ตอนที่ 73 ครอบครัวเผยที่น่าโมโห
เฉินไคชุนวาดฝันเอาไว้เรียบร้อย ว่าจะรอดูคนครอบครัวเผยร้องห่มร้องไห้ แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าเมื่อชาวบ้านลงมาจากเนินเขาแล้ว กลับไม่มีใครมาเชิญหัวหน้าหมู่บ้านเช่นเขาสักคน
เฉินไคชุนทนไม่ไหวอีกต่อไป แม้แต่เฉินเย่าจงเองก็มองเขาด้วยความกระสับกระส่าย
เขาเป็นปัญญาชนไม่สามารถไปถามเรื่องเช่นนี้ได้ เฉินไคชุนจึงสวมรองเท้าก่อนจะดึงชาวบ้านคนหนึ่งที่หน้าประตูมาถาม “คนหมู่บ้านตระกูลอวี๋พังบ้านครอบครัวเผยเสร็จแล้วหรือ เหตุใดพวกเจ้าถึงกลับมาเร็วเพียงนี้เล่า?”
ตอนนี้เฉินไคชุนใกล้จะถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ชาวบ้านจึงขี้เกียจจะสนใจเขาอีก
“เจ้าช่วยดูตามความเป็นจริงหน่อยจะได้หรือไม่ อวี๋ซิ่วเหลียนคบชู้เอง พวกเราต่างก็เห็นกับตา มีหน้าไปพังบ้านคนอื่นด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เฉินไคชุนสะอึกขึ้นมาทันที ไม่ใช่สิ เหตุใดเรื่องนี้ถึงได้จบง่าย ๆ เช่นนี้กันเล่า?
พวกเขาไม่ได้ไปหาเรื่องครอบครัวเผยหรอกหรือ?
เช่นนี้เขาจะทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านได้อย่างไรกัน?
พวกชาวบ้านต่างทยอยกลับบ้านกันแล้ว ไม่มีใครสนใจเฉินไคชุนอีก
เฉินเย่าจงที่ทนไม่ไหว ก็ออกมาจากในบ้านแล้วถามออกมา “ครอบครัวเผยเป็นอย่างไรบ้างขอรับ พังหมดแล้วใช่หรือไม่?”
“พังอะไรกันเล่า ไม่รู้ว่าบ้านครอบครัวเผยเฮงซวยนั่นมันมีดีอะไร จี้จือฮวนถึงรอดไปได้ทุกครั้ง”
เฉินเย่าจงขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน อวี๋ซิ่วเหลียนถูกขอหย่า คนหมู่บ้านตระกูลอวี๋สามารถทนได้อย่างนั้นหรือ?
“ความจริงแล้วก็ไม่ใช่จะไม่มีวิธี” เฉินเย่าจงเอ่ยเสียงเบา
ขอเพียงยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองหมู่บ้าน ย่อมจะมีคนไปจัดการครอบครัวเผยแทนพวกเขา เพียงเท่านี้ก็จะได้เห็นครอบครัวเผยประสบกับเคราะห์ร้ายแล้ว และเขาก็จะอาศัยโอกาสนี้กอบกู้ชื่อเสียงของเขากลับคืนมาด้วยตัวเขาเอง
เมื่อมองไปที่หลานชายของตนเอง เฉินไคชุนก็รู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างแปลกไป แต่แปลกที่ตรงไหนเขาก็ไม่สามารถบอกได้
ชาวบ้านออกไปกันหมดแล้ว แต่คนครอบครัวอวี๋ยังคงยืนอยู่ในลานบ้านด้วยสีหน้าถมึงทึงและยังไม่ยอมกลับ อาอินจึงออกมาผ่าฟืนด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เมื่อขวานผ่าลงไปพื้นดินก็ถึงกับสั่นสะเทือน
สาวน้อยคลายกล้ามเนื้อเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นพร้อมกับมองไปทางพี่ชายของอวี๋ซิ่วเหลียน จากนั้นก็หยิบฟืนมัดใหญ่มัดหนึ่งขึ้นมาและผ่ามันด้วยมือเปล่า
ฟืนนั่นใหญ่กว่าแขนเล็ก ๆ ของนางเสียอีก
เมื่อได้เห็น พี่ชายของอวี๋ซิ่วเหลียนก็ถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ อาอินแค่นเสียงออกมาอย่างดูแคลน ก่อนจะแบกขวานเดินอาด ๆเข้าไปในบ้าน
“ถุย ครอบครัวจิตใจชั่วช้า!” เถียนซื่อถูกเตะไปหนึ่งที แต่ก็ยังปากดีอยู่
“หากข้าเป็นพวกเจ้า รีบไสหัวกลับบ้านไปอาจจะยังสามารถรักษาหน้าตาเอาไว้ได้บ้าง ในหมู่บ้านมีสตรีที่คบชู้เช่นนี้ ยังกล้ามาหาเรื่องคนอื่น หากคนเอาไปพูดกันปากต่อปาก เช่นนั้นสตรีจากหมู่บ้านตระกูลอวี๋ของพวกเจ้ายังจะมีคนเอาอีกอย่างนั้นหรือ?”
เผยจี้ฉือกลับมาจากการเก็บผักในแปลง ก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ ทางด้านหลังของพวกเขา เมื่อเขาพูดจบคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ที่มาช่วยก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที เขาจึงหันหน้าเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างดูแคลน
คนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ถูกพูดใส่หน้าจนสะอึกไป แต่ไม่มีใครกล้าโต้เถียง
เรื่องนี้พูดออกไปมีแต่จะอับอาย เดิมทีทุกคนคิดว่าอวี๋ซิ่วเหลียนถูกรังแก ถูกใส่ร้าย ไหนเลยจะคาดคิดว่าสตรีผู้นี้กลับลักลอบคบชู้จริง ๆ
ชาวบ้านมากมายต่างก็เห็นกันหมดแล้ว ชื่อเสียงก็ฉาวโฉ่แล้ว
นอกจากนี้ยังมาทำให้พวกเขาต้องอับอายขายหน้าไปด้วย ทันใดนั้นครอบครัวของอวี๋ซิ่วเหลียนจึงกลายเป็นที่เขม่นของทุกคน
ขณะที่คนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ไม่สนใจพวกเขาและกำลังจะกลับ อาชิงก็เดินออกมา ทุกคนเห็นเด็กน้อยเชิดหน้าขึ้น กลอกตาใส่ครอบครัวของอวี๋ซิ่วเหลียนด้วยความรังเกียจ เป็ด ไก่ ห่านที่ตามหลังเขามาก็เดินผ่านหน้าพวกเขาไปด้วย
เมื่อตัวสุดท้ายเดินมาถึงข้าง ๆ เท้าของพี่ชายอวี๋ซิ่วเหลียน มันก็ยกปีกขึ้นด้วยความฮึกเหิม และออกแรงเบ่งอึก้อนใหญ่ออกมา ก่อนจะวิ่งดุกดิกตามนายน้อยของมันไป
ทุกคน “…”
ความสามารถในการยั่วโมโหคนอื่นของครอบครัวเผยนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ
ช่างเถอะ ๆ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา ให้ครอบครัวอวี๋ซิ่วเหลียนจัดการเอาเองก็แล้วกัน
พวกเหล่าเติ้งเห็นพวกเขากลับไปแล้ว จึงได้ไปทำงานต่อ
เถียนซื่อยังคิดที่จะขู่เอาเงิน แต่เมื่อเห็นสตรีสูงวัยที่โหดร้ายผู้นั้นกินผลไม้พลางเดินออกมาจากในบ้าน ก็ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงอีก
สุดท้ายสองคนแม่และพี่ชายก็ทำได้เพียงอุ้มอวี๋ซิ่วเหลียนออกจากหมู่บ้านตระกูลเฉินไปอย่างจนปัญญา เพราะขนาดคนตั้งมากมายยังสู้ไม่ได้ ยิ่งคนน้อยยิ่งต้องถูกรังแกอย่างแน่นอน
ครอบครัวเผยมีแต่คนเสียสติ คนแก่ที่ชอบทำร้ายคนอื่น ส่วนเด็กแต่ละคนก็แปลกประหลาดทั้งนั้น
จี้จือฮวนห่อน้ำพะโล้เสร็จแล้ว ก็แบ่งให้ท่านป้าหยางและเสี่ยวเจียนคนละชุด และยังแบ่งเนื้อที่วันนี้ตนเองซื้อมาให้พวกนางคนละหน่อยด้วย
เสี่ยวเจียนรู้สึกละอายแก่ใจ “พี่สาว ข้าไม่เอาดีกว่าเจ้าค่ะ อดีตพี่สะใภ้ข้านาง…”
ที่อวี๋ซิ่วเหลียนมาหาเรื่องก็เป็นเพราะเรื่องของครอบครัวตัวเอง แต่กลับทำให้จี้จือฮวนลำบากไปด้วย เสี่ยวเจียนที่รับค่าจ้างจากนาง หากยังจะเอาเนื้อเอาน้ำพะโล้อีก นางก็คงไม่มีหน้าจะไปสู้กับจี้จือฮวนแล้ว
“นี่ไม่เท่ากับเห็นข้าเป็นคนอื่นอย่างนั้นหรือ รับไปเถอะ ข้าไม่คิดมากหรอก”
เสี่ยวเจียนซาบซึ้งใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา “เช่นนั้นค่าจ้างวันพรุ่งนี้พี่สาวไม่ต้องให้ข้าแล้วนะเจ้าคะ ถือว่าเป็นค่าเนื้อตุ๋นนี่”
“ตกลง” จี้จือฮวนเองก็ไม่ได้บอกปัดนาง หลังจากส่งท่านป้าหยางและเสี่ยวเจียนกลับไปแล้ว นางจึงได้กลับมาที่ห้องใหญ่
บอกตามตรงว่าวันนี้ที่ท่านยายผู้นี้ยอมออกหน้าช่วยพวกเด็ก ๆ จี้จือฮวนรู้สึกซาบซึ้งใจนางเป็นอย่างมาก
“เย็นนี้อยากกินอะไร?”
สตรีสูงวัยเชิดคางขึ้นอย่างดื้อรั้น “ขอแค่อร่อยก็พอ”
จี้จือฮวนไม่ถือสาท่าทางดื้อรั้นของนาง “ได้ ข้าจะทำของอร่อยให้ท่านกินเอง”
สตรีสูงวัยเห็นนางหมุนกายกลับไปที่ห้องครัว ก็กลับไปเกาะติดเผยจี้ฉืออีกครั้ง เผยจี้ฉือไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงเอาแต่ตามติดตนเองเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รู้แล้ว
เมื่อสตรีสูงวัยผู้นั้นเห็นเผยยวน นางก็เริ่มเรียกเผยยวนว่าน้องชายทันที
“…”
เช่นนั้นน้องชายของนาง น่าจะมีหน้าตาคล้ายกับพวกเขา
…
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อท่านป้าหยางกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าลูกสะใภ้คนโตฟางจวิ่นเหมยกำลังตีอาฝูอยู่
“แอบกินอีกแล้ว ๆ ไข่ไก่นั่นใช่ของที่เจ้ากินได้อย่างนั้นหรือ นั่นมันของเอาไว้ขาย!” ฟางจวิ่นเหมยเพิ่งจะด่าว่าเสร็จ อาฝูก็วิ่งมากอดขาของท่านป้าหยางทันที “ท่านย่า ท่านเอาอะไรมาหรือขอรับ หอมจังเลย”
ท่านป้าหยางเอ่ย “ไม่มีอะไร เจ้าดื้ออีกแล้วหรือ?”
อาฝูไม่เชื่อจึงเดินตามท่านป้าหยางเข้าไปในห้องครัวด้วย จากนั้นก็วิ่งออกมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่ ท่านย่าเอาเนื้อมา เนื้อชิ้นใหญ่มากเลยขอรับ”
ท่านป้าหยางคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กดื้ออาฝูจะตะโกนเสียงดังเช่นนี้ ฟางจวิ่นเหมยจึงวิ่งเข้ามาทันที พลางจ้องมองเนื้อที่ท่านป้าหยางวางเอาไว้บนเตาเขม็ง
“ท่านแม่ ได้เนื้อมาจากใดหรือเจ้าคะ?” ฟางจวิ่นเหมยกลืนน้ำลายลงคอ
ท่านป้าหยางเอ่ยเสียงเย็นออกมา “ฮวนฮวนให้มา เนื้อนี่จะเอาไปขาย ไม่ได้เอามากิน”
ตอนนี้นางทำได้เพียงขายของแบบไม่มีต้นทุน ทั้งหมดจี้จือฮวนล้วนเป็นคนให้มา นางจึงไม่สามารถให้คนในบ้านกินได้
ฟางจวิ่นเหมยกลอกตาไปมา “นางยอมสอนท่านหาเงินแล้วหรือเจ้าคะ เนื้อตุ๋นนี่จะเอาไปขายที่ใด ข้าขอเอากลับไปที่บ้านท่านแม่หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ฟางจวิ่นเหมยรังเกียจจี้จือฮวนมาก เมื่อก่อนจึงว่าร้ายจี้จือฮวนไปไม่น้อย แม้แต่อาฝูก็เคยด่านางว่าอัปลักษณ์ตามแม่ของตัวเองเช่นกัน
ท่านป้าหยางรู้จักนิสัยของจี้จือฮวนดี อย่าเห็นว่านางเป็นคนพูดง่าย แต่สำหรับคนที่ล่วงเกินนาง จี้จือฮวนไม่มีทางสนใจแน่นอน
ท่านป้าหยางจึงส่ายหน้าทันที “ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ นี่เป็นสูตรลับที่คนเขาเอาไว้ทำขาย เจ้าต้องไปถามฮวนฮวนเอาเอง”
ฟางจวิ่นเหมยไม่พอใจขึ้นมา “ท่านเป็นแม่ข้า เหตุใดข้าต้องไปถามนางอีกเล่าเจ้าคะ”
ท่านป้าหยางเริ่มไม่พอใจกับท่าทีของสะใภ้ใหญ่ “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้”
ฟางจวิ่นเหมยจึงสะบัดหน้ากลับเข้าห้องทันที ไม่นานก็ได้ยินเสียงด่าทอดังออกมาจากในห้อง ท่านป้าหยางถอนหายใจออกมา ถึงแม้ที่บ้านนางจะจน แต่ก็ไม่สามารถเอาสูตรลับของคนอื่นไปเที่ยวบอกใครต่อใครได้อยู่ดี
.
.
.