บทที่ 119 ไม่ช่วย ไสหัวไปซะ
ถังหมิงเองก็คิดไม่ถึง เดิมเขาแค่อยากจะเลี้ยงข้าวลู่อวิ๋นเซียง เหตุใดนางถึงถูกพิษได้ หรือเป็นพิษจากในขวดเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ?
แต่ว่าลู่อวิ๋นเซียงเป็นลูกหลานตระกูลหมอเทวดาไม่ใช่หรือ? ทั้งยังกำลังศึกษาเรื่องพิษอีกด้วย? ของแค่นี้สามารถทำร้ายนางได้เพียงนี้เชียวหรือ?
ถังหมิงเองก็เริ่มรู้สึกสงสัยว่า สรุปแล้วนางมีความสามารถจริงหรือไม่?
พิษของลู่อวิ๋นเซียงเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ใบหน้าครึ่งหนึ่งค่อย ๆ ผิดรูปจนเริ่มน่าเกลียด ใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่นับว่าสวยอะไร ทว่าตอนนี้กลับดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“คุณชายถัง…” ลู่อวิ๋นเซียงเอ่ยเพียงเท่านั้นก็สลบไป
ท่านหมอเห็นว่าคนกำลังจะตายแล้ว จึงรีบเดินออกไปด้านนอกทันที เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว แต่ตอนที่เดินผ่านห้องข้าง ๆ เขาได้ยินเสียงหัวเราะของจางหยวนเฉียว จึงลองเคาะประตูดู
“ท่านหมอจาง ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่ขอรับ แม่นางห้องข้าง ๆ เหตุใดถึงไม่มาหาท่านเล่าขอรับ”
จางหยวนเฉียวเห็นว่าเป็นเขา “อ้อ ข้าไปดูมาแล้ว ข้ารักษาไม่ได้จริง ๆ หรือไม่ก็ต้องควักลูกตาออกมา นางไม่ยอมเอง เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
ถังหมิงอุ้มลู่อวิ๋นเซียงออกมาพอดี ได้ยินดังนั้นก็มองเข้าไปด้านในห้องส่วนตัว
สายตาของเขามองตรงไปที่เผยยวน
“เจ้า…”
เผยยวน?! ไหนบอกว่าหลังจากงานเลี้ยงฉลองชัยชนะเขาก็ป่วยหนักและพักฟื้นอยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือ? แม้แต่กองทัพเกราะเหล็กก็ยังถูกยุบ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่ตำบลฉาซู่ได้!?
ดูท่าทางก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรนี่นา?
เผยยวนเองก็เห็นถังหมิงแล้วเช่นกัน แต่เขาไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับผู้คนในเมืองหลวงมากนัก ดังนั้นจึงชำเลืองมองเขาเพียงเล็กน้อยก็เบนสายตาหนีทันที
เขาไม่สนว่าคนของราชสำนักจะรู้ว่าตอนนี้เขาหายดีแล้ว
ยืมมือของคนอื่นกระจายข่าวออกไป เขาจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงด้วย
แต่สองวันมานี้เขากระจ่างแล้วว่า ที่แท้วันนั้นหลังจากที่เขาสลบไป เมืองหลวงก็มีข่าวลือออกมาว่าเขาป่วยหนักเพราะออกรบ เพื่อป้องกันกองทัพเกราะเหล็กขาดผู้นำ ฮ่องเต้จึงได้มีราชโองการให้ตระกูลอื่นดูแลชั่วคราว
ดูแลชั่วคราว? รอเขาตายแล้ว จะไม่กลายเป็นของคนอื่นอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่าเมื่อได้ดูรายชื่อแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นพวกที่ปกป้องราชวงศ์ทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าช่วงที่ฮ่องเต้ครองบัลลังก์จะเหลิงในอำนาจไม่น้อยเลยทีเดียว
ต่อให้วันนี้ถังหมิงไม่เจอเขา เขาก็จะป่าวประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าเผยยวนไม่ได้ป่วย แต่มีคนอยากจะกำจัดเขามากกว่า
ฮ่องเต้มักจะแสร้งทำเป็นห่วงใยเขาต่อหน้าคนนอก หลังจากที่เขาสลบไป พระองค์ถึงขั้นทรงกันแสงในท้องพระโรงอีกด้วย บอกว่านอกจากเผยยวนแล้วก็ไม่มีแม่ทัพคนใดเก่งกาจเท่าเขาอีก ราษฎรทั้งใต้หล้าล้วนต้องการเขา
ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และขุนนางเช่นนี้ ถูกบัณฑิตที่โง่เง่าพวกนั้นเยินยอจนดูสูงส่ง
ดังนั้นหากฮ่องเต้รู้ว่าเขายังมีชีวิตสุขสบายดี ยังไม่ตาย ย่อมไม่มีทางลงมือซึ่ง ๆ หน้าอย่างแน่นอน เพราะพระองค์ไม่กล้าและกลัวว่าคนทั้งใต้หล้าจะวิพากษ์วิจารณ์ว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ที่โง่เขลา พระองค์กลัวว่าภายภาคหน้าชื่อเสียงจะเหม็นเน่าไปอีกเป็นหมื่นปี กลัวว่าประวัติศาสตร์จะบันทึกเอาไว้เช่นนี้
บัดนี้เท้าครึ่งหนึ่งเข้าไปในโลงศพแล้ว องค์ชายรองและองค์ชายสามเองก็โตเป็นผู้ใหญ่และใกล้จะแต่งงานกันแล้ว ฮ่องเต้เห็นลูกชายที่เติบโตแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในใจก็คงรู้สึกกลัวเป็นธรรมดากระมัง
เผยยวนแค่ปรายตามอง แต่กลับทำให้ถังหมิงตกใจไม่น้อย
เผยยวนผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มที่คุณชายของตระกูลต่าง ๆ เกลียดเขามากที่สุด เพราะตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อแม่ญาติพี่น้องมักจะเอาเขามาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองเสมอ
ทำอะไรก็สู้ไม่ได้ อีกทั้งถังหมิงและเผยยวนยังเสียพ่อไปตั้งแต่ตอนที่อายุประมาณเจ็ดแปดขวบเช่นเดียวกัน แต่เผยยวนกลับถากถางเส้นทางให้ตัวเอง ไม่ต้องอาศัยผลงานของผู้เป็นบิดา เขาก็สามารถสร้างผลงานและมีจวนเป็นของตัวเองได้
ส่วนตัวเขาแค่จะทำให้ท่านปู่หันมามอง ยังต้องมาประจบหมอหญิงคนหนึ่งอยู่เลย
“โอ๊ย รักษาไม่ได้จริง ๆ เตรียมไปซื้อโลงเถอะ ปล่อยเช่นนี้ต่อไปนางต้องตายแน่นอน” จางหยวนเฉียวกำลังกินข้าวอย่างมีความสุข ถังหมิงกลับอุ้มหญิงสาวที่ใบหน้าดำคล้ำไปหมดแล้วมายืนอยู่ตรงนี้ ช่างซวยจริง ๆ!
ถังหมิงเองก็ร้อนใจเช่นกัน หากว่าลู่อวิ๋นเซียงตายตอนอยู่กับเขา มิเท่ากับว่าเขาจะถูกท่านปู่ตำหนิเอาหรอกหรือ!
“ท่านหมอจาง ท่านรู้จักกับท่านปู่ข้ามานาน ท่านช่วยรักษาให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ จะเรียกค่ารักษาเท่าใดก็ได้ขอรับ”
จางหยวนเฉียวเป็นศิษย์ของหัวหน้าสำนักหมอหลวง จึงมีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าพวกหมอหลวงเลย เพียงแต่เขาขี้เกียจเข้าวังก็เท่านั้น
หมอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านขอร้องท่านหมอจางทำไมกัน ท่านหมอเทวดาก็อยู่นี่แล้ว เหตุใดยังต้องวิ่งไปหาข้าอีกเล่า”
ถังหมิงประหลาดใจขึ้นมา ก่อนจะสังเกตเห็นสตรีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เผยยวน
แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ทว่ากลิ่นอายที่ปล่อยออกมาจากกายนั้นไม่เหมือนคนทั่วไป
หากบอกว่าลู่อวิ๋นเซียงอาศัยการแต่งกาย จึงทำให้มีท่าทางสูงส่งราวกับเซียน แต่สตรีผู้นี้กลับมีท่าทางสูงส่งและเย็นชาออกมาจากภายใน
เมื่อมองอย่างละเอียด สตรีผู้นี้ช่างงดงามจริง ๆ นัยน์ตาหงส์ปรายมองเขาเล็กน้อย แต่รู้สึกราวกับจะดึงดูดวิญญาณของผู้คน ทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้
“คุณชายถัง นี่ก็คือหญิงชาวบ้านที่คุณหนูของเราพูดถึงคนนั้นเจ้าค่ะ” อู๋จิงเข้าไปข้างกายของถังหมิงและเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“เจ้าก็คือนักต้มตุ๋นที่ขโมยชื่อเสียงคนอื่นไปหลอกลวงผู้คนอย่างนั้นหรือ?”
จี้จือฮวนจึงหันหน้าไปมองถังหมิง ใบหน้าที่เดิมงดงามสะดุดตาพลันถูกรอยแผลเป็นด้านข้างทำลายไปจนหมดสิ้น
ความจริงแล้วรอยสีเขียวและรอยแผลเป็นของจี้จือฮวนนั้นดีขึ้นมากแล้ว เหลือเพียงด้านข้างอีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่อีกไม่นานก็คงจะหายดี
ถังหมิงขมวดคิ้ว เผยยวนกลับมองเขาด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ในสายตาของเขา ฮวนฮวนสวยที่สุด คนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาใช้สายตาเช่นนี้มองนางกัน? ใครกล้ามาบอกว่าฮวนฮวนเป็นนักต้มตุ๋น ตาบอดหรืออย่างไร?
“ไม่ช่วย ไสหัวไปซะ”
หลังจากจี้จือฮวนเอ่ยออกมา คนครอบครัวเผยต่างก็จ้องมองถังหมิงเป็นตาเดียว
อาอินกล่าวอย่างติดรำคาญ “เหตุใดเจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก”
อาฉือกล่าวต่อ “น่าจะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องกระมัง”
อาชิงบิดก้นไปมา “รู้ความสู้อาชิงยังไม่ได้เลย”
ส่วนท่านป้าก็ได้แต่กลอกตามองบน
ต่อว่าออกมาตรง ๆ เช่นนี้ ราวกับถังหมิงเป็นอากาศธาตุก็มิปาน
จางหยวนเฉียวเองก็ไม่พอใจเช่นกัน “คุณชายถัง หากท่านยังชักช้าเช่นนี้ ต่อให้ตัดหัวของนางก็ไม่มีทางรอดหรอก รีบไปเถอะ เลิกขัดเวลาคนเขากินข้าวได้แล้ว”
ถังกั๋วกงและจางหยวนเฉียวเป็นเพื่อนเก่ากัน จางหยวนเฉียวถือเป็นผู้อาวุโสของถังหมิง เขาจึงไม่สามารถโต้แย้งได้
คิดได้ดังนั้น ถังหมิงก็หมุนตัวออกจากเค่ออวิ๋นไหลไป หากว่าลู่อวิ๋นเซียงตายขึ้นมาจริง ๆ ถึงเวลา อย่างมากเขาก็แค่บอกว่านางกินของไม่ดีเข้าไปเอง ปัดความข้องเกี่ยวทุกอย่างทิ้งให้หมดก็พอ
ลู่อวิ๋นเซียงยังไม่รู้ว่าตนเองโดนทิ้งแล้ว เมื่อถูกถังหมิงอุ้มขึ้นมาบนรถม้า พิษก็ค่อย ๆ ออกฤทธิ์ นางรู้ว่าตนรอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นหมอนางต้องยอมละทิ้ง
ลู่อวิ๋นเซียงดึงมีดสั้นที่พกติดกายออกมา และแทงเข้าไปที่ดวงตาของตนเองทันที เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ทำให้ถังหมิงที่อยู่ด้านนอกเปิดม่านของรถม้าออก ทว่าก็ต้องตกใจจนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น
เมื่อไม่มีคนพวกนั้นรบกวนอีก ในที่สุดจี้จือฮวนก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารมื้อนี้ได้อย่างสบายใจ
กลับเป็นอาชิงน้อยที่เอาแต่ลูบท้องกลม ๆ และบิดก้นไปมา รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไรนัก อยากจะกลับไปอึอย่างเดียว
หากไม่อึหนอนน้อยตัวนั้นออกมา! อาชิงคงรู้สึกไม่สบายตัวเป็นแน่
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทั้งครอบครัวก็เตรียมที่จะกลับบ้าน อาชิงที่ง่วงงุนมานานแล้ว เมื่อขึ้นรถม้าก็นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเผยยวนไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จางหยวนเฉียวส่งทั้งครอบครัวกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ได้ยินเสี่ยวเอ้อของภัตตาคารพูดถึงเรื่องของลู่อวิ๋นเซียง
“หาเรื่องใส่ตัวเอง ใครใช้ให้นางดูถูกคนอื่นกันเล่า ไม่ยอมให้อาจารย์ข้าช่วย อาจารย์ข้าต้องไปขอร้องเพื่อช่วยรักษาให้นางด้วยอย่างนั้นหรือ เฮอะ” จางหยวนเฉียวกลอกตามองบน
หญิงสารเลว ชอบหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ
ที่ตาบอดไปข้างหนึ่งก็เป็นเพราะนางทำตัวเอง ใครจะดึงดันช่วยคนอย่างนางกัน