บทที่ 228 ถึงเวลาที่ควรชดใช้
ในนิยายไม่ได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนฆ่าอดีตองค์รัชทายาท ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องการแก่งแย่งชิงดีในครอบครัว ดังนั้นจี้จือฮวนจึงทำได้เพียงต้องคิดหาวิธีเอาเอง
หลิวเฟิงจ้องมองนางครู่หนึ่ง เห็นคิ้วของฮูหยินบางครั้งก็ขมวดเข้าหากัน บางครั้งก็เลิกขึ้นสูง ในใจก็เริ่มมีสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
ทุกครั้งที่ฮูหยินจะจับเชลยก็มักจะมีสีหน้าเช่นนี้ เหมือนเวลาที่นายท่านต้องการจะทวงหนี้อย่างไรอย่างนั้น
“ฮูหยิน ท่านรู้สึกอัดอั้นใช่หรือไม่ขอรับ?” หลิวเฟิงลองถามหยั่งเชิงดู
จี้จือฮวนชำเลืองมองเขา พลางปัดฝุ่นที่แทบจะไม่มีบนเสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมแล้วพูดขึ้นมา “นี่ไม่เรียกว่าอัดอั้น นี่เรียกว่าการทวงความยุติธรรม แม้จะช้าแต่ก็มา มื้อเย็นกินข้าวให้อิ่มหน่อย คืนนี้ละครฉากใหญ่ของเราจะเริ่มการแสดงแล้ว”
หลิวเฟิงสะดุ้งขึ้นมาทันที ละครฉากใหญ่อะไรกัน?
…
ซู่ซินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหมู่บ้าน หลี่ฮองเฮาจึงต้องเดินตามยอดฝีมือเข้าไปเพียงลำพัง คนข้างกายของไท่ซ่างหวงไม่ชอบพูดมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ฮองเฮาจึงทำได้เพียงสำรวจต้นไม้ใบหญ้าในหมู่บ้านแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ
บางครั้งมีชาวบ้านเดินผ่านก็จะทักทายนางด้วยรอยยิ้ม หลี่ฮองเฮาก็ได้แต่พยักหน้าให้กับทุกคน ทว่าในใจกลับรู้สึกว้าวุ่น จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่ไท่ซ่างหวงยอมเอาป้ายหยกให้นาง ปกป้องนาง แต่นางก็กลัวว่าเรื่องที่อาฉือยังมีชีวิตอยู่นั้นจะเป็นเรื่องที่ตัวนางเองฝันไปก็เท่านั้น
จนกระทั่งเดินตามคันนาขึ้นไปบนเนินเขาเล็ก ๆ และเห็นหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ฝีเท้าของหลี่ฮองเฮาจึงชะงักลงทันที
สายลมพัดผ่านเนินเขา หนุ่มน้อยสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดตาดูเรียบร้อย แผ่นหลังตั้งตรง ความอ่อนเยาว์เมื่อหลายปีก่อนจางหายไปจากใบหน้าของเขานานแล้ว ทันใดนั้นก็ราวกับเห็นภาพของเขาในเวลานั้นที่วิ่งมาหานางจากนอกประตูตำหนักพร้อมกับขันทีตัวน้อย เรียกนางว่าเสด็จย่าด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
‘เสด็จย่า บทความที่อาฉือเขียนวันนี้ ไท่ฟู่*บอกว่ายอดเยี่ยมมากพ่ะย่ะค่ะ’
* ไท่ฟู่ (太傅) หมายถึง ตำแหน่งอาจารย์ของฮ่องเต้
‘วันนี้ก็ทำซิ่งเหรินซู**ให้อาฉือด้วยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? อาฉืออยากเอากลับไปให้น้องหญิงกินด้วย’
** ซิ่งเหรินซู (杏仁酥) หมายถึงขนมอบอาลมอนด์มีลักษณะคล้ายคุกกี้
‘รอเทศกาลไหว้พระจันทร์ อาฉือจะทำขนมไหว้พระจันทร์ให้เสด็จย่าเองดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?’
สายตาของหลี่ฮองเฮาพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาตั้งนานแล้ว นางมองดูหนุ่มน้อยตรงหน้า ริมฝีปากก็สั่นเทาขึ้นมา และพูดไม่ออกเป็นเวลานาน
จนกระทั่งอาฉือเดินมาตรงหน้าของนาง กุมมือนางเอาไว้และเอ่ยเรียก “ท่านย่า”
น้ำตาของหลี่ฮองเฮาจึงได้ไหลลงมาในทันที พลางกอดอาฉือเอาไว้ในอ้อมแขน เป็นอาฉือ เป็นอาฉือตัวน้อยของนาง เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวที่อวี้เอ๋อร์ของนางทิ้งเอาไว้บนโลกใบนี้
อาชิงโผล่ศีรษะออกมาจากห้องเล็ก ๆ แต่แล้วก็ถูกอาอินดึงกลับเข้าไป “พี่หญิง เหตุใดพี่ใหญ่ถึงร้องไห้เล่า?”
อาอินกำลังเติมน้ำลงในหม้อ ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้น “เพราะพี่ใหญ่เจอญาติแล้ว”
“แต่พวกเราก็เป็นญาติของพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือขอรับ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน โตแล้วก็คงจะเข้าใจกระมัง”
อาชิงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง “เช่นนั้นข้าเตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ท่านย่าของพี่ใหญ่ดีหรือไม่ขอรับ?”
อาอินมองไปที่ของว่างในหม้อแล้วเอ่ยขึ้นมา “ยาพวกนั้นของเจ้าน่ะช่างมันเถอะ ไม่สู้ช่วยข้าเติมน้ำชาจะดีกว่า ต้องให้ท่านย่าของพี่ใหญ่รู้ว่าพวกเราดีกับพี่ใหญ่มาก ๆ เช่นนี้นางจะได้วางใจ”
อาชิงกระโดดขึ้นมา “เช่นนั้นข้าจะช่วยเอง ข้าเป็นเด็กดีมาก จะต้องเป็นน้องชายที่ดีของพี่ใหญ่อย่างแน่นอน!”
โชคดีที่หลี่ฮองเฮาไม่ได้ร้องไห้นานนัก หลังจากสำรวจอาฉือเสร็จแล้วก็เอ่ยถามออกมา “เด็กน้อย เจ้าอยู่ข้างนอกคนเดียว ต้องลำบากมากเพียงใดกัน”
ในดวงตาคู่นั้นไม่มีประกายความสดใสเช่นตอนนั้นอีกแล้ว ทั้งยังแผ่ความเย็นชาไม่เหมือนกับคนในวัยเดียวกันออกมา
อาฉือได้ยินดังนั้นก็ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้นาง “อาฉือไม่ลำบาก อาฉือมีท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ด้วย ครั้งนี้ท่านทวดบอกว่าท่านย่าก็มาด้วย อาฉือจึงตั้งใจมารอท่านย่าอยู่ตรงนี้ขอรับ”
อาฉือจูงมือของหลี่ฮองเฮาพลางเปิดประตูรั้วเข้ามา “นี่ก็คือบ้านของหลาน ท่านพ่อกับท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์จะต้องดีใจแทนหลานอย่างแน่นอน ท่านย่าไม่ต้องร้องนะขอรับ อาฉือไม่ลำบาก”
เขายิ่งรู้ความเช่นนี้ ในใจของหลี่ฮองเฮาก็ยิ่งเจ็บปวด “เจ้าหนีออกมาได้อย่างไร? แล้วเหตุใดถึงได้มาพบกับไท่ซ่างหวงได้?”
เผยจี้ฉือหยิบม้านั่งมาวาง และนั่งลงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตำหนักบูรพาในวันนั้นออกมา
“องครักษ์ลับส่งหลานออกนอกวัง หากไม่ได้พบกับท่านพ่อเผยยวน เกรงว่าวันนี้อาฉือก็คงไม่ได้พบท่านย่าแล้วขอรับ”
ในวันนั้นคนที่ลอบสังหารเขาพยายามทำทุกวิถีทาง หากไม่ใช่เพราะเผยยวนสังหารคนเหล่านั้นจนสิ้นซาก เขาก็คงไม่สามารถตามเผยยวนไปใช้ชีวิตที่ซีเป่ยได้
หลี่ฮองเฮาคิดไม่ถึงว่าเผยยวนจะช่วยเขาเอาไว้ ทั้งยังปิดบังได้นานเพียงนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เผยยวนถูกคนลอบทำร้าย อำนาจของกองทัพทหารเกราะเหล็กตกอยู่ในมือคนอื่น ในใจของนางก็ยิ่งราวกับมีไฟแผดเผาก็มิปาน
น่าเจ็บใจเจ้าฮ่องเต้เซี่ยเจินผู้นั้นยิ่งนัก ถึงกับจะฆ่าอาฉือของนางครั้งแล้วครั้งเล่า แค้นนี้หากไม่ได้ชำระ นางก็เสียชาติเกิดที่เป็นลูกหลานตระกูลหลี่แล้ว!
“เข้ามาดื่มน้ำชาเถอะ” ไท่ซ่างหวงเดินออกมาจากห้องโถง และเอ่ยทักทาย
หลี่ฮองเฮาลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะรีบคารวะ “คารวะเสด็จพ่อเพคะ”
“ระหว่างทางได้รับความลำบากหรือไม่?” ไท่ซ่างหวงรู้ดีว่าชีวิตนางลำบากเพียงใด แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางจะดูราวกับคนที่ไร้วิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าแค่ลมพัดก็คงปลิวแล้ว
หลี่ฮองเฮาเงยหน้าขึ้น “ลูกไม่ลำบากเพคะ ลูกเพียงรู้สึกโกรธแค้นทว่าไม่สามารถระบายได้ จึงอัดอั้นตันใจมาจนถึงตอนนี้ แต่ตอนนี้ลูกเจอหลักยึดจิตใจแล้ว ร่างกายคงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ลูกยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้ทำ ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มอบโอกาสให้ลูกได้เกิดใหม่เพคะ”
ไท่ซ่างหวงพยักหน้ารับรู้ “ถึงเวลาที่ควรชดใช้ ย่อมต้องได้ชดใช้”
…
ฮ่องเต้เซี่ยเจินรออยู่ในกระโจมกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยความกระวนกระวายใจ “คนที่ส่งไปสืบข่าวยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
เจียงเต๋อปาดเหงื่อที่หน้าผาก อย่าพูดถึงคนที่ส่งออกไปเลย แม้แต่คนที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอกเมื่อครู่ แค่เข้าไปใกล้ก็ยังถูกพวกเขาตะคอกใส่แล้ว
คนกลุ่มนี้อาศัยข้ออ้างว่าไท่ซ่างหวงต้องการพักผ่อน เพื่อไล่พวกเขาออกมา
“ฝ่าบาททรงเย็นพระทัยไว้ก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินจะใจเย็นได้อย่างไร ไท่ซ่างหวงอยู่ดี ๆ เหตุใดถึงให้ฮองเฮาเข้าไปพบเพียงคนเดียว หากสตรีผู้นั้นเกิดพูดจาเหลวไหลขึ้นมา เรื่องของเซี่ยอวี้ก่อนหน้านี้จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาหรอกหรือ
ไม่รู้ทำไมทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่เขาลืมไปแล้ว แต่ช่วงนี้มักจะคิดถึงขึ้นมาอีก
คิดถึงความรักที่เสด็จพ่อมีต่อเซี่ยอวี้ คิดถึงความโดดเด่นของเซี่ยอวี้ คิดถึงคำชื่นชมของคนทั้งในและนอกราชสำนักที่มีต่อเซี่ยอวี้ ฮ่องเต้เซี่ยเจินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการตัดสินใจของตนเองนั้นไม่ผิด
หากไม่ใช่เพราะเซี่ยอวี้อยากจะได้บัลลังก์ คนภายนอกจะพูดเช่นนี้ได้อย่างไร คงเห็นว่าเขาแก่แล้วกระมัง จึงรอไม่ไหวที่จะไล่เขาลงมา
เมื่อมีคนกล่าวหาว่าเซี่ยอวี้รับสินบน ในที่สุดฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เจอจุดอ่อนขององค์รัชทายาทผู้สมบูรณ์แบบ ถึงขนาดมีช่วงหนึ่งที่ไม่สามารถทนฟังคนที่แก้ตัวแทนเซี่ยอวี้ได้
ตอนกลางคืนฮ่องเต้เซี่ยเจินมักจะฝันเห็นใบหน้าซีดขาวของเซี่ยอวี้ที่จ้องมองมาที่เขา และบอกเขาว่าจะต้องมีคนรื้อคดีนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เซี่ยเจินพึมพำกับตัวเอง “ข้าไม่ผิด มันเป็นความผิดของเจ้าที่โลภมากอยากได้บัลลังก์เอง”
เขาสมควรตาย สมควรตายแล้ว!
“อีกเดี๋ยวบอกให้ราชครูมาที่นี่หน่อย ข้ารู้สึกว้าวุ่นใจ”
ทุกครั้งที่ถึงวันครบรอบวันตายของอดีตองค์รัชทายาท ฮ่องเต้มักจะฝันร้าย เจียงเต๋อเองก็ชินแล้ว จึงพยักหน้ารับคำแล้วเอ่ยออกมา “กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินขมวดคิ้ว น้ำเสียงพลันเข้มขึ้น “ให้ราชครูคิดหาวิธีสะกดวิญญาณชั่วร้ายของตำหนักบูรพาเหล่านั้นให้สงบลง ว่าสามารถทำได้หรือไม่”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินมั่นใจว่าเป็นผีร้ายที่มารบกวนเขา เพราะเซี่ยอวี้ไม่เต็มใจที่จะจากไปเช่นนั้น ดังนั้นทุก ๆ ปีจึงมาหาเขา เพื่อทำให้เขาไม่อาจนอนหลับอย่างสงบได้
การสะกดวิญญาณถือเป็นวิชาชั่วร้าย เจียงเต๋อคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะทำถึงขั้นนี้ ทว่าเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่อาจพูดอะไรได้ “พ่ะย่ะค่ะ”
.
.
.