บทที่ 233 ข้าไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิด
ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว ต่อให้เซี่ยอวี้จะเป็นผีที่อาฆาตเพียงใด ตนเองก็เป็นพ่อของเขาอยู่ดี!
ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงลุกขึ้นยืนทันทีและมองไปที่กระจกอีกครั้ง แต่ก็ต้องตกใจจนต้องปัดกระจกทิ้ง เพราะหลังจากที่เจียงเต๋อออกไปแล้วก็เหลือเขาเพียงผู้เดียว แต่ในกระจกเมื่อครู่นี้ กลับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่!
ฮ่องเต้เซี่ยเจินหลับตาลงเพื่อหวังผ่อนคลายอารมณ์ ต้องเป็นเพราะฝันร้ายอย่างแน่นอน สิ่งที่เห็นใช่ว่าจะเป็นเรื่องจริง ต้องเป็นภาพลวงตา เป็นเพียงภาพลวงตา!
แต่ทันทีที่หลับตาลง ภาพมากมายก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา ราวกับว่าเขาได้ตกไปอยู่ในนรกที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็มิปาน ทั้งยังมีกรงเล็บสีแดงที่ดูน่ากลัวมากมายกำลังจิกทึ้งร่างกายของเขาอยู่
“ไม่ ไสหัวไป พวกเจ้าไสหัวไป! เรียกราชครูมา!” เสียงคำรามของฮ่องเต้เซี่ยเจินทำให้กลุ่มคนที่หวาดกลัวอยู่แล้วยิ่งตัวสั่นงันงกเข้าไปใหญ่
ฮ่องเต้ทรงเป็นโอรสมังกรสวรรค์ หากแม้แต่ไอพลังมังกรยังไม่สามารถสะกดได้ เช่นนั้นต้องเป็นวิญญาณอาฆาตขององค์รัชทายาท และคนที่ตายไปโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมของตำหนักบูรพาที่กลับมาอย่างแน่นอน
คนในกระโจมเดินเข้า ๆ ออก ๆ ดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก และได้ยินเสียงราชครูสวดมนต์อยู่ตลอดทั้งคืน ก่อนรุ่งสางในที่สุดทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ
นอกจากนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ถูกภาพหลอนในหัวเล่นงาน จึงไม่มีใครสักคนที่จะตัดสินใจให้ราชองครักษ์ไปตรวจสอบในป่า รอจนฟ้าสางเมื่อทุกคนได้สติกลับมา ป่าก็ยังคงเป็นป่า จะไปหาร่องรอยของผีสางอะไรได้อีกเล่า
…
แกรก
จี้จือฮวนหักเศษไม้สองท่อนแล้วโยนเข้าไปในเตา แสงไฟสะท้อนใบหน้าที่เย็นชาของนาง แม้กระทั่งไรขนบนใบหน้าของนางก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไป๋จิ่นถึงกับสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางนั้นดูแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
“ยาที่เจ้าให้ข้าไปวางให้กับหานเหม่ยเหรินก่อนหน้านี้เป็นของข้า เช่นนั้นแล้วเจ้าเอายาอะไรไปวางให้ฮ่องเต้กัน?”
“ยาหลอนประสาท” จี้จือฮวนเองก็ไม่คิดจะปิดบังเขา “ข้าไม่อาจทนเห็นคนที่ทำเรื่องผิดบาปแล้วยังสามารถนอนหลับอย่างสบายได้ เขาหน้าหนาก็เป็นเรื่องของเขา แต่ข้าไม่มีเวลาว่างมานั่งรอ”
ยาหลอนประสาทในสัดส่วนที่แม่นยำ เพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้ในยามหลับตาทั้งกลางวันและกลางคืน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ไม่ตายก็คงทรมานไม่น้อย เรียกราชครูหรือ? ต่อให้เรียกพระยูไลลงมาก็เปล่าประโยชน์
แม้ว่าไป๋จิ่นจะเป็นคนในยุทธภพ แต่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ “เจ้าวางแผนมาหลายวันก็เพื่อหลอกผีเมื่อคืนอย่างนั้นหรือ นี่เท่ากับเป็นการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้เชียวนะ เจ้าไม่กลัวเลยหรือ?”
“เป็นคนเหมือนกันมีอะไรต้องกลัว ข้าเชื่อว่าทุกคนเท่าเทียมกัน คนที่ติดค้างข้าก็ต้องชดใช้คืน ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเป็นใคร”
ไป๋จิ่นอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้ “ลูกพี่ฮวนฮวน เจ้าช่างแข็งแกร่งจริง ๆ
ว่าแต่ฮ่องเต้ไปล่วงเกินเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
จี้จือฮวนรินน้ำชาให้ตัวเอง “เดิมลูกชายของข้าสามารถเป็นพระราชนัดดาของเขาได้อย่างมีความสุข มีการศึกษาที่ดี ได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ แต่กลับถูกฮ่องเต้สุนัขนั่นฟังคำที่คนใส่ร้าย ทำให้เขาต้องตกระกำลำบาก จนตอนนี้ชื่อของเขาถูกขีดฆ่าออกจากลำดับราชวงศ์ไปแล้ว ต้องแบกรับความแค้นตั้งแต่อายุยังน้อย ข้าต้องการชีวิตและบัลลังก์ของเขาก็นับว่าเมตตามากแล้ว”
ไป๋จิ่นรู้ว่านางมีนิสัยเข้าข้างคนของตัวเอง แต่ไม่คิดว่าจะเข้าข้างได้ถึงขั้นนี้
“เจ้าเคยคิดว่ามันจะล้มเหลวบ้างหรือไม่?”
“เคยสิ แต่ว่าคนอย่างข้า หากยังไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ ขอเพียงข้ายังมีลมหายใจอยู่ จะไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน”
จี้จือฮวนพูดอย่างสบาย ๆ แต่ความหมายที่แฝงในคำพูดนั้นกลับทำให้ไป๋จิ่นถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
โชคดีที่ตอนแรกเขาไม่ได้ล่วงเกินสตรีผู้นี้
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นว่าจี้จือฮวนกำลังจ้องตนเองอยู่
“พี่สาว เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้สิ ข้ากลัวนะ”
“การเรียนของอาชิง เจ้าต้องพยายามสอนให้เต็มที่ล่ะ ข้าต้องการให้พิษที่เขาทำไม่มีใครสู้ได้ ไม่มีใครสามารถทำร้ายเขาได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปเจ้าก็กินแกลบกินผักกินหญ้าไปก็แล้วกัน” นางยังไม่ลืมหรอกนะว่าในนิยายเจ้าเด็กนี่เคยช่วยจี้หมิงซูด้วย
กินแกลบกินผักกินหญ้า? เช่นนั้นไม่สู้ฆ่าเขาเสียยังดีกว่า!
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะพยายามสอนเขาให้เต็มที่อย่างแน่นอน!”
อย่างไรเสียเจ้าศิษย์โง่ผู้นี้ก็มีราชากู่อยู่ในกาย ต้องเรียนเรื่องพวกนี้ได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว
จี้จือฮวนกำชับเขาเสร็จก็บอกให้เขาไสหัวไป แต่ทันทีที่ลุกขึ้นยืนก็เห็นเผยยวนยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว
ไป๋จิ่นฉลาดกว่าเซียวเย่เจ๋อ เขารีบมุดออกไปตามช่องของประตูทันที ทั้งยังวิ่งเร็วกว่าฮวาฮวาเสียอีก
จี้จือฮวนยุ่งมาทั้งคืน ตอนนี้จึงตั้งใจว่าพอทำมื้อเช้าเสร็จแล้วค่อยกลับไปนอน ทว่านางยังไม่ทันจะขยับ เผยยวนก็เข้ามาอุ้มนางเสียก่อน จี้จือฮวนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เผยยวนกลับพานางเข้ามาในห้องนอนและวางนางลงบนเตียงแล้ว ก่อนจะนั่งยอง ๆ ถอดรองเท้าให้นาง
“เผยยวน”
เขาไม่ตอบ เพียงแค่จัดรองเท้าปักให้นางอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้น ก่อนจะใช้มือกดที่หัวไหล่ให้นางนอนลง
ด้านนอกประตู เดิมทีหลิวเฟิงต้องการกลับมาบอกฮูหยินว่า เมื่อคืนนี้พวกตนตื่นเต้นเพียงใด แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในห้อง เขาก็ต้องถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจ
เผยยวนเมื่อก่อนก็เป็นถึงซื่อจื่อของซิ่นอู๋โหว ต่อมาออกรบสร้างผลงานจนได้เลื่อนขั้นเป็นหย่งกวานโหว เคยปรนนิบัติใครเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
หลิวเฟิงไม่กล้าอยู่ต่อ จึงรีบวิ่งหนีไปทันที
ภายในห้อง เผยยวนจ้องเข้าไปในดวงตากระจ่างใสของจี้จือฮวน พลางกุมมือของนางเอาไว้แน่น
เขามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
เหมือนกับว่าตั้งแต่ที่เขาลืมตาขึ้นมา สตรีผู้นี้ก็ใช้บ่าที่บอบบางของนาง ประคับประคองครอบครัวแทนเขาและดูแลลูก ๆ มาโดยตลอด
นางมักจะสงบนิ่งควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี และเข้มแข็งเสมอ นางไม่เคยออดอ้อน นุ่มนวล เหมือนแม่นางน้อยคนอื่น ๆ แม้บางครั้งนางจะเจอเรื่องที่หนักหนา แต่ก็สามารถรับมือได้ดี
จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้นและสบกับดวงตาลุ่มลึกของเขา ฝ่ามือของเขาประคองต้นคอของนางเอาไว้เบา ๆ ก่อนใช้ปลายจมูกของเขาแตะกับปลายจมูกของนาง จี้จือฮวนสามารถมองเห็นขนตาที่โค้งงอนยาว และหางตาที่แดงระเรื่อของเขาได้โดยไม่มีอะไรกั้น
“เรื่องเหล่านี้ต่อไปให้ข้าจัดการเองเถอะ ข้าไม่อยากให้มือของเจ้าต้องแปดเปื้อนสิ่งสกปรก”
จี้จือฮวนมองหน้าเขา “ข้าก็ไม่อยากให้มือของเจ้าสกปรกเช่นกัน”
การจะจัดการกับคนเลวที่ทำเรื่องชั่ว ๆ เหล่านี้ จะต้องมีการวางแผนมากมาย มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับเผยยวน
และเพราะนางเข้าใจดี ดังนั้นจี้จือฮวนจึงไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
ในยุคปัจจุบันนางไม่มีเพื่อนมีแต่สหายร่วมรบ สามารถทำงานเป็นกลุ่มและสามารถต่อสู้คนเดียวได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนางไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน
นางไม่รู้ว่าการทำดีกับใครสักคนต้องทำเช่นไรบ้าง ดังนั้นนางจึงรู้แค่ว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ดีกับนางให้ได้
สำหรับนางแล้วที่นี่ไม่ใช่แค่โลกในนิยายอีกต่อไปแล้ว ที่นี่นางมีเพื่อน มีญาติ มีคนรัก คนหรือเรื่องใดก็ตามที่ขวางทางพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สบายใจ นางจะไม่ปล่อยเอาไว้เด็ดขาด
เผยยวนรู้สึกว่านางมองเขาในแง่ดีเกินไป บริสุทธิ์เกินไปแล้ว
และเพราะนางคอยให้ท้ายเขาเช่นนี้ทำให้ใจของเขาอ่อนยวบลง เขาจึงประทับจูบลงไปทันที ปิดกั้นสิ่งที่นางต้องการจะพูดออกมา ริมฝีปากบดคลึงและกอดกันเอาไว้แน่น หัวใจของทั้งคู่เต้นเร็วขึ้นพร้อม ๆ กันเพราะอีกฝ่าย จนรู้สึกว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ข้าไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิด เป็นคนที่อันตรายและไร้ปรานี ข้าเพียงแสดงแต่ด้านดี ๆ ให้เจ้าเห็นก็เท่านั้น เพราะข้ากลัวเจ้าจะไม่ชอบเผยยวนอีกคน”
เขาสารภาพกับนาง
จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็เอื้อมมือไปคล้องคอของเขาไว้ “เช่นนั้นต่อไปเราก็ทำด้วยกัน?”
หากเขาอยากทำเช่นนั้นก็แค่ทำด้วยกัน ไม่ว่าจะดีหรือร้าย คนที่ทำให้นางหวั่นไหวได้ก็คือเขา หากเขาต้องการตามหาแสงสว่าง นางก็จะคอยขับไล่เมฆดำ หากเขาตกนรกนางก็จะกวาดล้างวิญญาณร้ายแทนเขา และท่องโลกไปด้วยกัน
.
.
.