บทที่ 254 มาเป็นเด็กรับใช้ให้พี่ใหญ่ข้า
ดังนั้นหากเจ้าปีศาจน้อยตรงหน้ารู้ว่าเขาคือองค์ชายสิบผู้สูงศักดิ์ และต้องการเสือขาวที่ติดตามเขาตัวนั้น ก็ควรจะมอบมันมาให้เขาแต่โดยดี เช่นนี้เขาอาจจะตกรางวัลอะไรให้บ้างก็เป็นได้
อย่างน้อยลูกหมาขี้เหร่พวกนั้น เขาก็ไม่คิดที่จะเอาไป
อาชิงยังคงมองเขาอยู่เช่นนั้น องค์ชายสิบจึงรู้สึกเสียหน้า เหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย ดังนั้นจึงเอ่ยด้วยความโมโหและอับอายขึ้น “เจ้าโง่หรืออย่างไร? เจ้าได้ฟังหรือไม่ว่าข้าพูดอะไร เจ้าเอาแต่มองหน้าข้าทำไมกัน เอาเสือมาให้ข้า ฟังรู้เรื่องหรือไม่?”
อาชิงหันหน้าไป “เมี้ยวเมี้ยว เจ้าจะไปกับเขาหรือไม่?”
เมี้ยวเมี้ยวในฐานะที่เป็นลูกเสือขาวเพียงตัวเดียวในหมู่บ้านตระกูลเฉิน ที่ผ่านมาเดินไปที่ใดก็มักจะได้รับความรักจากทุกคน ใครจะอดใจไม่รักขนอันนุ่มฟูและท้องอันนุ่มนิ่มของมันได้?!
ทำไมมันต้องไปด้วย เมี้ยวเมี้ยวสะบัดหางอย่างเกียจคร้าน พลางอ้าปากหาวออกมา
อาชิงมองดูองค์ชายสิบ “เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ มันไม่อยากไปกับเจ้า”
องค์ชายสิบคิดว่าเขาต้องเป็นคนบ้าอย่างแน่นอน “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ก็มันไม่ยอมพูดอย่างไรเล่า”
บัดซบ เสือจะพูดได้อย่างไรกัน!?
องค์ชายสิบแทบจะบ้าตายเพราะถูกเจ้าเด็กนี่ยั่วโมโหเสียแล้ว
“เจ้า ๆ ๆ เจ้าไสหัวไปซะ เด็ก ๆ อุ้มเสือตัวนั้นกลับไป”
คนรับใช้เห็นเมี้ยวเมี้ยวท่าทางไร้เดียงสาจึงยื่นมือออกไป แต่ใครจะไปคิดว่าลูกเสือท่าทางไร้พิษสงจะพองขนขึ้น พลางคำรามออกมาจากลำคอทันที และเดินไปตรงหน้าของคนรับใช้คนนั้นทีละก้าว ราวกับว่าหากคนรับใช้ขยับอีกเพียงนิดเดียว มันจะพุ่งเข้าไปขย้ำคออีกฝ่ายให้ขาดก็มิปาน
“เจ้ากล้าต่อต้านข้าหรือ? ข้าจะให้คนมายกบ้านเจ้าไปซะ เชื่อหรือไม่?” องค์ชายสิบโมโหเป็นอย่างมาก และรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก
อาชิงจึงอธิบายตามความเป็นจริงและบอกเหตุผลขึ้นมา “เจ้ายกบ้านข้าไม่ไหวหรอก บ้านข้าแข็งแรงมาก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ขวางเจ้านี่นา เป็นเมี้ยวเมี้ยวที่ไม่อยากไปกับเจ้าเอง”
“เมี้ยวเมี้ยว? เจ้าตั้งชื่อแมวให้กับเสืออย่างนั้นหรือ? นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามกันเจ้ารู้หรือไม่?”
อาชิงเอื้อมมือไปลูบที่หัวของเมี้ยวเมี้ยว ทำให้เจ้าตัวเล็กสบายจนหลับตาพริ้มและส่งเสียงครางออกมาจากลำคอ
“นั่นก็ไม่ใช่เสือของเจ้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
องค์ชายสิบไม่ยอม “ข้าพอใจมัน และมันก็ต้องเป็นของข้า เอาตัวไป!”
อาชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเหมือนกับจี้จือฮวนทุกประการ ตอนที่เขาลุกขึ้นยืนงูหนึ่งและงูสองก็พุ่งเข้าหาคนรับใช้ขององค์ชายสิบด้วยความเร็วสูง พวกมันเลื้อยอย่างรวดเร็ว อสรพิษที่ผ่านการฝึกฝนย่อมไม่เหมือนสัตว์เลือดเย็นธรรมดาในภูเขาอีกต่อไป
เพียงพริบตามันก็พันรอบคอของคนรับใช้เหล่านั้น ขอเพียงอาชิงออกคำสั่ง ก็สามารถทำให้พวกเขาถูกงูรัดจนตายได้
องค์ชายสิบเองก็มองด้วยความตกตะลึง
อาชิงยังคงทำหน้าตาไร้เดียงสา “อาจารย์กับท่านแม่ข้าบอกว่า เดินในยุทธภพ หากพบคนที่ตาบอดจะมาแย่งของของเรา เช่นนั้นก็ต้องทำให้อีกฝ่ายเห็นความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเสีย”
องค์ชายสิบเดิมก็กลัวงูอยู่แล้ว อีกทั้งอยู่ในรั้วในวังก็ไม่เคยสัมผัสกับสัตว์ประเภทนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงตะโกนและกระโดดหลบไปด้านข้างด้วยความตกใจทันที “เจ้า ๆ ๆ เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็กกลับมีความคิดที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ เจ้าคิดจะปล่อยงูมากัดข้าให้ตายหรือ?”
อาชิงกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อขึ้นมา “ข้าเด็กแล้วอย่างไร? ไม่มีผลต่อการที่ข้าจะฆ่าเจ้านี่นา”
แม้ว่าเชลยที่อยู่ตรงหน้าจะอ้วนไปสักหน่อย ดูท่าทางคงกินเก่งมาก และเขาก็ไม่เคยจับเชลยเองมาก่อน!
อาชิงคิดไปคิดมา เชลยผู้นี้หากเอากลับไปสามารถทำอะไรได้บ้าง? ที่บ้านดูเหมือนจะยังขาดเด็กรับใช้อยู่นะ!
ใช่แล้ว อาฝูบอกว่าคนในเมืองล้วนมีเด็กรับใช้กัน! พี่ใหญ่ยังไม่มีเลย แม้ว่าเขาจะดูซื่อบื้อไปสักหน่อย แต่ก็สามารถสอนได้นี่นา! อดข้าวไม่กี่มื้อก็ผอมแล้ว
องค์ชายสิบได้ยินก็ตาเหลือกขึ้นมา “หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า ข้าจะให้คนฆ่าล้างตระกูลเจ้าซะ!”
ใครบ้างจะขู่คนอื่นไม่เป็น
บรรดาคนรับใช้ตอนนี้ต่างก็ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว แต่ละคนอยากร้องไห้ออกมา และอยากบอกองค์ชายสิบว่าเจ้ารีบหุบปากไปเถอะ
ทว่าขณะที่กำลังจะเกลี้ยกล่อมองค์ชายสิบให้รีบลงเนินเขาไปโดยเร็ว อาอินก็ออกมาพร้อมกับกระเป๋าหนังสือใบเล็ก
เมื่อวานนี้องค์ชายสิบถูกนางตีเจ็บที่สุด จึงสะดุ้งขึ้นมาทันที “เหตุใดเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย?”
อาอินเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ดูท่าคงมีคนรนหาที่ตายอีกแล้ว
สองพี่น้องจึงพูดขึ้นพร้อมกัน “เพราะที่นี่เป็นบ้านของพวกเรา”
องค์ชายสิบตาเหลือกทันที และเกือบจะเป็นลมสลบไป
หลังจากนั้นไม่นานอาอินก็ใช้มือข้างหนึ่งจูงน้องชายไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลด้วยกัน ส่วนมืออีกข้างก็ลากข้อเท้าขององค์ชายสิบลงเนินไปด้วย นี่ถือเป็นเชลยคนแรกของพวกเขาสองพี่น้อง ต้องพาไปให้พวกอาฝูดู
ส่วนคนรับใช้สามสี่คนที่องค์ชายสิบเลือกมาอย่างดี ตอนนี้ก็นอนเกลื่อนอยู่ในพงหญ้า…
พวกอาฝูนั่งพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่ในศาลบรรพชนตั้งนานแล้ว พลางหยิบตัวอักษรที่ฝึกเขียนเมื่อคืนออกมา กลัวว่าเขียนได้ไม่ดีวันนี้จะถูกตีมือเอา
องค์ชายสิบยังคงดิ้นรนสุดแรง เขาเป็นถึงองค์ชายจะถูกรังแกและขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร!
เขาจะต้องขัดขืน!
อาอินลากเขาเข้าไปในศาลบรรพชน พวกอาฝูต่างก็ห้อมล้อมเข้ามา องค์ชายสิบที่กำลังจะอาละวาดก็ไม่กล้าพูดอะไรทันที หวาดกลัวเหมือนตอนที่มาคารวะพร้อมกับฮ่องเต้เซี่ยเจินเมื่อวาน
“เหตุใดถึงเป็นเจ้าอ้วนนี่กัน?”
“ทำไม? วันนี้ก็มาหาเรื่องอีกแล้วหรือ?”
อาชิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเอากระเป๋าใบเล็กของตัวเองออกมา พลางเอ่ยฟ้องขึ้น “เขาบอกว่าจะเอาเมี้ยวเมี้ยวของเราไป และยังจะให้คนตีข้าด้วย อาชิงเองก็กลัวมาก”
หลี่ต้าจ้วงตาโตขึ้นมาทันที “อะไรนะ? อย่างเจ้าคิดจะเลี้ยงเมี้ยวเมี้ยวอย่างนั้นหรือ ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาบ้างเถอะ เหตุใดถึงเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมดกันล่ะเนี่ย! ตอนนั้นข้ายังไม่เอาแต่ใจเหมือนเจ้าเลย”
“โดนพวกลูกพี่อินจัดการแล้วใช่หรือไม่ ทำตัวดี ๆ หน่อย! หากคิดจะตีอาชิงของเราอีก หรือทำตัวไม่ดีอีกข้าจะกดเจ้าลงในบ่ออึซะ”
ไท่ซ่างหวงก้าวเข้ามาในชั้นเรียนตอนเช้า ก็เห็นองค์ชายสิบนั่งอยู่ที่ประตูทันที กินจนตัวอ้วนกลมไปหมด เวลากระโดดไปมาส่งเสียงดังยิ่งกว่าปลาหลีที่จับได้สด ๆ ในแม่น้ำเสียอีก
จากนั้นจางตงไหลก็อุทานขึ้นมา ก่อนจะเข้าไปดู “องค์ชายสิบ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้พ่ะย่ะค่ะ?”
พวกอาฝูกำลังรอที่จะฟ้องไท่ซ่างหวงอยู่พอดี ปากเล็ก ๆ นั้นพูดกันไม่รู้จักจบจักสิ้น
ทว่าเมื่อสรุปแล้วกลับมีไม่กี่เรื่อง ลูกชายของฮ่องเต้หน้าไม่อาย คิดจะแย่งเสือน้อยของคนอื่น และยังจะตีคนด้วย
อาชิงเอ่ยแทรกขึ้นมา “ให้เขาเป็นเด็กรับใช้ของพี่ใหญ่เถอะขอรับ! นี่เป็นเชลยที่ข้ากับพี่หญิงจับได้เป็นครั้งแรก”
องค์ชายสิบพองขนขึ้นทันที “บ้านเจ้าน่ะสิ ใครจะเป็นเด็กรับใช้ให้พี่ใหญ่เจ้ากัน เขาคู่ควรอย่างนั้นหรือ?”
ไท่ซ่างหวงจึงเคาะศีรษะของเขาไปหนึ่งที “เจ้าจะเป็นเด็กรับใช้อย่างนั้นหรือ! แม้แต่ตัวหนังสือเจ้ายังรู้ไม่หมดเลยด้วยซ้ำ ยังคิดจะเป็นเด็กรับใช้อีก!”
องค์ชายสิบเบะปากออกมา แต่ไม่กล้าโวยวายกับไท่ซ่างหวง จึงทำได้แค่ร้องไห้เสียงดังออกมา
“ไม่ได้เรื่อง! ข้าจะเริ่มสอนแล้ว ไปนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ เดี๋ยวข้าค่อยจัดการกับเจ้า”
ตอนที่ซูเฟยได้ข่าวว่าองค์ชายสิบเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลเฉินคนเดียวก็ตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบพาคนมาตามทันที เดิมคิดว่าองค์ชายสิบจะก่อปัญหาอะไรอีก แต่ใครจะไปคิดว่าจะเห็นเด็กโง่นั่นนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ฟังไท่ซ่างหวงสอนหนังสือร่วมกับเด็กในหมู่บ้าน
คนรับใช้เอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “พระสนมเพคะ พวกเขาให้องค์ชายสิบของเรานั่งอยู่มุมห้องได้อย่างไรกันเพคะ?”
ซูเฟยคิดไม่ถึงว่าเจ้าสิบของนางจะถูกไท่ซ่างหวงลากมาเรียนหนังสือด้วย นี่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง องค์ชายเหล่านั้นมีคนใดบ้างที่เคยได้รับการสั่งสอนเช่นนี้
เดิมนางยังคิดว่าจะมาคิดบัญชี แต่เมื่อคิดดูอีกที “นั่งที่ธรณีประตูก็คุ้มค่าแล้ว ไป ๆ ๆ กลับไปเลี้ยงหนอนไหมกับข้า”
องค์ชายสิบไหนเลยจะนั่งเฉยอยู่ได้ เมื่อเห็นเสด็จแม่ของตัวเองมาแล้วก็จากไป เขาเกือบจะส่งเสียงเรียกออกไปอยู่แล้ว สายตาของเขามองไปที่ซูเฟยด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
แต่ซูเฟยกลับทำเป็นมองไม่เห็น เจ้าเด็กโง่ หานเหม่ยเหรินตายแล้ว ต่อไปตำแหน่งกุ้ยเฟยนั่นนางไม่ได้มาก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาก็คือตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพานั่นต่างหาก แม้แต่ตัวนางเองก็ยังต้องลดตัวมาสานสัมพันธ์กับพวกหญิงชาวบ้านพวกนั้น เขาโชคดีขนาดนี้มีอะไรต้องเศร้ากัน!
.
.
.