บทที่ 89 หาเรื่องใส่ตัว
เห็นได้ชัดว่าเฉินเย่าจงโมโหจนตัวสั่นเทาไปหมด พร้อมกันนั้นเขาก็ชี้หน้าคนรับใช้ที่ไล่เขาออกมา “สักวันหนึ่งถ้าข้าสอบผ่านแล้ว ข้าจะรื้อสำนักศึกษาเล็ก ๆ ของพวกเจ้าทิ้งซะ”
ที่แท้ใกล้ ๆ กันยังมีสำนักศึกษาอีกหลายแห่ง มิน่าเล่าถึงได้เงียบสงบเพียงนี้
การที่เฉินเย่าจงเป็นเช่นนี้เป็นเพราะมาขอสมัครเรียนไม่สำเร็จ และถูกคนปฏิเสธอย่างนั้นหรือ? เห็นดังนั้นจี้จือฮวนจึงอยากที่จะไปดูเรื่องสนุกด้วย
ตอนนั้นเอง อาจารย์เหลียงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถอนหายใจออกมา “เฉินเย่าจงผู้นี้อีกแล้ว สองวันก่อนก็มาที่นี่และบอกว่าหากเราไม่รับเขาเข้าเรียน จะถือว่าเป็นการขัดขวางผู้ที่มีพรสวรรค์ที่จะได้เป็นจอหงวน ข้าว่าเขาคงเสียสติไปแล้วจริง ๆ”
จี้จือฮวนคิดไม่ถึงว่าเฉินเย่าจงจะหน้าหนาถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่สำนักศึกษาชิงอวิ๋นครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน ถึงคิดว่าตัวเองจะสามารถสอบจอหงวนได้ คิดว่าการเป็นจอหงวนเป็นเหมือนผักป่าข้างทางที่อยากได้ก็ต้องได้อย่างนั้นหรือ?
เป็นดังที่คาดเอาไว้ เมื่อเฉินเย่าจงเอ่ยออกมา แม้แต่ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดจาเยาะเย้ยเขา
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน จอหงวนสอบง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ หากเจ้ามีความสามารถสำนักศึกษาชิงอวิ๋นคงรับเจ้าไปตั้งนานแล้ว”
เฉินเย่าจงเกลียดการที่คนอื่นเอาเรื่องนี้มาพูด และบอกว่าเขาไม่มีความรู้ความสามารถที่สุด!
“ถุย สำนักศึกษาชิงอวิ๋นสูงส่งเพียงใดกัน ไม่อยู่ในสายตาข้าสักนิด ก็แค่พวกที่ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ รอข้ารุ่งโรจน์เมื่อใด อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป ความอัปยศในวันนี้ วันหน้าข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า!”
เมื่อเฉินเย่าจงก่นด่าด้วยความเคียดแค้นจบ ก็ลุกขึ้นยืนและหยิบของเตรียมจะจากไป
แต่คนรับใช้ของสำนักศึกษาข้าง ๆ ไหนเลยจะยอมปล่อยให้คนมาชี้หน้าด่าเช่นนี้ได้?
เขาพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะจับตัวเฉินเย่าจงที่กำลังจะจากไปเข้าไปในตรอก ส่วนเฉินเย่าจงเองก็ไม่ยอมถูกคนพาตัวไปง่าย ๆ เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขาสู้แรงไม่ไหว บัณฑิตที่อ่อนแอคนหนึ่ง ไหนเลยจะสู้ชายร่างกำยำสามสี่คนได้
ขณะที่เฉินเย่าจงกำลังขัดขืนอยู่นั้น ก็บังเอิญเห็นจี้จือฮวนสองคนแม่ลูกเข้าพอดี
ตอนที่ตกอับที่สุดแต่กลับพบกับคนที่ไม่อยากพบมากที่สุด แค่คิดก็รู้ได้ทันทีว่าเฉินเย่าจงจะโมโหและอับอายมากเพียงใด
เขาจึงตะคอกออกมา “จี้จือฮวน เผยจี้ฉือ พวกเจ้าจะมองดูข้าถูกคนจับตัวไปเฉย ๆ เช่นนี้น่ะหรือ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องมีความคิดชั่วร้าย พวกเจ้าต้องสมรู้ร่วมคิดกับคนพวกนี้เป็นแน่ พวกเจ้าอิจฉาในความสามารถของข้า กลัวว่าข้าจะสอบจอหงวนได้ใช่หรือไม่!”
ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมามองเฉินเย่าจงด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“ที่แท้ก็เป็นคนเสียสตินี่เอง”
“สมองมีปัญหาหรือเปล่า เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่?”
เฉินเย่าจงได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบข้าง ก็โมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา แต่เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อเฉินไคชุนที่รักเขาปานดวงใจไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ส่วนชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลเฉินก็รู้สึกผิดหวังในตัวเขาไปนานแล้ว
เขาไม่ใช่ว่าที่จอหงวนที่ได้รับความเคารพจากคนในหมู่บ้านเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
เผยจี้ฉือราวกับกำลังมองตัวที่น่ารังเกียจ ก่อนจะเบนสายตาหนีอย่างดูแคลน เทียบกับการที่เฉินเย่าจงจะโชคร้ายหรือไม่แล้ว สิ่งที่เขาหงุดหงิดมากกว่าก็คือ การเข้าเรียนที่นี่เขาต้องพักอยู่ที่สำนักศึกษาหกวัน แล้วจึงจะสามารถกลับไปบ้านได้เพียงหนึ่งวันมากกว่า!
เขาไม่อยากจากท่านแม่กับน้อง ๆ
เผยจี้ฉือในเวลานี้เกือบจะลืมเผยยวนไปแล้ว
ในที่สุดเฉินเย่าจงก็ถูกคนหิ้วเข้าไปในตรอก จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา เพียงแต่ไม่มีใครคิดที่จะไปช่วยเขา คนแบบนี้ควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง
อาจารย์เหลียงเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ไม่สมกับเป็นผู้มีการศึกษาเลยจริง ๆ”
เฉินเย่าจงหาเรื่องใส่ตัว จี้จือฮวนเองก็ไม่มีเวลาว่างไปห่วงเรื่องของเขา หลังจากที่ขอตัวลากับอาจารย์เหลียงแล้ว สองแม่ลูกก็ไปที่ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลต่อ
ระหว่างทางเผยจี้ฉือมีท่าทางอึกอักเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยออกมา “ท่านแม่ขอรับ”
“มีอะไรหรือ? เจ้าว่าผ้าห่มจะเอาจากที่บ้าน หรือว่าจะไปซื้อที่สำนักศึกษาดี แม้ว่าเขาจะละเว้นค่าเล่าเรียนให้พวกเรา แต่ของอย่างอื่นเราเตรียมไปเองจะดีกว่า” จี้จือฮวนกำลังคิดถึงของที่เขาจำเป็นต้องใช้ในการเข้าเรียน
เผยจี้ฉือเอ่ยด้วยท่าทางสับสน “ข้าไม่พักที่เรือนพักของสำนักศึกษาได้หรือไม่ขอรับ”
จี้จือฮวนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะแอบหัวเราะ “คิดถึงบ้านหรือ?”
เผยจี้ฉือหูแดงก่ำ “ข้า…ข้าเป็นห่วงพวกท่าน”
“หากเจ้าขี่ม้าเป็นละก็ จะไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะจ้านอิ่งวิ่งเร็วอยู่แล้ว” จี้จือฮวนให้คำแนะนำอย่างจริงใจ
“ข้าขี่ม้าเป็นขอรับ ท่านพ่อเป็นคนสอนข้าเอง” เผยจี้ฉือได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเป็นประกาย
“อย่างนั้นหรือ เจ้าเรียนตอนกี่ขวบ?” ดูท่าทางสุภาพเรียบร้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเผยยวนจะสอนเขาขี้ม้าจนเป็นแล้ว
“ตอนหกขวบข้าสามารถขี่ลูกม้าคนเดียวได้แล้ว แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะต้องให้ท่านพ่อคอยดูแล เดิมอาอินกับอาชิงก็ร่ำร้องอยากจะเรียนด้วย เพียงแต่ยังเรียนไม่ทันเป็น ก็เกิดเรื่องกับท่านพ่อเสียก่อน” เมื่อเอ่ยถึงเผยยวน เผยจี้ฉือดูเหมือนจะมีเรื่องให้พูดไม่รู้จบ
“พ่อของพวกเจ้าต้องดีกับพวกเจ้ามากแน่ ๆ” ดังนั้นเด็กที่อายุยังน้อยเช่นนี้จึงรู้จักที่จะปกป้องเขา ของอะไรก็เก็บเอาไว้ให้เผยยวน
พูดถึงเผยยวน ใบหน้าของเผยจี้ฉือก็พลันอ่อนโยนลงอย่างหาได้ยาก “ใช่ขอรับ ท่านพ่อเป็นวีรบุรุษ ปกป้องผู้คนนับไม่ถ้วนที่ชายแดน”
แต่ในนิยายตอนหลังเผยยวนตายไปอย่างเงียบ ๆ แม้แต่หลุมฝังศพที่เหมาะสมก็ไม่มี สุดท้ายเมื่อศัตรูบุกมา ก็เป็นพระเอกที่นำกองทัพเก่าของเผยยวนไปกอบกู้และพลิกสถานการณ์
เหล่าราษฎรต่างก็คิดว่าเผยยวนหนีทหาร แนวหน้าไร้แม่ทัพ ทำให้ความดีความชอบทั้งหมดของเขาถูกลบล้างไปจนหมดสิ้น
แม่ทัพเป็นคนอื่น ผลงานก็ต้องเป็นของคนอื่น ส่วนเผยยวนกลายเป็นแค่ขุนนางที่มีจิตคิดคด ทรยศต่อพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ตามราชโองการ
เผยจี้ฉือเคารพเผยยวนเพียงนี้ คงไม่ต้องพูดถึงความโกรธแค้นและชิงชังเมื่อเห็นราษฎรทั่วทั้งใต้หล้าใส่ร้ายเผยยวน
จี้จือฮวนกุมมือของเขาเอาไว้แน่น “ใต้หล้ายังต้องการพ่อของเจ้า ดังนั้นเขาจะต้องฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน”
ตอนนี้เส้นประสาทของเผยยวนเริ่มมีการตอบสนองแล้ว คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะฟื้นแล้ว
เผยจี้ฉือพยักหน้าหงึก ๆ “ข้ารู้ขอรับ ว่าท่านพ่อต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน”
เป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกจะเทิดทูนผู้เป็นพ่อ และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพึ่งพิงผู้เป็นแม่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ความรักและความเอาใจใส่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กในวัยนี้
…
บนชั้นสองของภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ ฉือชางไห่หรี่ตาลง “เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่ ข้ากำลังกังวลว่าจะหาตัวสตรีผู้นี้ไม่เจอ แต่นางกลับมาหาถึงที่ รีบไปแจ้งจางจู่ปู้ ให้ส่งคนไปที่ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลเร็วเข้า”
โจวเหล่ยเห็นดังนั้นก็รีบไปทันที เพราะเรื่องแบบนี้เมื่อทำบ่อยเข้าก็จะกลายเป็นความเคยชินและรู้ว่าต้องทำเช่นไร
ตำบลฉาซู่แห่งนี้คนที่ล่วงเกินฉือชางไห่ ไม่มีเลยสักคนที่จะมีจุดจบที่ดี
เมื่อจี้จือฮวนมาถึงภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหล ก็พบว่ากิจการรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังรุ่งเรืองกว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย คนส่วนใหญ่ล้วนมาซื้อชุดชานมและซุปหมาล่ากินกัน
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงส่งเสริมการขาย หากมาเป็นครอบครัวซื้อสองชุดจะได้เพิ่มอีกหนึ่งชุด สิทธิพิเศษเช่นนี้ใครบ้างไม่อยากได้
ฮวาเซียงเซียงยังได้จ้างผู้ช่วยเพิ่มอีกสองสามคน งานยุ่งจนเดินวุ่นไม่ได้หยุด เมื่อเห็นจี้จือฮวน นางก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม “รีบเข้ามาเร็ว!”
ฮวาเซียงเซียงพาจี้จือฮวนไปที่ห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ อาหารสองอย่างที่ออกใหม่คราวนี้ ในหนึ่งวันทำเงินได้ถึงสองร้อยตำลึงเลยทีเดียว สองร้อยตำลึงเชียวนะ เมื่อก่อนแม้แต่คิดข้ายังไม่กล้าคิดถึงตัวเลขนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะมีเพียงภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่เท่านั้นที่สามารถทำได้”
ฮวาเซียงเซียงเอาส่วนแบ่งให้จี้จือฮวน “หากรูปการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การจะขึ้นไปแทนที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!”
ฮวาเซียงเซียงเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงเสี่ยวเอ้อตะโกนขึ้นมา “เถ้าแก่เนี้ย คนของทางการมาขอรับ บอกว่าจะมาตรวจสอบบัญชีของพวกเราขอรับ”