บทที่ 92 ฉือชางไห่ตกตะลึง
เมื่อถูกเฉียวเจิ้งถงซักถามไม่หยุด หัวหน้าสายตรวจหงก็แทบจะยืนไม่ไหว หลังจากร่างกายโงนเงนครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “ข้าเองก็ทำตามที่จางจู่ปู้สั่งเช่นกันขอรับ”
เขาเป็นแค่หัวหน้าสายตรวจตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไฉนเลยจะมีความกล้าถึงเพียงนั้น
แต่คนที่อยู่ในที่แห่งนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าที่พวกเขาทำก็เพราะรับเงินมา ส่วนทำงานให้ใคร? แล้วใครที่ได้ประโยชน์ก็เป็นคนนั้นแหละ
พ่อบ้านจูได้ยินประโยคนี้ก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “คำพูดนี้ของเจ้าก็เหมือนกับการสีซอบนหลุมฝังศพ เหลวไหลสิ้นดี!”
หัวหน้าสายตรวจหงเองก็มองออกว่าคนผู้นี้ไม่อาจล่วงเกินได้ หวังแค่ว่าจางจู่ปู้จะรีบมา ส่วนทางนี้เขาเองก็ให้คนไปตามฉือชางไห่มาแล้วเช่นกัน เพราะงานนี้เขาทำเองไม่ไหวอีกต่อไป!
จางจู่ปู้เวลานี้กำลังนอนอยู่บ้านอย่างมีความสุข โดยมีอนุที่ใบหน้างดงามอยู่เคียงข้าง กำลังเลือกปิ่นปักผมและเครื่องประดับหยกอยู่
“นายท่าน พวกนี้ให้ข้าหมดเลยหรือเจ้าคะ ข้าชอบมากเลยเจ้าค่ะ”
“ฉือชางไห่ให้มา เจ้าเอาไปได้เลย หากงานสำเร็จแล้วยังมีอีก” จางจู่ปู้ไม่ได้สนใจของเหล่านี้ หลายปีมานี้อาศัยแค่สมคบคิดทำงานให้ฉือชางไห่ เขาก็ไม่เคยขาดแคลนเงินทองอีกเลย
ตอนที่คนรับใช้ในบ้านพุ่งตัวเข้ามา จางจู่ปู้ก็เอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ลนลานอะไรของเจ้ากัน!”
“คนของที่ว่าการมาขอรับ บอกว่าไม่สามารถจัดการงานได้ ให้…ให้ท่านรีบไปขอรับ”
จางจู่ปู้ไม่พอใจขึ้นมาทันที หัวหน้าสายตรวจหงผู้นั้นแค่สาวชาวบ้านกับเถ้าแก่เนี้ยภัตตาคารอีกคนหนึ่งก็ยังจัดการไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ ดูท่าควรเปลี่ยนคนได้แล้ว!
หลังจากที่เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ไปที่ที่ว่าการพร้อมกับสีหน้าที่ไม่พอใจเท่าไรนัก ทว่าเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูก็พบว่ามีคนล้อมอยู่เต็มไปหมด ฉือชางไห่เองก็มาถึงแล้ว ทั้งสองจึงส่งยิ้มให้กัน คิดแค่ว่าจี้จือฮวนและฮวาเซียงเซียงคงดิ้นรนเฮือกสุดท้ายก่อนตายก็เท่านั้น
จางจู่ปู้เข้าไปถึง ไม่มองอะไรก็เอ่ยถามเสียงดังขึ้นมาทันที “เกิดเรื่องอะไรกัน!”
หัวหน้าสายตรวจหงรออยู่นานแล้ว ในที่สุดเขาก็มาเสียที จึงรีบวิ่งเข้าไปข้างกายของจางจู่ปู้แล้วเอ่ยขึ้นมา “ในที่สุดท่านก็มาเสียที”
จางจู่ปู้เงยหน้าขึ้นจึงพบว่ามีคนอยู่ที่นี่มากมายเพียงใด แค่สตรีสองคนมิใช่หรือ หัวหน้าสายตรวจหงทำงานประสาอะไรกัน?
“จางจู่ปู้ช่างยุ่งจริง ๆ เลย กลางวันแสก ๆ ยังนอนอยู่ที่บ้านอีกอย่างนั้นหรือ?” ฮวาเซียงเซียงเอ่ยขึ้นทันที
จางจู่ปู้วางก้ามในตำบลแห่งนี้มาไม่ใช่แค่วันสองวัน เมื่อถูกสตรีผู้หนึ่งพูดจากระทบกระเทียบต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจทนได้ “ปากดีจริง ๆ เด็ก ๆ ฮวาเซียงเซียงดูหมิ่นศาล ตบปากนางซะ”
“ช้าก่อน!” เฉียวเจิ้งถงลุกขึ้นยืน จางจู่ปู้คิดไม่ถึงว่าเฉียวเจิ้งถงจะมาที่นี่เพื่อช่วยฮวาเซียงเซียง จึงเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเฉียวยังพักรักษาตัวอยู่ที่จวนมิใช่หรือขอรับ เหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่ได้?”
เฉียวเจิ้งถงหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าไม่มาจะรู้ถึงความเก่งกาจของจางจู่ปู้อย่างนั้นหรือ ไม่ทราบว่าการกระทำของจางจู่ปู้เมื่อครู่ ถือเป็นการลงโทษประชาชนตามอำเภอใจโดยไม่ถามผิดถูกใช่หรือไม่?”
จางจู่ปู้เอ่ยค้านขึ้นมา “ข้าแค่ทำตามกฎหมายของต้าจิ้นขอรับ”
พ่อบ้านจูทนเจ้าขุนนางสุนัขนี่มานานแล้ว ขนาดขุนนางขั้นหนึ่งที่เขาพบปะด้วยเป็นประจำยังไม่หยิ่งยโสเช่นนี้เลย เขาจึงให้เฉียวเจิ้งถงหลบไป ก่อนจะชี้หน้าด่าจางจู่ปู้ทันที “เจ้าทำตามกฎหมายเมืองยมบาลที่ใดกัน ข้อใด วรรคใด บทใด หากเจ้าตอบไม่ได้ วันนี้เจ้าอย่าคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเลย!”
จางจู่ปู้ไม่รู้จักพ่อบ้านจู เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าเป็นใครกัน ถึงกล้ามาร้องตะโกนในศาล และยังกล้าดูหมิ่นกฎหมายอีก!”
“กฎหมายอย่างนั้นหรือ วันนี้ข้าจะอภิปายเรื่องกฎหมายกับเจ้า ในฐานะขุนนาง ห้ามใช้ศาลเตี้ยตัดสิน ห้ามคุมขังราษฎรก่อนที่จะตรวจสอบสถานการณ์ให้กระจ่าง และยิ่งไม่สามารถออกไปจากที่ว่าการในเวลาทำงานโดยพลการได้ ขอถามว่าในฐานะที่เจ้าเป็นจู่ปู้ เวลางานเช่นนี้คนที่เดิมทีควรจะนั่งทำงานอยู่ในที่ว่าการ เหตุใดจึงไปอยู่ที่บ้านได้เล่า?”
จางจู่ปู้พูดไม่ออก พ่อบ้านจูจึงเอ่ยต่ออีกว่า “กฎขุนนางของต้าจิ้น วรรคสุดท้ายของบทที่สามสิบสองในบทที่สี่ ระบุว่า หากมีการออกจากที่ประจำการโดยพลการ จะต้องถูกลงโทษโดยการหักเงินเดือนเป็นเวลาครึ่งปี และเวลาทำงานของขุนนางที่นั่งในที่ว่าการคือตั้งแต่ยามเฉิน1 ไปจนถึงยามโหย่ว2 เจ้าลองคำนวณดูสิ ข้าว่าเจ้าคงต้องถูกหักเงินเดือนเป็นเวลาสองหรือสามปีแล้วกระมังจางจู่ปู้”
จางจู่ปู้ถูกพ่อบ้านจูบีบจนพูดไม่ออก นี่มัน…นี่เป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงรู้เกี่ยวกับกฎหมายของต้าจิ้นมากเพียงนี้กัน!?
พ่อบ้านจูกลอกตามองบน กระดกนิ้วเป็นท่านิ้วดอกกล้วยไม้3 นี่มันสอนจระเข้ว่ายน้ำชัด ๆ ล้อกันเล่นหรืออย่างไร ตอนที่เขาติดตามท่านกั๋วกงร่างกฎหมายต้าจิ้น เจ้าเด็กพวกนี้ยังสวมกางเกงเปิดเป้านั่งเล่นดินเล่นโคลนกันอยู่กระมัง!
หัวหน้าสายตรวจหงกลอกตาไปมา ก่อนจะเดินเข้ามาพลางเอ่ยถาม “มีข้อนี้จริงหรือขอรับ?”
จางจู่ปู้ถลึงตาใส่เขา ก่อนจะกระแอมเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา “วันนี้ที่บ้านข้ามีธุระ ดังนั้นจึงมาช้าไปสักหน่อย และคดีนี้ก็เป็นเรื่องของฮวาเซียงเซียงและจี้จือฮวน คนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่าได้เข้ามาแทรกแซงการพิจารณาคดีของที่ว่าการจะดีกว่า”
ฮวาเซียงเซียงรอประโยคนี้ของเขาอยู่ “เรียกข้าหรือ ได้สิ เจ้าเฒ่า ข้าขอถามเจ้าหน่อย ต้าจิ้นมีกฎหมายข้อใดที่กำหนดว่าคนค้าขายเดือนนี้ทำเงินได้มาก แล้วต้องจ่ายภาษีสองเท่าบ้าง?”
พ่อบ้านจูตาโตขึ้นมาทันที “ต่อให้องค์ฮ่องเต้มาเองก็ไม่มีทางกำหนดกฎหมายที่เหมือนเป็นการปล้นกันเช่นนี้ได้ ข้าขอถามเถ้าแก่เนี้ยฮวาหน่อย ว่าท่านเคยบริจาคเงินช่วยประเทศยามเดือดร้อนหรือไม่ ตอนที่เกิดภัยพิบัติหรือสงครามแล้วฉวยโอกาสขึ้นราคาของบ้างหรือไม่ หรือว่าแทรกแซงราคาตลาดหรือไม่?”
ฮวาเซียงเซียงผายมือออก “ชาวบ้านทั้งตำบลฉาซู่ต่างก็เป็นพยานให้ข้าได้ น้ำท่วมปีที่แล้วข้ายังได้บริจาคเงินช่วยเหลืออีกด้วย ไม่มีการโก่งราคาและโกงเงินแน่นอน”
เหล่าชาวบ้านต่างก็พยักหน้ารับ “เถ้าแก่เนี้ยฮวาเป็นคนที่มีเมตตากรุณา”
ร้านข้าวสารของฉือชางไห่ต่างหากที่ตอนเกิดน้ำท่วม กลับฉวยโอกาสขึ้นราคาสูงกว่าราคาทองคำเสียอีก!
“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว กฎหมายกำหนดไว้ มีเพียงพ่อค้าที่ละเมิดกฎหมายเหล่านี้เท่านั้นที่จะต้องเก็บภาษีสูงขึ้นในขณะที่ทำกำไรได้มาก เดิมทีก็เพื่อใช้บังคับพวกพ่อค้าที่ไร้ศีลธรรม”
พ่อบ้านจูมองจางจู่ปู้ “เจ้าควรคิดให้ดี ยัดข้อหาให้กับชาวบ้านส่งเดชเช่นนี้ สถานเบาก็แค่ถูกเนรเทศ แต่สถานหนักคือต้องถูกตัดหัว ก่อนที่จะตัดสินผิด เหลือทางรอดให้ตัวเองจะดีกว่า!”
จางจู่ปู้ถูกพ่อบ้านจูจ้องมองจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว ไฉนเลยจะยังกล้าพูดอะไรได้อีก เพราะฮวาเซียงเซียงเป็นคนเก่าแก่ในตำบลฉาซู่ เขาจึงจำต้องกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะโยนความผิดให้กับฉือชางไห่
“เรื่องของเถ้าแก่เนี้ยฮวาย่อมเป็นเรื่องเข้าใจผิดอยู่แล้ว แต่ว่าฉือชางไห่ฟ้องว่าจี้จือฮวนขโมยสูตรของจุ้ยเซียนจวี่ของพวกเขา ทำให้กิจการของเค่ออวิ๋นไหลรุ่งเรืองขึ้นมา เรื่องนี้คงไม่ผิดกระมัง”
จางจู่ปู้คิดว่าจี้จือฮวนขโมยสูตรลับจริง เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเป็นการใส่ความของฉือชางไห่
ฉือชางไห่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ทุกคนต่างก็รู้ดี ก่อนหน้านี้กิจการของเค่ออวิ๋นไหลสู้จุ้ยเซียนจวี่ของเราไม่ได้ อีกทั้งอาหารที่ช่วงนี้จุ้ยเซียนจวี่คิดค้นขึ้นมา ล้วนกลายเป็นของเค่ออวิ๋นไหล ต้องเป็นเพราะฮวาเซียงเซียงกับสาวชาวบ้านอย่างจี้จือฮวนร่วมมือกันอย่างแน่นอน การกระทำชั่วร้ายเช่นนี้ ยังไม่สมควรที่จะเข้าคุกอีกอย่างนั้นหรือ?”
ฮวาเซียงเซียงเท้าเอวกำลังจะด่าออกมา แต่มีมือข้างหนึ่งห้ามนางเอาไว้เสียก่อน จี้จือฮวนปรายตามองอย่างเย็นชา จนทำให้ฉือชางไห่ใจสั่นขึ้นมา
ก่อนจะได้ยินจี้จือฮวนเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าข้าขโมยสูตรของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็บอกวิธีทำอาหารเหล่านี้มา ใช้สูตรอะไร ไฟตอนที่ปรุงเป็นอย่างไร ในเครื่องปรุงมีอะไรบ้าง”
ฉือชางไห่เดิมคิดที่จะอาศัยความสัมพันธ์กับจางจู่ปู้ ขอเพียงจี้จือฮวนถูกจับก็อย่าคิดที่จะลืมตาอ้าปากได้อีก ไหนเลยจะคิดว่าต้องมีการไต่สวนคดีด้วย
ถามสูตรจากเขาอย่างนั้นหรือ ถ้าหากเขารู้เขาจะมามองตาปริบ ๆ เช่นนี้หรือ?
พ่อบ้านจูแค่เห็นท่าทางของทั้งสองคนก็เข้าใจได้ทันที ท่านหมอเทวดาดูท่าไม่เพียงมีฝีมือการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แม้แต่ฝีมือการทำอาหารก็เป็นเลิศเช่นกัน แต่พวกสุนัขและแมลงสาบที่น่ารังเกียจต่างก็พยายามที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
พ่อบ้านจูเอามือทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็น “ช่างเปิดหูเปิดตาข้าจริง ๆ กลางวันแสก ๆ กลับมีขุนนางสมคบคิดกับพ่อค้า สร้างเรื่องใส่ร้ายคนขึ้นมา คิดว่าต้าจิ้นของเราไม่มีคนอื่นแล้วหรืออย่างไร คนสารเลวอย่างพวกเจ้าถึงได้คิดที่จะกลับดำเป็นขาวเช่นนี้!”
คิดจะรังแกผู้มีพระคุณของจวนกั๋วกงอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
จี้จือฮวนกระตุกยิ้มที่มุมปาก คิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านจูผู้นี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการพูดจาเหน็บแนมคนด้วย และยังเป็นคนมีสำบัดสำนวน พูดออกมาได้ประโยคแล้วประโยคเล่าเช่นนี้
[1] ยามเฉิน (辰时) หมายถึง ช่วงเวลา 7.00 – 9.00น.
[2] ยามโหย่ว (酉时) หมายถึง ช่วงเวลา 17.00 – 19.00น.
[3] ท่านิ้วดอกกล้วยไม้ (兰花指) เป็นการทำมือให้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางแตะกัน ส่วนอีกสามนิ้วที่เหลือยกขึ้นซึ่งจะดูเหมือนกล้วยไม้ ซึ่งในสมัยโบราณเป็นท่าทางของผู้ชายซึ่งสะท้อนถึงความงามที่เป็นเอกลักษณ์