บทที่ 251 แม่นางน้อยที่รักของเขา
คนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศอึมครึมในค่ายพักแรมก็คือเซียวเซวียนจิ่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ในฐานะตัวประกัน ขอเพียงเขายังมีชีวิตที่ดี อย่าเสียแขนและขาจนไม่สามารถอธิบายให้อ๋องเจิ้นเป่ยฟังได้ก็พอ คนที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอกก็ไม่แน่ว่าจะเดินลาดตระเวนมาทางเขา
ภายในกระโจมของซูเฟย องค์ชายสิบยังคงร้องห่มร้องไห้เหมือนลูกหมูกำลังจะถูกเชือดก็มิปาน ส่วนเซียวเซวียนจิ่นก็กำลังเล่นลูกบาศก์หกด้านที่เขาเอามาจากห้องหนังสือของอาฉือวันนี้ โดยไม่ได้สนใจเวลาที่ล่วงเลยไปแต่อย่างใด
จนกระทั่งขันทีน้อยที่คอยติดตามเขามายืนกรนอยู่ข้าง ๆ เซียวเซวียนจิ่นจึงได้เงยหน้าขึ้นและเอ่ยออกมา “เจ้าไปนอนเถอะ”
เซียวเซวียนจิ่นปกติมักจะยิ้มแย้ม กับผู้ใดก็ล้วนมีความสัมพันธ์อันดีด้วย คนในวังจึงไม่ได้กลัวเขา เมื่อได้ยินดังนั้นขันทีน้อยก็ช่วยปูที่นอนให้เขา จากนั้นจึงได้ออกไป
เซียวเซวียนจิ่นเองก็รู้สึกเมื่อยตัวเมื่อนั่งนาน ๆ เช่นกัน ขณะที่เขาเอนตัวลง จู่ ๆ ก็มีการเคลื่อนไหวตรงรอยแยกของกระโจม
เซียวเซวียนจิ่นลุกขึ้นนั่งทันที เขาจ้องมองไปที่มุมหนึ่งของกระโจม
หรือจะเป็นเพียงพอนในนา?
แต่ดูจากขนาดน่าจะใหญ่กว่าหนู
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น หัวอ้วนกลมหัวหนึ่งก็โผล่ออกมา หนึ่งคนหนึ่งนกสบตากัน
หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อเบียดตัวผ่านรอยแยกเข้ามาด้วยความยากลำบาก เซียวเซวียนจิ่นจึงได้สติขึ้นมา นี่ไม่ใช่นกอ้วนที่อยู่ใต้ชายคาบ้านท่านอาเผยหรอกหรือ?
หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อย่ำกรงเล็บของมันไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ เซียวเซวียนจิ่นเข้าใจการกระทำของมัน จึงล้วงเข้าไปในช่องว่างนั้นและพบกับกล่องอุ่น ๆ ใบหนึ่ง
เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นกล่องข้าวน้อยที่ทำจากไม้ไผ่ มีเกี๊ยวทอดและขนมหน้าตาสวยงามอยู่ด้านใน
“คงเป็นท่านอาสะใภ้ให้เจ้าเอามาส่งกระมัง”
เซียวเซวียนจิ่นต้องการจะแหย่หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อ ทว่าอารมณ์ของเจ้าหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นมันจึงขยับไปด้านข้างราวกับจะบอกว่า อย่ามาแตะต้องตัวข้า
เซียวเซวียนจิ่นเอื้อมมือไปจิ้มขนหนา ๆ ที่ท้องของมัน หลังจากเขี่ยจนเป็นรูเล็ก ๆ แล้ว จึงได้หยิบตะเกียบขึ้นมากินของว่างร้อน ๆ อย่างมีความสุข
ตระกูลเผยช่างน่าสนใจจริง ๆ แม้แต่นกก็ยังฉลาดกว่านกที่คนทั่วไปเลี้ยง
เขาชอบตระกูลเผยมาก เป็นความชอบที่ไม่มีเหตุผล ราวกับว่าที่นั่นมีบางอย่างที่เขาต้องการ
เซียวเซวียนจิ่นรู้สึกว่าความคิดนี้ของตนเองดูเหลวไหลไปหน่อย เขาจึงก้มหน้าลงหัวเราะอย่างระอา หลังจากกินมื้อค่ำไปหนึ่งคำ อร่อยอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงด้วย
ตอนกลางคืน เซียวเซวียนจิ่นหลับลึกจนเข้าสู่ห้วงความฝันอย่างที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ในความฝันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย จนเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเมฆดำที่ปกคลุมดวงอาทิตย์เหนือศีรษะ ธงที่อยู่ไกลออกไปได้รับความเสียหายอย่างหนักและถูกเสียบลงบนร่างของศพที่ไม่รู้จักชื่อ มีอีกาบินลงมาจิกกินฝูงใหญ่ กลิ่นเน่าโชยออกมาพร้อมกับกลิ่นไหม้
เขารู้สึกราวกับว่ากำลังวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อตามหาบางสิ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่พบอะไรเลย
เขาหอบหายใจเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง ก็มีเสียงหัวเราะดังกังวานราวกับกระดิ่งของสตรีดังขึ้นข้าง ๆ หู กำลังออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ซื่อจื่อ ดื่มอีกจอกสิเจ้าคะ”
เซียวเซวียนจิ่นมองไปที่ชายหนุ่มรูปงามหลังม่านลูกปัด ที่ดูเหมือนเขาแต่ก็ไม่เหมือนเขา
ท่าทางเจ้าสำราญเป็นอย่างมาก สาบเสื้อที่หน้าอกเปิดกว้าง เห็นได้ชัดว่าคงดื่มมาสักพักแล้ว ข้างกายมีคนนั่งอยู่กลุ่มหนึ่ง สภาพดูย่ำแย่กว่าเขาเสียอีก
เขารู้อย่างชัดเจนว่านี่คือความฝัน แต่กลับรู้สึกว่ามันเหมือนจริงอย่างมาก ราวกับว่าเขาเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
จนกระทั่งมีเสียงดังมาจากชั้นล่าง มีคนตะโกนขึ้นว่า ‘เจ้าหน้าที่และทหารกำลังมา พวกเขาจะมาจับมือสังหารที่ลอบสังหารองค์รัชทายาทเซี่ยหยาง’ ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขากลัวว่าจะพัวพันไปด้วย คนหนึ่งบอกว่าพ่อตามกลับบ้าน ส่วนอีกคนก็ตะโกนว่าจะไปฉี่ เพียงพริบตาก็วิ่งหนีจนไม่เหลือแม้แต่เงา
เซียวเซวียนจิ่นไม่ได้ขยับ รอจนกระทั่งไล่ทหารออกไปแล้ว เขาจึงลุกขึ้นและเปิดประตูหลังฉากบังลมออก หอแห่งนี้เขามักจะมาบ่อย ๆ จึงมีห้องเป็นของตัวเอง ดังนั้นในห้องนี้ซ่อนใครเอาไว้เขาย่อมรู้ดีที่สุด
แต่เขาคาดไม่ถึงว่าคนที่ลอบสังหารเซี่ยหยางจะเป็นแค่แม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งเท่านั้น นางดูผอมบางและอ่อนแอ ใบหน้าซีดขาวเพียงนั้น แต่ความหวาดระแวงในแววตาราวกับสัตว์ดุร้ายตัวเล็ก ๆ บนทุ่งหญ้าก็มิปาน ผมเผ้ายุ่งเหยิงแนบติดกับข้างขมับ
มองแค่แวบเดียวเซียวเซวียนจิ่นก็จำนางได้ทันที เผยถังอิน
เขาพานางออกมาจากหอสุรา ยอมเสี่ยงใช้รถม้าเพื่อพานางออกจากที่นี่ ทว่าก็ยังไม่สามารถรั้งนางเอาไว้ได้ และไม่ได้พูดกันแม้แต่ประโยคเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าเขารู้สึกผิดหวังแค่ไหน หลังเขาไปต้มยากว่าสองชั่วยาม เมื่อเขากลับมาที่ห้องก็ไม่พบนางแล้ว
นางจำเขาไม่ได้
ตอนที่ได้พบนางอีกครั้งก็ยังคงเกี่ยวข้องกับเซี่ยหยาง ทว่าคราวนี้นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด และผ่านไปสองปีแล้วนับตั้งแต่การพบกันครั้งก่อน
เขารู้ว่าที่นางสู้สุดชีวิตเพื่อฆ่าเซี่ยหยางให้ได้เช่นนี้ ก็เพื่อจะล้างแค้นให้กับเซี่ยฉือ
ในคืนนั้นนางยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ สวมชุดสีแดงปลิวไสว แต่แววตากลับแน่วแน่เช่นเดิม และสายตาที่นางมองมาที่เขาก็ยังเหมือนคนแปลกหน้า
ดูสิ ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร
“พบกันอีกแล้ว จำข้าได้หรือไม่?” เขามีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด ทว่าสุดท้ายกลับเลือกประโยคที่ห่วยแตกที่สุด
“ครั้งที่สอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ร่างทั้งร่างราวกับมีดที่แหลมคม หากไม่ระวังก็จะสามารถทำร้ายทั้งผู้อื่นและตัวเองได้เช่นกัน
เขาคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจบอกฐานะของเขาออกไป “เจ้าสามารถตามข้ากลับไปที่จวนอ๋องเจิ้นเป่ยได้ ที่นั่นไกลจากเมืองหลวงมาก ดินแดนกว้างใหญ่และทางช้างเผือกที่ไร้ขอบเขต”
ข้าสามารถเป็นบ้านให้เจ้าได้
แต่นางเพียงแค่มองออกไปไกล ๆ ราวกับว่านั่นคือบ้านที่นางไม่สามารถกลับไปได้อีก
นางไม่ได้ตอบเขาและยังคงเลือกที่จะจากไปโดยไม่บอกลา เขารู้ว่าหากนางไม่ได้ฆ่าเซี่ยหยาง ชีวิตนี้คงยากจะสงบสุขได้
เขาจึงเริ่มให้คนจับตามองทุกอย่างเกี่ยวกับเซี่ยหยาง เฝ้าดูนางล้มลุกคลุกคลานบนถนนเส้นนี้ ราวกับว่าหากไม่ทุ่มเทจนสุดกำลัง นางจะไม่มีวันหันหลังกลับ
บางครั้งนางก็เอ่ยกับเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“อย่าเข้าใกล้ข้าอีก”
“ข้าอยากให้เขาตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
นางมีความดื้อรั้นของนาง เขาก็มีความดื้อรั้นของเขา
ถึงขนาดจะใช้ข้ออ้างต่ำช้าเพื่อต้องการจะพานางไปด้วย
“เสด็จพ่อข้าจะก่อกบฏ อีกไม่นานข้าจะออกจากเมืองหลวง อีกสามวันยามอิ๋น*ข้าจะรอเจ้าที่ท่าเรือข้ามฟากประตูเมืองฝั่งตะวันตก”
* ยามอิ๋น (寅时) คือเวลา 03.00 น. – 05.00 น.
เซียวเซวียนจิ่นมองดูตัวเองในความฝัน ท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก เขารอจนผมเป็นสีขาวโพลนก็ยังไม่เห็นนาง
แต่เซียวเซวียนจิ่นในความฝันกลับไม่รู้ว่าไม่ไกลจากท่าเรือข้ามฟาก หญิงสาวในชุดแดงผู้นั้นก็เสื้อผ้าเปียกปอนไปทั้งตัวเพราะหิมะเช่นกัน
“ข้าเองก็อยากจะเป็นเหมือนสตรีคนอื่น แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีสิทธิ์มีความสุขเช่นนั้น”
“จวนอ๋องเจิ้นเป่ยจะต้องดีอย่างที่เจ้าบอกเป็นแน่ เจ้าจะได้แต่งงานและมีลูกที่นั่น พาหญิงสาวที่เจ้ารักไปกินปลาจากแม่น้ำหลินเจียง พานางไปขี่ม้าในทุ่งหญ้า ดูทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเป็นเพื่อนนาง”
“คำพูดที่เจ้าบอกกับข้าล้วนน่าฟังยิ่งนัก ข้าชอบฟังมันมาก”
“รักษาตัวด้วย”
สุดท้ายพวกเขาคนหนึ่งก็หนีไป ส่วนอีกคนก็ทุ่มสุดตัวเพื่อเดินบนเส้นทางที่ตัวเองเลือก
สามถึงสี่ปีเต็ม ๆ ที่พวกเขาไม่ได้พบหน้ากัน
บางครั้งเขามักจะคิดว่าเผยถังอินคงจะกลายเป็นแม่นางน้อยที่โหดร้ายที่สุดบนโลกนี้ ทว่าเขาก็ยังปรารถนาให้สวรรค์ให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง
เขาอยากจะบอกกับนางว่า “เจ้าหันกลับมามองข้าได้หรือไม่ ความจริงแล้วหากเจ้าอยากฆ่าเซี่ยหยาง ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
นางกลายเป็นมารในใจของเขา และเป็นความรู้สึกผิดของเขาด้วย
เขาไม่รู้ว่านางจะอยู่รอดในโลกที่วุ่นวายนี้ได้หรือไม่ ไหล่ที่บอบบางเช่นนั้น กลับชอบสวมชุดที่สีแดงสดยิ่งกว่าเลือด
บางทีเขาก็สงสัยว่าจะมีใครเก็บศพให้นางหรือไม่?
เขาส่งคนจำนวนมากออกไป ขอเพียงสามารถเข้าใกล้แนวหน้าและรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเซี่ยหยาง เขาก็มักจะไปทำด้วยตัวเอง
วันเวลาที่รอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าการไม่ได้พบนางก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน บางทีนางอาจจะยังมีชีวิตอยู่
.
.
.