บทที่ 227 นกขมิ้น*
* นกขมิ้น (黄雀) มาจากสำนวน ตั๊กแตนไล่จับจักจั่น นกขมิ้นจ้องตามันอยู่ข้างหลัง หมายความว่า มีสายตาตื้นเขิน มองเห็นแต่สิ่งที่จะได้อยู่ข้างหน้า แต่หารู้ไม่ว่ายังมีภัยตามมา
“จางกงกง จางกงกง!” ฮ่องเต้เซี่ยเจินพยายามร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จางตงไหลกลับสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างไม่ไยดี อีกทั้งยังชักสีหน้าใส่ฮ่องเต้ต่อหน้าผู้คนอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วย
สิ่งนี้เริ่มทำให้คนบางคนเริ่มบ่นพึมพำในใจ ฮ่องเต้คงจะไม่ไร้พระปรีชาญาณถึงขนาดให้อัครมหาเสนาบดีหานทำเรื่องเช่นนี้จริง ๆ หรอกกระมัง
จิตใจของราชานั้นยากจะคาดเดา อย่างไรเสียไท่ซ่างหวงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ทรงโปรด แม้แต่คนข้างกายของไท่ซ่างหวงยังไม่ยอมพูดจาดี ๆ กับฮ่องเต้เซี่ยเจินเลย
แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่มีใครสงสัยว่าไท่ซ่างหวงเป็นคนวางแผนการทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เอง เพื่อใส่ร้ายฮ่องเต้ของบ้านเมือง เพราะนี่ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวอย่างใหญ่หลวง นอกเสียจากว่าไท่ซ่างหวงจะต้องการให้มัจฉาตายตาข่ายขาด**
** มัจฉาตายตาข่ายขาด (鱼死网破) เปรียบเปรยว่าต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ทางด้านฮ่องเต้เซี่ยเจินถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ ทว่านายอำเภอเจียงหลังจากลงชื่อแล้วกลับสามารถเข้าไปในหมู่บ้านได้ทันที ดวงตาของฮ่องเต้เซี่ยเจินวาวโรจน์ขึ้นมาทันที แต่ก็กลัวเสิ่นฉางซานจะเอาเสื่อกกมาปูแล้วนั่งร้องไห้อีก จึงให้คนรีบตั้งกระโจมพักแรมบริเวณใกล้ ๆ จะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด
ตอนนี้บริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านตระกูลเฉินไม่ได้มีพื้นที่โล่งมากนัก ที่ที่สามารถให้ฮ่องเต้และคณะพักแรมได้ก็มีแค่ริมแม่น้ำเท่านั้น แต่ริมน้ำนั่นทั้งชื้นและเย็น ในตอนกลางคืนก็มียุงจำนวนมาก หาใช่ที่ที่จะสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบไม่?
ฮ่องเต้เซี่ยเจินหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดว่าจะมาคารวะใหม่ในวันพรุ่งนี้ เขาไม่เชื่อว่าไท่ซ่างหวงจะไม่ยอมออกมาพบเขาไปตลอดได้
ขณะที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินให้คนไปตรวจสอบเรื่องราวภายในของหมู่บ้านตระกูลเฉิน ทางด้านจางตงไหลก็ส่งคนมาคอยสังเกตการณ์พวกเขาเช่นกัน
เป็นยอดฝีมือที่ติดตามข้างกายไท่ซ่างหวงมาหลายปี
“เจ้าว่าอะไรนะ? ไท่ซ่างหวงไม่ให้ข้าเข้าไป แต่กลับเรียกพบฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก ฮองเฮาตอนที่ยังสาวนั้นงดงามและโดดเด่นยิ่งนัก ไม่นับว่าเป็นพระชายาที่สงบเสงี่ยมอะไร จนเมื่อต่อมาเขาได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ นางก็ค่อย ๆ กลายเป็นคนที่เงียบขรึมขึ้น
จนถึงบัดนี้หลายสิบปีผ่านไป นางจึงกลายเป็นแค่แอ่งน้ำนิ่ง ๆ แอ่งหนึ่ง
ดูจากเมื่อก่อนไท่ซ่างหวงก็นับว่าพอใจในลูกสะใภ้คนนี้ไม่น้อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้พบหน้ากันมานานแล้ว แต่อยู่ดี ๆ เหตุใดจึงได้ให้ฮองเฮาเข้าไปพบเพียงลำพังเช่นนี้เล่า
ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลัวว่าฮองเฮาจะพูดจาเหลวไหล เพราะเรื่องของเซี่ยอวี้ทำให้ผู้หญิงคนนี้แค้นเขาเป็นอย่างมาก
“เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ ว่าไท่ซ่างหวงเรียกพบฮองเฮาเพียงแค่คนเดียว? คนอื่นไม่พูดถึงเลยหรือ?”
เจียงเต๋อพยักหน้ารับ “ฮองเฮาพระองค์เดียวที่เข้าไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
หัวเข่าของฮ่องเต้เซี่ยเจินยังระบมอยู่ จึงไม่สามารถลุกขึ้นได้ชั่วขณะ ในใจกลับสับสนอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ฝ่าบาท” เจียงเต๋อจึงเอ่ยเตือน อย่าปล่อยให้คนด้านนอกรอนานเกินไป และทำให้ไท่ซ่างหวงไม่พอพระทัย
ฮ่องเต้เซี่ยเจินขมวดคิ้ว “ให้ฮองเฮาไป เตือนนางด้วยว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด เป็นถึงฮองเฮาก็ควรจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
เจียงเต๋อรับคำสั่งและออกไปทันที
ตอนที่หลี่ฮองเฮาได้ยินคำเตือนของเจียงเต๋อ ก็หัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทกลัวข้าจะพูดอะไรงั้นหรือ? หรือว่าพระองค์ทำอะไรผิดไว้?”
เจียงเต๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไป “พระนางทรงระวังคำพูดด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พระนางจะมีโอกาสได้ออกมาข้างนอกเช่นนี้ ควรรู้จักคว้าโอกาสเอาไว้นะพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฮองเฮานับลูกประคำในมือ ไม่สนใจเจียงเต๋อแต่อย่างใด “เจ้ากลับไปบอกฮ่องเต้ให้ทรงวางพระทัยเถอะ สิ่งไหนไม่ควรพูด คนทั้งใต้หล้าย่อมตัดสินเองได้ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเพียงคนเดียว ปากเดียว จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
“พระนาง!”
ไม่รอให้เจียงเต๋อพูดอะไรอีก หลี่ฮองเฮาก็พาซู่ซินตามยอดฝีมือเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว
เจียงเต๋อมองตามแผ่นหลังที่บอบบางแต่ตั้งตรงของนางแล้วก็ถอนหายใจออกมา หากหลี่ฮองเฮาสามารถเรียนรู้การเอาอกเอาใจบุรุษเช่นหานเหม่ยเหรินได้ ก็คงไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระนางและฮ่องเต้กลายเป็นเช่นนี้
สามีภรรยาที่รักใคร่กันตั้งแต่ตอนหนุ่มสาว อย่างไรเสียความรักนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะมาเทียบได้
ข่าวที่ไท่ซ่างหวงเรียกฮองเฮาเข้าเฝ้าเพียงลำพังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หานเหม่ยเหรินที่ได้ยินก็ปาถ้วยน้ำชาลงบนพื้นทันที “นางช่างมีความสามารถจริง ๆ ก่อนหน้านี้มีถังกั๋วกงคอยปกป้อง ตอนนี้ไท่ซ่างหวงยังเรียกพบนางเพียงคนเดียวอีก ข้าประเมินนางต่ำเกินไปสินะ”
หญิงชราที่ลูกชายตายไปแล้วคนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังถูกฮ่องเต้รังเกียจ นางเอาความมั่นใจมากมายเช่นนี้มาจากที่ใดกัน รอวันหน้านางได้เป็นไทเฮาเมื่อใด นางจะต้องทำให้ผู้หญิงคนนี้สยบอยู่แทบเท้านางให้ได้
ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกร้อนใจ เหตุใดท่านพ่อถึงไปลอบปลงพระชนม์ไท่ซ่างหวงได้ ผู้ใดเป็นคนใส่ร้ายเขากันแน่!
ไม่รู้ว่าทางด้านฮ่องเต้คิดจะทำเช่นไร หากให้เต๋อเฟยและซูเฟยมีโอกาส จะไม่เหยียบตระกูลหานซ้ำอย่างนั้นหรือ?
น่าเจ็บใจที่เจ้าเซี่ยหยางก็มาเส้นเอ็นขาดเวลานี้ จนต้องให้ตัวปลอมคนหนึ่งมาแสดงตัวแทน ตอนนี้แม้แต่คนที่จะพูดคุยปรึกษาของนางก็ไม่มีแล้ว
…
ทันทีที่หลี่ฮองเฮาก้าวเข้าสู่หมู่บ้านตระกูลเฉิน บริเวณไหล่เขา หลิวเฟิงก็เหาะกลับมาจากด้านนอกโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
จี้จือฮวนยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง สวมชุดจิ้นจวงรัดเอวง่าย ๆ ซึ่งทำให้รูปร่างดูเพรียวบางทว่าคล่องแคล่วปราดเปรียว
บนหัวถักเปียที่มีขนาดแตกต่างกัน จากนั้นก็มัดรวบเข้ากับผมหางม้าที่ด้านหลัง นี่เป็นทรงที่อาอินเพิ่งเรียนมา นางปล่อยให้เด็กน้อยได้ฝึกฝีมือ และไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่แต่อย่างใด
จี้จือฮวนลดกล้องส่องทางไกลลง ก่อนจะเอามือไพล่หลัง “เป็นเช่นไรบ้าง?”
หลิวเฟิงหอบหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตามที่ฮูหยินคาดเอาไว้ ร่างกายขององค์ชายรองไม่ได้เป็นอะไรเลยขอรับ เมื่อครู่เขายังนั่งพูดคุยกับองค์ชายองค์อื่น ๆ อยู่ที่ริมแม่น้ำ และได้ยินว่าจะไปล่าสัตว์บนภูเขากันด้วยขอรับ”
จี้จือฮวนหรี่ตาลง เมื่อครู่นี้นางก็เห็นผ่านกล้องส่องทางไกลแล้ว
เซี่ยหยางที่ถูกนางตัดเส้นเอ็นทั้งมือและเท้าจนขาด กลับปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยที่ไม่เป็นอะไรเลย ต่อให้เป็นการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ ก็ไม่มีทางทำให้คนที่เส้นเอ็นขาดฟื้นตัวได้เร็วถึงเพียงนี้
“เหตุใดฮูหยินถึงให้พวกเราจับตาดูแค่องค์ชายรองหรือขอรับ? หรือว่าองค์ชายรองมีปัญหาอะไร?”
จี้จือฮวนเปล่งเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยออกมา “ปัญหาของเขามีมากทีเดียว”
เซี่ยหยางผู้นี้จะต้องเป็นตัวปลอม หรือไม่คนที่นางพบครั้งก่อนก็จะต้องเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน
พวกหลิวเฟิงไม่เข้าใจ แต่ปกติฮูหยินทำอะไรก็มักจะไม่ค่อยอธิบายให้พวกเขาฟังอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน นางอาศัยตอนที่ท่านแม่ทัพไปฝึกทหาร พาพวกเขามาที่นี่
“จับตาดูองค์ชายรองผู้นั้นเอาไว้ แล้วก็…คนที่เขาติดต่อด้วย”
“ขอรับ”
จี้จือฮวนใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องของเซี่ยหยางผู้นี้ เพื่อหาแรงจูงใจและวิธีการทำงานของเขาจากในนิยาย
หากว่าส่งตัวปลอมมาจริง เช่นนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ เป็นถึงองค์ชายแต่กลับกล้าหลอกลวงเบื้องสูง ยังคิดที่จะเป็นองค์รัชทายาทอีกอย่างนั้นหรือ?
หากว่าศัตรูของเขารู้ข่าวนี้เข้า คิดว่าสองวันนี้ในค่ายพักแรม อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างสงบสุขอีกเลย
ขณะที่จี้จือฮวนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ นางก็เห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง
จี้จือฮวนจึงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาอีกครั้งและมองจากระยะไกล ใบหน้าของชายผู้นั้นเรียบนิ่งและดูธรรมดา ทว่าเมื่อเขาก้าวเดินกลับเผยความเย่อหยิ่งของยอดฝีมือออกมา และนางก็จำได้ดีว่าเวลาหานฉีผู้นั้นก้าวเดินส้นเท้ามักจะไม่แตะพื้นเช่นกัน
เมื่อเห็นชายผู้นั้นเข้าไปในกระโจมที่คนรับใช้กำลังพักผ่อน จี้จือฮวนก็ลูบคางเล็กน้อย นางสามารถยืนยันได้แล้วว่าเซี่ยหยางที่ร่างกายแข็งแรงนั้น ต้องเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน
และคนที่หานฉีคอยปกป้องอยู่นั้น ถึงจะเป็นเซี่ยหยางตัวจริง
หาได้ยากที่จะยอมซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง และให้คนอื่นปลอมเป็นตัวเอง ดูเหมือนว่าการที่ฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวงมารับไท่ซ่างหวงครั้งนี้ได้ทำลายแผนของเซี่ยหยางไปจนหมด ทำให้เขาต้องกล้ำกลืนความลำบากครั้งนี้เอาไว้
จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า เพราะนางไม่อยากเห็นว่ามีคนต่อเส้นเอ็นข้อมือและข้อเท้าที่นางเป็นคนตัดให้เขาน่ะสิ
.
.
.