บทที่ 125 ไม่พบกันเสียนาน ข้าคือจี้จือฮวน
จี้จือฮวนทำอาหารง่าย ๆ สามสี่อย่าง บวกกับมีพวกผู้หญิงในหมู่บ้านมาช่วย และยังนำผักและไข่ที่บ้านของตัวเองมาด้วย จึงทำให้นางไม่ยุ่งมากนัก หลังจากทุกคนกินมื้อกลางวันที่คึกคักกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลากลับไปทำไร่ไถนาต่อ
บ้านหลังใหม่ก็จัดของเข้าที่เข้าทางแล้ว คืนนี้ทุกคนจึงได้นอนในห้องใหม่ที่สะอาดและปลอดโปร่ง
หลังจากที่อบแมลงกระบองเพชรจนแห้งแล้ว จี้จือฮวนก็นำลงไปบดในครกหินขนาดเล็กจนเป็นผง จากนั้นก็หยิบหม้อใบใหม่ออกมาใส่น้ำสะอาดลงไป เมื่อน้ำร้อนได้ที่ก็เทผงแมลงลงไป หลังจากคนให้เข้ากันแล้ว ก็หยิบกรวยและกระดาษกรองที่ใช้ในห้องทดลองออกมาจากช่องว่างมิติเพื่อกรองเอากากออก
จากนั้นก็นำของเหลวที่กรองเรียบร้อยแล้วไปตั้งไฟอีกครั้ง หลังจากกลั่นน้ำที่อยู่ภายในออกแล้ว ก็จะตกตะกอนเหลือเพียงสีที่เป็นเนื้อข้น ๆ
เสร็จแล้วก็นำสีที่เป็นเนื้อข้น ๆ นั้นเกลี่ยลงไปบนกระดาษเพื่อผึ่งลมให้แห้ง ก่อนจะนำมาบดให้เป็นผงอีกครั้ง
ต่อด้วยการเทน้ำมันมะกอกที่อยู่ในห้องทดลองและขี้ผึ้งที่ทำจากน้ำผึ้งป่าในครัวลงในหม้อและตั้งไฟ ขั้นตอนนี้ก็กวนสีที่บดเป็นผงไปด้วย นำแม่พิมพ์ที่ใช้แท่งไม้ที่คว้านเป็นรูรูปทรงกระบอกออกมา และเทของเหลวลงไป จากนั้นก็เอาไปใส่ตู้เย็นในช่องว่างมิติ
ขณะที่รอให้ขึ้นรูปอยู่นั้น จี้จือฮวนก็ไปตัดไม้ไผ่เล็ก ๆ มาสองสามลำ ติดกาวให้มีความหนาเท่าหัวแม่มือ จากนั้นก็หยิบแม่พิมพ์ออกจากช่องว่างมิติ และกดลงบนแท่งลิปสติกที่ขึ้นรูปแล้ว ก่อนจะดึงออกมา เพียงเท่านี้ก็ได้สีชาดแบบเรียบง่ายแล้ว
ฮวาเซียงเซียงเฝ้าดูนางหยิบสิ่งนี้สิ่งนั้นออกมาราวกับเล่นกล ก่อนที่สุดท้ายจะหยิบของบางอย่างที่มีสีแดง ๆ ออกมา
จี้จือฮวนลองทาสีชาดบนหลังมือ สีชาดเป็นสีแดงบริสุทธิ์อย่างมาก จากนั้นก็ทาลงบนริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฮวาเซียงเซียง “เป็นเช่นไรบ้าง?”
จี้จือฮวนทาไปเพียงเล็กน้อย หลังจากเม้มริมฝีปากและเกลี่ยด้วยปลายนิ้วแล้ว ก็ทำให้ริมฝีปากของนางดูมีเลือดฝาดมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากงามราวกับกลีบดอกไม้ก็มิปาน ทำให้ฮวาเซียงเซียงจิตใจหวั่นไหวขึ้นมาทันที
จี้จือฮวนเห็นว่าฮวาเซียงเซียงไม่ได้บ่ายเบี่ยงแต่อย่างใด จึงทาให้นางเล็กน้อย
ฮวาเซียงเซียงยังไม่ทันจะได้ถามว่าเหตุใดกระจกของจี้จือฮวนถึงได้ชัดเพียงนี้ ก็ถูกสีปากของตัวเองดึงดูดเอาไว้เสียก่อน
“แมลงนี่ใช้ดีกว่าสีชาดมากทีเดียว ทุกครั้งข้าต้องใช้พู่กันวาดถึงจะได้”
“เจ้าคิดว่าทำสีชาดทาปากขายดีหรือไม่?”
ฮวาเซียงเซียงวางกระจกลงทันที ดวงตาพลันเป็นประกายขึ้นมา “ดีอยู่แล้วน้องสาว ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธสิ่งนี้ได้หรอก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จี้จือฮวนยกยิ้มขึ้นมา แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่ความคิดเบื้องต้นเท่านั้น ยังต้องทำแผนให้มีรายละเอียดกว่านี้เสียก่อน อาทิ คนงานที่จะมาทำสีชาดทาปาก เรื่องการเพาะปลูกกระบองเพชร หากอาศัยการเติบโตตามธรรมชาติเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถผลิตจำนวนมากได้ เว้นแต่จะเป็นการปลูกในโรงเรือน
หากวางแผนที่จะทำเครื่องสำอางจริง ๆ ยังต้องคิดถึงการปลูกพวกดอกไม้ ส่วนนี้หากไม่มีต้นทุนที่ตายตัวหรือที่ดินล่ะก็คงไปไม่รอดเป็นแน่ เพราะช่วงแรกนั้นแทบจะไม่มีรายได้อะไรเลย
จี้จือฮวนเอาสีชาดให้ฮวาเซียงเซียงเอากลับไปใช้ ฮวาเซียงเซียงย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ทั้งยังจับมือจี้จือฮวนอยู่หลายครั้ง เน้นย้ำกับนางว่าหากจะทำการค้านี้ นางจะรีบกลับบ้านไปบอกท่านพ่อของนางให้เตรียมร้านรอ
จี้จือฮวนจึงบอกนางไปว่าจะขอคิดดูอีกที ดังนั้นฮวาเซียงเซียงที่กินอิ่มแล้ว ก็อยู่เล่นกับเด็ก ๆ ทั้งสามคนอีกสักพัก จึงได้ขอตัวกลับตำบลฉาซู่ไปด้วยความพึงพอใจ
…
ตอนกลางคืน ทุกคนล้วนมีห้องใหม่แล้ว เผยยวนกำลังต้มน้ำสำหรับอาบให้ทุกคนอยู่ในห้องครัว จี้จือฮวนที่เดิมควรจะพักผ่อนแล้วกลับเดินผ่านประตูห้องครัวไป
“ฮวนฮวน”
เผยยวนอดไม่ได้ที่จะเรียกนางเอาไว้
จี้จือฮวนหันกลับมา แสงเทียนที่สลัวกระทบกับใบหน้าของนางผ่านหน้าต่างห้องครัว ทำให้นางดูแปลกตาไปเล็กน้อย
“ดึกป่านนี้แล้ว เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ? น้ำอาบใกล้จะต้มเสร็จแล้วนะ”
“อืม ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เจ้าอาบก่อนได้เลย ข้าจะรีบกลับมา ขอยืมจ้านอิ่งของเจ้าหน่อยนะ”
เผยยวนไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ยังรีบก้าวออกไปดึงนางเอาไว้ “เช่นนั้นเจ้ารับปากข้าก่อนว่าจะไม่ทำเรื่องที่อันตรายและจะรีบกลับมา ข้ากับลูก ๆ จะรอเจ้าอยู่ที่บ้าน”
รอเจ้าอยู่ที่บ้าน
ดวงตาของจี้จือฮวนพลันเปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมา “ตกลง”
แม้นางจะตอบรับอย่างสั้น ๆ แต่เผยยวนรู้ดีว่าเมื่อนางรับปากแล้ว จะต้องทำได้อย่างแน่นอน
จี้จือฮวนจูงจ้านอิ่งออกมา และควบไปทางตำบลฉาซู่อย่างรวดเร็ว
…
โรงเตี๊ยมหรูอี้
“นี่มันชาอะไรกัน เหตุใดถึงได้หยาบเพียงนี้!” แม่นมฟางโยนชามในมือลงพื้น “ไปซื้อของใหม่กลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ของที่คนอื่นใช้แล้วข้าไม่ต้องการ หากกล้าชักช้าล่ะก็ ระวังหนังหัวของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี!”
แม่นมชราผู้นี้ปากร้ายและเป็นคนหยาบกระด้าง เสี่ยวเอ้อรู้สึกว่าวันนี้ตนเองดวงซวยยิ่งนัก เขาพยักหน้ารับคำก่อนจะโค้งตัวออกมาจากห้อง จากนั้นก็เดินไปตามถนนพลางสาปแช่งไปด้วย
เขาทำได้เพียงไปที่ร้านขายของชำ ก่อนจะเคาะประตูเพื่อซื้อชุดน้ำชาใหม่ และไม่รู้ว่ายายแก่คนนั้นจะหาเรื่องอะไรอีก
แต่เขาไม่อาจล่วงเกินจวนกั๋วกงได้
“ยายแก่บ้า จวนกั๋วกงบ้านเจ้าน่ะสิ” ขณะที่เสี่ยวเอ้อกำลังก่นด่าอยู่นั้น จู่ ๆ ตรงหน้าก็มีม้าตัวหนึ่งมาขวางทางเอาไว้
ดึกดื่นป่านนี้ เหตุใดถึงยังมีคนเดินทางอยู่อีก
เสี่ยวเอ้อเงยหน้าขึ้นมอง ทางเข้าตรอกนั้นเงียบมาก มีแค่เสียงสุนัขเห่าเป็นครั้งคราวเท่านั้น โคมไฟสีแดงใต้ชายคาถูกลมพัดจนสั่นไหว ทำให้ใบหน้าที่เย็นชาของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนหลังม้าดูงดงามขึ้นอีกหลายส่วน
“ไม่ทราบว่าหญิงชราจากจวนกั๋วกงที่เจ้าเอ่ยถึง พักอยู่ที่ใดอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวไม่เพียงมีหน้าตาสะสวย แม้แต่น้ำเสียงก็ยังใสกังวานราวกับธารน้ำในฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย
“อ่อ ห้องหมายเลขหนึ่งของโรงเตี๊ยมหรูอี้ขอรับ แม่นาง ท่านมาหานางหรือขอรับ?”
หญิงสาวยกยิ้มเล็กน้อย “อืม จะมาคุยความหลังกับนางสักหน่อย”
เสี่ยวเอ้อตัวสั่นเทาขึ้นมา เหตุใดถึงได้รู้สึกแปลก ๆ เช่นนี้เล่า?
แม่นมฟางกำลังก่นด่าอยู่ภายในห้อง “ที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้แค่มีแม่ครัวคนหนึ่งก็เท่านั้น มีอะไรดีกัน ยังกล้าชักสีหน้าใส่ข้าอีกอย่างนั้นหรือ! กลับไปข้าจะไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูให้พวกเขาได้เห็นดี เค่ออวิ๋นไหล วันหน้าข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ายมบาลมาเคาะประตู”
เพิ่งจะด่าได้เพียงเท่านั้น ประตูก็ถูกเคาะเสียก่อน
แม่นมฟางตบโต๊ะอย่างแรง จนสาวใช้ข้างกายนางสะดุ้งโหยง
“เป็นผีหรืออย่างไร เปิดประตูเข้ามาเองไม่เป็นหรือ?”
จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่เสี่ยวเอ้อ แต่เป็นหญิงสาวที่มีหน้าตางดงามและเย็นชาผู้หนึ่ง
แม่นมฟางรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก นางขมวดคิ้วกำลังจะถามว่านางเป็นใคร กลับพบว่าคนขับรถม้าและองครักษ์สามคนที่พามาจากจวนกั๋วกง ตอนนี้กลับนอนสลบอยู่ที่หน้าประตูกันหมดแล้ว
“เจ้า! เจ้าเป็นใคร!” แม่นมฟางถอยหลังไปหนึ่งก้าว
จี้จือฮวนแสยะรอยยิ้มออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ปิดประตูลง และก้าวเข้าไปหาอย่างช้า ๆ พลางจ้องหน้าแม่นมฟางเขม็ง
อืม เหมือนกับในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่มีผิด
“ได้ยินว่าแม่นมฟางดื่มชาที่นี่ไม่ลง ข้าจึงตั้งใจมารินชาให้ท่านดื่ม”
ตอนที่เจ้าของร่างเดิมอยู่ที่จวนจี้กั๋วกง แม่นมฟางปากบอกว่าจะสอนกฎของจวนให้นาง แต่กลับให้คุณหนูบุตรภรรยาเอกคุกเข่าและรินชาให้นางครั้งแล้วครั้งเล่าแทน
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนขี้กลัวมาตั้งแต่เด็ก แต่อุปนิสัยที่เปลี่ยนไปในภายหลังนั้น ต้องขอบคุณแม่นมฟางท่านนี้ที่ตั้งใจสั่งสอนนางมา
จี้จือฮวนจงใจเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเจ้าของร่างเดิมขณะรินชา แม่นมฟางยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ในที่สุดก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เจ้าคือ…”
“จี้จือฮวน” จี้จือฮวนตอบกลับไปทันควัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองแม่นมฟางพร้อมกับเอ่ยต่อ “ไม่พบกันนานเลยนะแม่นมฟาง ชาถ้วยนี้ไม่รู้ว่าท่านจะพอใจหรือไม่”
แม่นมฟางก้มมองชาถ้วยนั้นทันที ด้านบนมีคราบเลือดอยู่ก่อนแล้ว ส่วนด้านในกลับมีหนูตายตัวหนึ่งอยู่ในนั้นด้วย!