยากเป็นเสียหน่อย แต่เมื่อครอบครัวของเฉินไคชุนรู้เข้ากลับมาโมโหใส่พวกเรา เมื่อเช้าตอนที่ข้าออกจากบ้านมายังทะเลาะกับหยวนซื่อมายกหนึ่งด้วย!”
จี้จือฮวนหั่นเนื้อตุ๋นเสร็จ ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา “สิ่งที่ชาวบ้านต้องการจากหัวหน้าหมู่บ้านมากที่สุด ก็คือการรับมือและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม ข้าคิดว่าท่านลุงเฉินเป็นคนซื่อสัตย์ ขอเพียงตั้งใจจริงและทำเพื่อคนในหมู่บ้าน ก็ไม่มีปัญหาหรอกเจ้าค่ะ”
ท่านป้าหยางได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็พยักหน้าให้และเอ่ยขึ้นมา “นั่นก็ใช่ ตาเฒ่าเฉินเรื่องอื่นอาจจะไม่เก่งสักเท่าไร แต่เขาเป็นคนดีกว่าเฉินไคชุนแน่นอน”
“เช่นนั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ในเมื่อคนในหมู่บ้านคิดว่าเหมาะสม พวกท่านก็อย่าปฏิเสธไปเลยเจ้าค่ะ ทำได้ไม่ได้ก็ต้องลองก่อนจึงจะรู้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ท่านป้าหยางพยักหน้าให้นาง “ฮวนฮวน เจ้าพูดจามีเหตุมีผลจริง ๆ ครอบครัวเจ้าเมื่อก่อนทำอะไรหรือ ข้าเห็นเจ้าทำอะไรเป็นตั้งหลายอย่าง ไม่เหมือนคนในชนบทเลย”
เมื่อก่อน?
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม บ้านของนางก็คือเรือนร้างในจวน หรือไม่ก็ห้องเก็บฟืน คนรับใช้ทุกคนต่างก็สามารถรังแกนางได้
“ดูท่านพูดเข้า หากข้าเป็นลูกสาวของตระกูลผู้ดี ไหนเลยจะสามารถทำอะไรได้มากมายเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”
นอนอยู่บ้านรอคนปรนนิบัติไม่ดีกว่าหรือ?
ท่านป้าหยางจึงถอนหายใจออกมา “ก็จริง”
นางมองหน้าของจี้จือฮวน “แผลบนใบหน้าของเจ้าเหมือนจะตกสะเก็ดแล้ว ก่อนหน้านี้ดูเละจนน่ากลัว ตอนนี้กลับดีขึ้นเยอะแล้ว”
มิน่าเล่าถึงดูว่านางสวยขึ้นเรื่อย ๆ ความจริงแล้วเครื่องหน้าของฮวนฮวนนั้นไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เพียงแต่รอยแผลและปานนั่นทำให้นางดูน่ากลัว
จี้จือฮวนใช้ยาทา บวกกับยาหลิงเฉวียน ย่อมต้องหายเร็วขึ้นอยู่แล้ว
เหตุผลหลักก็คือ นางต้องออกไปค้าขายข้างนอก เอาแต่สวมผ้าปิดหน้าตลอดจึงทำให้นางอึดอัดอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะต้องทำมาหากิน นางคงออกไปทั้งใบหน้าอย่างนี้แล้ว เพราะนางไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าใดนัก
.
.
.