บทที่ 223 ความน่าเกรงขามขององค์หญิง
อีและเอ้อร์กำลังพลิกผักดำอยู่ และรู้สึกมีความสุขเมื่อคิดว่าผักดำที่ตากอีกสองวันหากเอาไปตุ๋นเนื้อจะต้องหอมอร่อยมากอย่างแน่นอน แต่จู่ ๆ ก็เห็นแววตาวาวโรจน์คู่หนึ่งจ้องเขม็งมาที่พวกเขา
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าคนผู้นั้นคล้ายกับท่านอัครมหาเสนาบดีกันนะ เขาคงไม่ได้จะมาขโมยผักดำของเราหรอกกระมัง พวกท่านป้าสั่งกำชับว่าให้พวกเราระวังเอาไว้”
“เจ้าสอนพวกเชลยจนเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร นั่นก็คืออัครมหาเสนาบดีหานไม่ใช่หรือ?”
อีและเอ้อร์ไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาเช่นไร อัครมหาเสนาบดีหานไม่ใช่คนที่อ่อนแอเหมือนอย่างจี้กั๋วกงเพราะยังคงมีอำนาจบารมีอยู่ ทันใดนั้นทั้งสองคนก็รู้สึกว่าผักดำไม่น่ากินอีกต่อไปแล้ว
อัครมหาเสนาบดีหานจ้องมองพวกเขาผ่านรั้วและเอ่ยขึ้นมา “ภารกิจที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าไปทำ คือให้พวกเจ้ามาตากผักดำที่นี่หรือ?”
อีและเอ้อร์บ่นในใจ นั่นเป็นภารกิจหรือ? เหตุใดท่านไม่ไปลองทำเองเล่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีบัดนี้ก็เห็นแล้ว เช่นนั้นก็ถือเสียว่าพวกเราสองคนพี่น้องตายไปแล้วเถอะนะขอรับ อย่างไรซะท่านอัครมหาเสนาบดีก็ไม่ได้ขาดคนอยู่แล้ว”
อัครมหาเสนาบดีหานยกยิ้มเย็นเยียบออกมา “ดูท่าพวกเจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง ว่าคำว่าตายเขียนเช่นไร”
ออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีหาน หากทำภารกิจไม่สำเร็จก็ต้องตายสถานเดียว จะเหลือจุดอ่อนเอาไว้ได้อย่างไร มิน่าเล่าถึงหาตัวเจ้าสองคนนี้ไม่พบ ที่แท้ก็มาหลบอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินนี่เอง
อีและเอ้อร์มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะวิ่งไปด้านหลัง อัครมหาเสนาบดีหานจึงออกคำสั่งทันที “ทาสของจวนอัครมหาเสนาบดีหลบหนี ฆ่าพวกเจ้าก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว จับตัวพวกมันมาให้ข้า!”
ราชองครักษ์สองคนที่อยู่ข้างกายอัครมหาเสนาบดีหานกำลังจะกระโดดข้ามรั้วเข้าไป แส้เส้นหนึ่งก็ฟาดลงมาทันที ทำให้ราชองครักษ์ทั้งสองคนกระเด็นออกไป
จี้จือฮวนเดินออกมาจากด้านข้าง นางมองหน้าอัครมหาเสนาบดีหานแล้วจึงเอ่ยออกมา “ทาสที่หลบหนีของเจ้าอย่างนั้นหรือ? ต้องบอกว่าเป็นคนของข้าจึงจะถูก”
อีและเอ้อร์ดีใจอย่างมาก “ลูกพี่ฮวนฮวน!”
รอดแล้ว รอดแล้ว ลูกพี่ฮวนฮวนมาแล้ว!!!
พวกเขารีบวิ่งหัวซุกหัวซุนไปหลบอยู่ด้านหลังของจี้จือฮวนทันที
จี้จือฮวนกวาดตามองพวกเขาเล็กน้อย “ไม่ได้เรื่อง ไปพลิกผักดำไป แค่คนเหล่านี้ก็ทำให้พวกเจ้ากลัวได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
อัครมหาเสนาบดีหานขมวดคิ้วมองสตรีที่อยู่ตรงหน้า หน้าตานับว่าไม่เลว แต่ท่าทางหยิ่งผยองเช่นนี้เกรงว่าคงไม่ใช่คนที่จะคุยด้วยได้ง่าย ๆ
อีและเอ้อร์เพิ่งจะหมุนตัวกำลังจะจากไป ทว่าอัครมหาเสนาบดีหานจะปล่อยพวกเขาไปเพียงเพราะจี้จือฮวนมาขวางได้อย่างไรกัน แต่ขณะที่กำลังจะสั่งราชองครักษ์ว่า ต่อให้ต้องบุกเข้าหมู่บ้านตระกูลเฉินก็ต้องเอาตัวคนมาให้ได้นั้น ภาพที่เหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้น
ใบหน้าที่คุ้นเคยและดูแปลกตาที่ไม่ได้พบมาหลายปี กำลังค่อย ๆ เดินลงมาจากทางลาดชัน มือยังจูงเด็กน้อยคนหนึ่งมาด้วย แม้จะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่ก็ยากที่จะปกปิดความสง่างามเอาไว้ได้
ตอนที่ยังเป็นซ่างซู อัครมหาเสนาบดีหานเคยได้เป็นทูตไปยังถู่เจีย และอาศัยโอกาสนี้เข้าพบองค์หญิงใหญ่ที่เป็นที่รักของทุกคน ตอนนั้นนางยืนอยู่ข้างกายของท่านข่านแห่งถู่เจีย สวมชุดที่ทำจากขนสุนัขจิ้งจอกสีแดง สง่างามจนไม่อาจมองตรง ๆ ได้
ไม่ว่าวังหลังของฮ่องเต้เซี่ยเจินจะมีสตรีผู้สูงศักดิ์และองค์หญิงมากมายเพียงใด ก็ไม่มีใครมีท่าทางองอาจไม่แพ้บุรุษเช่นนั้นอีกแล้ว
ตอนที่เขาสั่งการให้คนไปสังหารนาง อัครมหาเสนาบดีหานก็ไม่ได้คาดคิดว่าวันหนึ่งนางจะยังรอดมาได้และยืนอยู่ตรงหน้าของเขาเช่นนี้ อีกทั้งมือสังหารทั้งสองคนของเขา ยังวิ่งไปอยู่ที่ข้างกายนางราวกับสุนัขรับใช้อีกด้วย
“องค์หญิงใหญ่ ช่วยด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงใหญ่”
เซี่ยวั่งซูจ้องหน้าหานเหล่ย ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้าก็คิดว่าใคร ได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้าเป็นอัครมหาเสนาบดีแล้ว เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมีอำนาจราวกับเป็นโอรสสวรรค์ไม่ใช่หรือ? เดิมข้ายังคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ คิดไม่ถึงว่าต้าจิ้นใกล้จะเป็นของคนแซ่หานแล้วจริง ๆ แม้แต่หมู่บ้านตระกูลเฉินแห่งนี้ เจ้าก็คิดจะมาวางอำนาจด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เอ่ยถึงตรงนี้ เซี่ยวั่งซูก็ยืนขวางตรงหน้าของจี้จือฮวนเอาไว้ พลางจ้องหานเหล่ยแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่เหมือนน้องสิบแปดหรืออย่างไร ถึงจะปล่อยให้เจ้าทำอะไรตามอำเภอใจ? คิดจะฆ่าข้าแล้วเอาลูกสาวหน้าโง่ของเจ้าขึ้นมากุมอำนาจของราชสำนักอย่างนั้นหรือ ข้าว่าคนอย่างเซี่ยหยางคงแบกรับบัลลังก์มังกรนี้ไม่ไหวกระมัง!
อี เอ้อร์ จะมัวอึ้งอยู่ทำไมกัน ห้องส้วมยังมีที่ว่างอยู่หรือไม่ เชิญท่านอัครมหาเสนาบดีหานไปสัมผัสรสชาติหน่อยสิ” เซี่ยวั่งซูไม่ให้โอกาสหานเหล่ยได้ตอบโต้ก็ออกคำสั่งทันที
อีและเอ้อร์ดวงตาเบิกโพลง “ดะ…ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ!”
อัครมหาเสนาบดีหานจะมาเป็นเชลย??? และเป็นลูกน้องพวกเขา??? มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?
คิดไปคิดมาก็รู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ เหมือนกัน!!!
อัครมหาเสนาบดีหานย่อมไม่มีทางให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านตระกูลเฉิน เจ้าต้องการหรือไม่ไม่สำคัญ เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะกำหนดได้!
เพียงไม่นานอัครมหาเสนาบดีหานรวมถึงคนที่เขาพามาก็ถูกมัดเอาไว้เรียบร้อย และถูกโยนเข้าไปในห้องส้วม
ส่วนคนที่อัครมหาเสนาบดีหานส่งไปแจ้งข่าวแก่ฮ่องเต้เมื่อครู่ ก็ถูกพวกหลิวเฟิงลากเข้าไปในพงหญ้าข้างทางตั้งนานแล้ว
อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูเก็บเกี่ยวจริง ๆ
…
บนถนนเส้นเล็ก ๆ ฮ่องเต้เซี่ยเจินยืนพิงร่างของเจียงเต๋อพลางหอบหนัก ๆ ในลำคอก็คล้ายกับมีกลิ่นคาวเลือด ขณะเดียวกันท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลงแล้ว
นายอำเภอเจียงครุ่นคิดว่าหากคลานไปอีกหน่อยก็จะถึงแล้ว เขาจึงเก็บดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ไปอย่างเงียบ ๆ มองฮ่องเต้คุกเข่าคารวะมืด ๆ น่าดูตรงไหนกัน ต้องเห็นตอนกลางวันแสก ๆ สิถึงจะดี
“ฝ่าบาท ตั้งค่ายพักแรมที่นี่เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินอยากจะด่าเขายิ่งนัก แต่ตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรงจริง ๆ ขนาดจะยกขึ้นมาชี้หน้ามือก็ยังสั่นเทา
นายอำเภอเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าปลื้มใจออกมา “เอาล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้ว่าตนเองทำงานได้ดี จัดการได้เหมาะสม ฝ่าบาททรงพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ เลิกชมได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเขินแย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินถึงกับตาเหลือกขึ้นมา ก่อนจะสลบไป
“หมอหลวง! รีบมาดูฝ่าบาทเร็วเข้า!”
ทันใดนั้นด้านหลังก็เกิดความวุ่นวายไปหมด ขณะที่ฮ่องเต้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงร้องไห้ของเสิ่นฉางซาน
เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก “ทำไม? ร้อง! ร้องอีกแล้ว!”
ข้าทำเรื่องอะไรที่สมควรถูกว่ากล่าวอีกอย่างนั้นหรือ?
เจียงเต๋อเอ่ยปลอบขึ้นมา “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ๆ ฝ่าบาทฟังผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
นายอำเภอเจียงที่ให้อาหารลาอยู่ข้างนอกเอ่ยขึ้นมา “ฝ่าบาทช่างหูตาว่องไวยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ท่านเสิ่นเกรงว่าระหว่างทางที่ฝ่าบาทแสดงความกตัญญูต่อไท่ซ่างหวงอาจโชคร้ายเสด็จสวรรคตขึ้นมา จึงคิดเอาไว้ล่วงหน้าว่าควรร้องไห้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! หมอหลวง!!!”
เยี่ยม เพียงเท่านี้ก็ทนฟังคำพูดแดกดันไม่ไหวเสียแล้ว
นายอำเภอเจียงรู้สึกว่าการนำขนนกไปทำลูกศร*ช่างสบายจริง ๆ ต่อไปเป้าหมายของเขาไม่ใช่จื่อโจวอีกแล้ว ไม่สู้ไปเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตระกูลเฉินยังจะดีเสียกว่า!
* นำขนนกไปทำลูกศร (拿着鸡毛当令箭) เปรียบเปรยถึงการหลอกใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชา
น่าสนใจจะตายไป!
…
อัครมหาเสนาบดีหานอยู่ข้างห้องน้ำ ได้ยินเพียงเสียงตะโกนเรียกกินข้าวดังมาจากด้านนอกไกล ๆ ทว่ากลับได้กลิ่นหอมของอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะถูกกลิ่นเหม็นของส้วมกลบ!
อย่าพูดถึงเรื่องการสังเกตหมู่บ้านตระกูลเฉินเลย แค่มองไปรอบ ๆ นอกจากส้วมพัง ๆ ในป่าในเขาแล้ว ก็มีเพียงหนอนที่คลานอยู่บนพื้นและแมลงวันที่บินว่อนในอากาศเท่านั้น
คิดจะเข้าพบเซี่ยวั่งซู คิดจะเข้าพบไท่ซ่างหวงอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ
…
ที่ห้องโถง ทุกคนเข้ามาห้อมล้อมรอบกายของเซี่ยวั่งซู
“ท่านป้า ท่านจำทุกอย่างได้แล้วจริง ๆ หรือเจ้าคะ?” อาอินเอียงคอถาม
เซี่ยวั่งซูลากนางเข้ามาในอ้อมแขน “จำได้แล้ว ต้องขอบคุณลูกสาลี่ที่เจ้าฟาดไม่ถึงบนต้นนั่น”
ไท่ซ่างหวงตอนนี้กลับนั่งเงียบกริบ ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากกับลูกสาวเช่นไรดี
โชคดีที่ในห้องโถงอยู่กันครบทั้งครอบครัว อาฉือจึงเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง “ให้ท่านแม่ตรวจให้ท่านสักหน่อยเถอะขอรับ การถูกกระแทกที่หัวไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะขอรับ”
ไท่ซ่างหวงพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมสีหน้าจริงจัง “ใช่ ๆ ๆ เจ้าดูสิ ตั้งแต่ที่นางหายดีก็ไม่ทะเลาะกับข้าอีกเลย! ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน”
เซี่ยวั่งซูกลอกตามองบน “พอเถอะ ไม่ทะเลาะกับท่านก็มีปัญหาอย่างนั้นหรือ ท่านว่าท่านติดค้างลูกอยู่หรือไม่ ตัวลูกสบายดี ครั้งนี้ที่กลับมาจากถู่เจียก็เพราะอยากมาใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นเพื่อนท่าน ไม่ให้ท่านถูกคนรังแกอีก”
มือของไท่ซ่างหวงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เพื่อข้า เจ้า…เจ้าพูดจริงหรือ? เจ้าไม่โทษข้าหรือ?”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
“ลูกเคยโทษท่านตั้งแต่เมื่อใดกัน ท่านถูกเจ้าสารเลวเซี่ยเจินทำให้โมโหจนต้องออกจากเมืองหลวงไป ลูกรู้ตั้งแต่อยู่ถู่เจียแล้ว เพราะเหตุนี้ลูกก็เลยกลับมา แต่ใครจะไปคิดว่าจะถูกคนลอบทำร้าย
ครั้งนี้เขามาหาถึงที่ พี่ใหญ่อย่างข้าจะได้คิดบัญชีกับเขาให้หนัก!”
.
.
.