บทที่ 243 เซียวเซวียนจิ่น
พวกเด็ก ๆ ทะเลาะกันถึงขั้นนี้ จะปิดบังผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้อย่างไรกัน
เดิมทีซูเฟยมีองค์ชายห้าแล้ว และยังให้กำเนิดราชาปีศาจอย่างองค์ชายสิบเพิ่มมาอีกคน ปกติถูกตามใจยิ่งกว่าอะไรดี เพราะในวังหลังเด็กที่สามารถเลี้ยงดูจนโตมาได้นั้นมีไม่มาก นางเองก็ถูกหานกุ้ยเฟยกลั่นแกล้งไม่น้อยกว่าจะสามารถเก็บลูกคนนี้เอาไว้ได้
แต่สุดท้ายเมื่อตามมารับไท่ซ่างหวงด้วย ลูกของนางกลับถูกทุบตีจนใบหน้าบวมช้ำ ต่อให้จะเป็นคนอดทนเช่นไรก็อาจทนไหวอีกต่อไปแล้ว นางจึงร้องไห้เข้าไปหาฮ่องเต้เซี่ยเจิน และต้องการให้เขาสั่งลงโทษชาวบ้านชั้นต่ำเหล่านั้นสถานหนัก
คนหมู่บ้านตระกูลเฉินเองก็ไม่ยอมแพ้ ใครบ้างไม่รักลูกของตัวเอง? มิหนำซ้ำลูกของพวกเขายังได้เรียนหนังสือกับไท่ซ่างหวงอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถามให้ชัดเจนแล้ว ไม่ใช่ลูกของพวกเขาที่เป็นคนหาเรื่องก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของราชวงศ์ที่ไม่ดูแลลูกของตัวเองให้ดี อ้าปากก็จะฆ่าจะแกงกันแล้ว
แน่นอนว่าฮ่องเต้ย่อมสงสารลูกชายตัวเอง ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตำหนินั้น ก็พลันเหลือบไปเห็นสายตาของไท่ซ่างหวง คำพูดก็ติดอยู่ในลำคอทันที
“ร้อง ๆ ๆ ร้องอะไรนักหนา เป็นถึงราชนิกุล อายุก็มากกว่าเขา ร่างกายก็ใหญ่โตกว่า สุดท้ายสู้ไม่ได้ก็ร้องไห้มาฟ้องแม่ หนังสือที่อ่านไปอยู่ในท้องสุนัขหมดแล้วหรืออย่างไร” ไท่ซ่างหวงมององค์ชายสิบด้วยสายตารังเกียจ
“เสด็จพ่อเพคะ…” ซูเฟยน้อยใจอย่างมาก เหตุใดไท่ซ่างหวงถึงได้เข้าข้างคนนอกเช่นนี้เล่า
“ทำไม ลูกของเจ้าเป็นเด็ก ลูกของคนอื่นเป็นแค่ต้นหญ้าหรืออย่างไร? ดูอาฝูของพวกเราถูกตีจนมีสภาพเช่นนี้? ข้าขอบอกเอาไว้เลยว่า เขาเป็นศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด” ไท่ซ่างหวงดึงอาฝูมา ร่างเล็ก ๆ นี้ก็ถูกทุบตีเช่นกัน องค์ชายสิบเห็นเช่นนั้นใบหน้าจึงเปลี่ยนสีไปในทันที
เป็ดองครักษ์เองก็ส่งเสียงขึ้นมา พลางจ้องมององค์ชายสิบด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เสด็จแม่! ฮือ ฮือ ฮือ ลูกเสียใจ” องค์ชายสิบยังอยากจะทำตัวงี่เง่าต่อ แต่กลับถูกซูเฟยเอามือปิดปากเอาไว้ เจ้าเด็กโง่นี่มองสถานการณ์ไม่ออกหรืออย่างไร ใครจะยังกล้าพูดมากอีก!
“หุบปากซะ!”
…
เรือนบนเนินเขา
อาอินมองออกไปด้านนอกเล็กน้อย จากนั้นก็หดหัวกลับเข้ามา
จี้จือฮวนรู้สึกขำขันยิ่งนัก “เจ้าทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในบ้านทำไมกัน”
อาอินนั่งลงคัดถั่วงอกต่อ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
จี้จือฮวนมองออกไปด้านนอกเล็กน้อย “เจ้ารู้จักเด็กคนนั้นหรือ?”
เมื่อครู่เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น เผยยวนจึงลงไปรับคนด้วยตัวเอง เนื่องจากกลัวว่าฮ่องเต้จะลงโทษอาอิน ทว่าสุดท้ายเซียวเซวียนจิ่นผู้นั้นกลับตามมาด้วย บอกว่าจะมาเยี่ยมบ้านท่านอาเผย
เผยยวนบอกว่าเขากับพ่อของเด็กหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นจึงนั่งคุยกันที่ม้านั่งหน้าบ้าน
เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปี แต่หน้าตากลับหล่อเหลา นัยน์ตาหงส์คู่นั้นราวกับพูดได้ก็มิปาน อีกทั้งยังสนิทกันดีกับอาฉืออีกด้วย
“เจ้าจำไม่ได้จริง ๆ หรือ? ข้าเห็นอาฉือเข้ากับเขาได้ดีทีเดียว”
อาอินเกาหัวเล็กน้อย “เดิมพี่ใหญ่ก็อายุมากกว่าข้าอยู่แล้ว ข้าลืมไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
นางจำคนที่ชื่อเซียวเซวียนจิ่นไม่ได้จริง ๆ
“เขาชื่อว่าอะไรนะ เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจฟัง”
“เซียวเซวียนจิ่น”
รอยยิ้มของจี้จือฮวนจางหายไป เซียวเซวียนจิ่น
ลูกชายคนเดียวของอ๋องเจิ้นเป่ยผู้เป็นอ๋องต่างแซ่* เข้ามาเมืองหลวงในฐานะตัวประกัน ในนิยายหลังจากที่เผยยวนเสียชีวิต เขาก็ได้ปรากฏตัวเคียงข้างอาอิน ในช่วงเวลาที่อาอินก่อกบฏและเป็นศัตรูกับเซี่ยหยาง
* อ๋องต่างแซ่ (异姓王) เป็นอ๋องที่ไม่ได้เป็นราชนิกุล และไม่ได้มีแซ่เดียวกันกับฮ่องเต้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะได้รับตำแหน่งอ๋องเมื่อทำความดีความชอบใหญ่หลวง และได้รับความไว้ใจจากฮ่องเต้
เซียวเซวียนจิ่นได้ใช้คนสนิททั้งหมดที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้เพื่ออาอิน สุดท้ายเมื่ออาอินตายอย่างอนาถ เซียวเซวียนจิ่นจึงได้ล้างแค้นแทนนาง และตายอยู่ใต้คมลูกศรจำนวนมาก
ในนิยาย เดิมก็มีคนรู้ว่าคู่นี้เคยมีความเกี่ยวข้องกัน และคิดว่าพวกเขาคงผ่านเรื่องราวบางอย่างมาด้วยกัน แต่มีการพูดถึงน้อยมาก บวกกับพวกเขาเป็นตัวร้าย ดังนั้นเนื้อหาจึงตัดจบไปเพียงเท่านั้น
ดูเหมือนว่าเดิมทีเซียวเซวียนจิ่นจะรู้จักกับตระกูลเผยอยู่แล้ว คำนวณดูตอนนี้เขาคงเป็นตัวประกันอยู่ในวัง วันนี้จึงได้ติดตามมาด้วย
แต่ดูจากท่าทางแล้ว ซื่อจื่อผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนกับเจ้าโง่เซียวเซวียนจิ่นในนิยายนั่นเท่าใดนัก
มิน่าเล่าหลังจากที่เผยยวนตาย เขาจึงได้ขึ้นเป็นแม่ทัพสืบทอดตำแหน่งจากพ่อของเขา
อาอินมองดูสีหน้าของจี้จือฮวน “ท่านแม่ ท่านไม่ชอบเขาหรือเจ้าคะ?”
จี้จือฮวนมองดูใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของอาอิน ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ไม่ใช่ ข้าเพียงคิดถึงเรื่องบางอย่างน่ะ ชีวิตของเซียวเซวียนจิ่นผู้นี้ก็คงลำบากไม่น้อยกระมัง เจ้าจำพ่อของเขาได้หรือไม่?”
อาอินพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าจำได้เจ้าค่ะ เมื่อก่อนท่านพ่อมักจะส่งจดหมายให้อ๋องเจิ้นเป่ยอยู่หลายครั้ง ข้ายังเคยประทับรอยมือเล็ก ๆ ไว้บนนั้นด้วย ส่วนอ๋องเจิ้นเป่ยก็เคยส่งของขวัญมาให้พวกเรา เสื้อผ้าตัวใหญ่เท่านี้เลยเจ้าค่ะ!
ต่อมาเมื่อท่านพ่อเกิดเรื่องขึ้น พี่ใหญ่ก็คิดที่จะไปตามหาเขา แต่น่าเสียดายที่มีคนคอยจับตามองพวกเราอยู่ จึงไม่สามารถออกไปส่งจดหมายได้ ต่อมาแม้ว่าจะออกไปส่งจดหมายได้แต่กลับไม่มีเงินแล้ว”
อาชิงวิ่งดุกดิกเข้ามา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างเหนื่อยหอบ “ในสวนมีพี่ชายรูปหล่อคนหนึ่ง เขาบอกว่าเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ข้าด้วย พี่หญิง เขาเคยเปลี่ยนให้ท่านหรือไม่ขอรับ?”
อาอินหน้าแดงขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล!”
“อ่อ เช่นนั้นข้าจะไปบอกเขา ว่าเขาพูดจาเหลวไหล!” อาชิงวิ่งดุกดิกกลับไปแล้ว
อาอินโมโหเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อหันกลับไปก็พบว่าจี้จือฮวนเอามือทั้งสองข้างเท้าคางมองนางอยู่ นางจึงเดินกลับมาและนั่งลง “หึ ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ เขาก็แค่ชอบเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คนอื่นก็เท่านั้น”
“จุ ๆ เหตุใดถึงปรักปรำคนอื่นเช่นนี้เล่า?” อาอินเพิ่งจะพึมพำจบ ก็เห็นเซียวเซวียนจิ่นจูงอาชิงมายืนมองนางอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ
อาอินราวกับแมวน้อยที่ถูกเหยียบหาง “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“เมื่อครู่น่ะสิ”
เซียวเซวียนจิ่นเอ่ยจบ ก็คารวะให้กับจี้จือฮวนอย่างนอบน้อม “คารวะท่านอาสะใภ้ขอรับ เป็นครั้งแรกที่ได้พบท่านอาสะใภ้ ท่านอาสะใภ้งดงามเหมือนที่ท่านอาเผยพูดไม่มีผิดเลยขอรับ”
จี้จือฮวนมองเซียวเซวียนจิ่น ราวกับเห็นภาพที่เขานำกระดูกของอาอินออกมา ร่างทั้งร่างโชกไปด้วยเลือด และฝังกระดูกของนางด้วยมือตัวเอง
“คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกันนะ” เมื่อเห็นท่าทีสนิทสนมที่จี้จือฮวนมีต่อเซียวเซวียนจิ่น ก็ทำให้อาอินดวงตาเบิกโพลง
“ชอบกินอะไร อาสะใภ้จะทำให้กินเอง” จี้จือฮวนยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ
เซียวเซวียนจิ่นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาสะใภ้ฝีมือดี ข้าไม่เลือกกินขอรับ”
อาฉือเองก็ดูอารมณ์ดีไม่น้อย “พี่เซวียนจิ่น ท่านไปห้องข้าสิขอรับ ท่านแม่ข้าทำแผนผังทรายจำลองให้ข้า ท่านต้องชอบมากแน่ ๆ”
เซียวเซวียนจิ่นดวงตาเป็นประกาย “แผนผังทรายจำลองอย่างนั้นหรือ ท่านอาสะใภ้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะ”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องหนังสือ อาชิงเองก็วิ่งตามไปด้วย ราวกับว่าเด็กผู้ชายเกิดมาก็สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว
“พี่หญิง ท่านจะไปด้วยหรือไม่!” อาชิงน้อยชะโงกหน้ามาถาม
อาอินเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ยกยิ้มอยู่ของเซียวเซวียนจิ่น นางจึงหันไปนั่งลงแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ายังต้องคัดถั่วงอกอีก”
“อ่อ พี่หญิงไม่ไป!” อาชิงจึงกอดขาของเซียวเซวียนจิ่นเอาไว้ “พี่ชายอุ้ม”
เซียวเซวียนจิ่นจึงอุ้มเจ้าก้อนเนื้อเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะนั่งลงมองแผนผังทรายจำลองของอาฉือ
“ท่านอาสะใภ้ทำเองทั้งหมดเลยหรือ?”
“นางทำกับท่านพ่อขอรับ ท่านแม่ไม่เคยไปที่เหล่านี้มาก่อน ต้องอาศัยท่านพ่อวาดแผนที่ให้ ท่านดูนี่สิ สามารถเติมน้ำเข้าไปได้ด้วย พวกนี้ก็คือแม่น้ำ” ยากนักที่อาฉือจะพูดเยอะเช่นนี้ คงเป็นเพราะขาดคู่สนทนาด้วย
เซียวเซวียนจิ่นเอ่ยชมไม่หยุด “ภายในค่ายของท่านพ่อข้า ยังไม่มีแผนผังทรายจำลองที่ประณีตเช่นนี้เลย”
อาฉือดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำของผลไม้ที่เลอะมุมปากของอาชิงจนสะอาดแล้วจึงเอ่ยออกมา “ท่านเข้าวังไปเป็นตัวประกัน ความเป็นอยู่ยังดีอยู่หรือไม่ หากว่าลำบากข้าสามารถไปขอร้องท่านทวดให้ได้นะขอรับ”
เซียวเซวียนจิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร ก็แค่เรียนหนังสือกับพวกองค์ชายองค์หญิง และต้องคารวะซูเฟยผู้นั้นก็เท่านั้น รอข้าโตกว่านี้อีกหน่อย ก็จะออกจากวังมาอยู่จวนเองได้แล้ว ท่านพ่อเองก็ส่งคนมาคอยอยู่ข้างกายข้า ส่วนเจ้ากับท่านอาเผยยังสบายดีเช่นนี้ หากท่านพ่อข้าทราบข่าวนี้จะต้องดีใจมากเป็นแน่”
.
.
.