บทที่ 265 อย่าให้โอกาสแม้แต่จะคืนคำ
ตระกูลไป๋และตระกูลเยี่ยนเป็นสองตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาขุนศึกหลักทั้งสี่ และได้รับมอบหมายให้ดูแลกองทัพทหารเกราะเหล็กมากที่สุดด้วยเช่นกัน
ตอนที่ไท่ซ่างหวงยังดำรงตำแหน่งอยู่ พระองค์ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับตระกูลเหล่านี้ แต่หลังจากที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินกุมอำนาจก็ค่อย ๆ สนับสนุนพวกเขา คิดไม่ถึงว่าลับหลังพวกเขาจะสมรู้ร่วมคิดกันทำเรื่องเช่นนี้ได้
เซียวเย่เจ๋อส่งเสียงชิชะออกมา “พวกเขาเป็นปัญหาใหญ่ มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ แม้เราจะมีหลักฐานแต่หากพวกเขากลับคำไม่ยอมรับ บวกกับเดิมทีฮ่องเต้ก็เกรงกลัวแม่ทัพเผยอยู่แล้ว ไม่แน่อาจจะปกป้องพวกเขาก็เป็นได้”
จี้จือฮวนหัวเราะเสียงเย็นออกมา “คิดจะคืนคำอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะคืนคำได้สิ”
เผยยวนยื่นจดหมายในมือให้กับหลิวเฟิง แววตาของเขาเย็นชาลงเล็กน้อย “หลักฐานไม่เพียงพอก็ทำขึ้นมา หากพวกเขาต้องการปกปิด ก็ต้องปิดปากคนทั้งใต้หล้าให้ได้”
เซียวเย่เจ๋อ “???”
จี้จือฮวนตบบ่าของเซียวเย่เจ๋อเบา ๆ “ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง เคยได้ยินหรือไม่?”
เซียวเย่เจ๋อเข้าใจได้ในทันที “นี่…นี่จะเป็นการกระทำที่กำเริบเสิบสานเกินไปหรือไม่?”
จี้จือฮวนไม่คิดเช่นนั้น “พวกเขาแทบจะบีบคนจนตายอยู่แล้ว ทำลายวงศ์ตระกูลของพวกเขาแค่นี้ไม่เกินไปหรอก”
กองทัพทหารเกราะเหล็กที่ยอมฝ่าฟันอันตรายพิทักษ์ชายแดน ทว่าคนในครอบครัวกลับมาถูกคนรังแกเช่นนี้ ความแค้นนี้หากพวกเขาไม่ได้ชำระความ ก็ไม่สมควรอยู่เป็นคนแล้ว!
การฆ่าคนยังจะต้องเลือกฤกษ์งามยามดีอีกหรืออย่างไรกัน?
มีการเคลื่อนไหวที่หน้าประตู เป็นไป๋จิ่นที่เดินเข้ามาด้วยสภาพสะบักสะบอม บนหัวมีเพียงพอนขาวที่กำลังพองขนนอนขดตัวอยู่ และเตรียมจะข่วนหน้าไป๋จิ่นอีกรอบ
เมื่อเห็นเขา เซียวเย่เจ๋อก็เกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ พลางตะโกนขึ้น “เจ้าไปตายที่ไหนมา รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ข้าเกือบถูกคนฆ่าตายแล้ว”
ไป๋จิ่นสะบัดผมหนึ่งที “ไปต่อสู้ชี้ขาดมา ระหว่างทางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเลยเร่งความเร็วตามมา พวกเจ้า? จัดการเสร็จแล้วหรือ?”
เซียวเย่เจ๋อกลอกตามองบน “เหลวไหล พวกเราแค่ทลายรังโจรต้องใช้เวลาสามวันสามคืนเลยหรืออย่างไร?”
สามชั่วยามก็เพียงพอที่จะวิ่งไปกลับได้สิบรอบแล้ว
ไป๋จิ่นดีดเพียงพอนสีขาวที่แยกเขี้ยวยิงฟันออกไป เพียงพอนสีขาวตัวน้อยกำลังจะกระโดดกลับมา ทว่าดวงตาดำขลับกลับจ้องไปที่จี้จือฮวน จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของนางด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า และมองจี้จือฮวนเขม็ง
ไป๋จิ่นตกใจเป็นอย่างมาก เอื้อมมือจะไปคว้าเพียงพอนสีขาวตัวนั้นกลับมา “ข้าขอเตือนเจ้าว่า นี่เป็นคนที่ล่วงเกินไม่ได้ ไม่ใช่ว่าถูกคนเอาไปทำเป็นกระเป๋าขนสัตว์แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายเช่นไรหรอกนะ”
จี้จือฮวนไม่รู้ว่าเจ้าตัวนี้มาจากที่ใด แต่ดูขนปุกปุยนั่นน่ารักมากทีเดียว
“มันชอบเจ้า” มีเสียงสตรีที่คมชัดดังขึ้นจากด้านนอก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกระดิ่งเงิน เยว่พั่วหลัวเดินเข้ามาโดยมีทหารเกราะเหล็กสองสามนายเดินตามหลังนางมาด้วย
“เจ้ากับข้ายังไม่ทันรู้แพ้รู้ชนะก็หนีมาซะก่อน เพราะสู้ข้าไม่ได้หรือ?” เยว่พั่วหลัวเอ่ยจบก็มองไปทางไป๋จิ่น พลางจัดหัวของคนสองคนที่ตกอยู่หน้าประตูให้เรียบร้อย
ไป๋จิ่นเอ่ยขึ้นมาด้วยความโมโห “ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ? คนสำนักกู่อย่างเจ้าเหตุใดถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่เคยเปลี่ยนเช่นนี้กัน”
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้นี่ก็คือคนของสำนักกู่ นางกับสำนักกู่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ราชาร้อยกู่ในตัวของอาชิงมาจากสำนักกู่ วกไปวนมาก็นับว่าได้พบคนของตระกูลราชาร้อยกู่แล้ว
“เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังประลองกันอยู่หรือ?” ไป๋จิ่นเป็นพวกคลั่งพิษ ครั้งแรกที่เจอกันก็ร้องตะโกนอยากจะประลองกับนาง คนของสำนักกู่มาก็สามารถกระตุ้นความปรารถนาของเขาได้ คิดว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ไป๋จิ่นมองไปยังคนที่ตัวเองพึ่งพิง ก่อนจะรีบพยักหน้ารับ กลัวว่าจี้จือฮวนจะสั่งลงโทษไม่ให้เขากินข้าวคืนนี้
จี้จือฮวนชี้ไปที่โจรภูเขาที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้น “ในเมื่อจะประลองกัน ก็เอาพวกเขาไปฝึกมือเถอะ เหลือลมหายใจสุดท้ายให้พอพูดได้ก็พอ ที่เหลือพวกเจ้าจัดการได้ตามสบาย”
โจรภูเขา “???”
พวกเราตกลงด้วยแล้วอย่างนั้นหรือ!
เชลยเหล่านี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นคนงานด้วยซ้ำ จี้จือฮวนจึงจับพวกเขากลับไปเป็นพยาน ฮวาเซียงเซียงก็ต้องตามไปที่หมู่บ้านตระกูลเฉินด้วย
ในรังโจรแห่งนี้ยังมีรถม้าหลายคันที่ปล้นมา ดังนั้นจึงเลือกคันที่สะอาดหน่อยให้ฮวาเซียงเซียงเข้าไปนั่ง โชคดีที่เซียวเย่เจ๋อก็ตามมาด้วย ฮวาเซียงเซียงถึงจิตใจสงบลง
“พวกที่บางครั้งมีเวลาก็มาทำงานที่ครัวของพวกเรา เป็นกองทัพทหารเกราะเหล็กของหย่งกวานโหวจริงหรือ?”
เซียวเย่เจ๋อกระแอมเล็กน้อย “จะโกหกไปทำไมกัน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องจากด้านหลังรถม้า ฮวาเซียงเซียงสะดุ้งขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร แค่พวกเชลยเท่านั้น” คงถูกไป๋จิ่นกับหลัวอะไรนั่นทรมานเป็นแน่ แต่ก็นับว่าเป็นบุญของพวกโจรภูเขาแล้ว ที่ลูกพี่ฮวนยอมไว้ชีวิตพวกเขา ยังมีอะไรไม่พอใจอีก
ฮวาเซียงเซียงยังไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร แต่จู่ ๆ ก็ตบไปที่หลังของเซียวเย่เจ๋อหนึ่งที เกือบทำให้เขากลิ้งตกลงจากรถม้าเสียแล้ว
“เช่นนั้นวันนี้ไม่เท่ากับข้าได้ร่วมปราบโจรด้วยน่ะสิ ข้าบอกแล้วว่าพ่อข้าเป็นเสือลูกก็ต้องไม่เป็นหมาอยู่แล้ว ข้าร้ายกาจจะตายไป!”
เซียวเย่เจ๋อปรับลมหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ย “เถ้าแก่เนี้ยฮวา พวกเราค่อย ๆ พูดกันก็ได้ ข้าเพิ่งจะถอนพิษงูมา ทำอะไรช่วยเบามือหน่อยจะได้หรือไม่?”
ฮวาเซียงเซียงใช้กำปั้นทุบเขาเบา ๆ ไปอีกหนึ่งครั้งด้วยความเขินอาย “คนเขาดีใจนี่นา เพราะเพิ่งจะรอดตายมาได้ แต่เจ้าวางใจเถอะ ต่อไปของอร่อยที่ฮวนฮวนเอามา ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้าชุดหนึ่ง”
นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็ขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย ใบหน้ากลม ๆ ที่ประดับด้วยดวงตาแดงก่ำที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา บวกกับกลิ่นแป้งบนกาย ทำให้เซียวเย่เจ๋อหันหน้าหนีทันที น้ำเสียงไม่เป็นธรรมชาติเท่าใดนัก “เช่นนั้นก็เยี่ยมเลย”
ฮวาเซียงเซียงรู้สึกมีความสุข “ชิ เจ้าเล่าเรื่องกองทัพทหารเกราะเหล็กให้ข้าฟังหน่อยสิ สามีของฮวนฮวนเหตุใดถึงกลายเป็นหย่งกวานโหวได้เล่า?”
เซียวเย่เจ๋อเองก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จึงทำได้เพียงเลือกพูดเฉพาะเรื่องสำคัญ
ฮวาเซียงเซียงฟังแล้วก็ทั้งหัวเราะและร้องไห้ออกมา “สวรรค์ เจ้าสารเลวพวกนี้ หากไม่ใช่เพราะสวรรค์คุ้มครอง ครอบครัวของกองทัพทหารเกราะเหล็กมิเท่ากับต้องพบกับหายนะหรอกหรือ แม้แต่ผู้หญิงก็ยังไม่ยอมปล่อย พวกไร้มโนธรรม! เฮ้อ ยังดีที่ฮวนฮวนของเราเก่งกาจ ไม่เช่นนั้นแม่ทัพเผยไม่ถูกพวกเขาฆ่าตายไปแล้วหรอกหรือ”
เซียวเย่เจ๋อเองก็รู้สึกเศร้าใจเช่นกัน ขณะที่กำลังคิดว่าจะเอ่ยปลอบนางนั้น ก็สงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดน้ำตาของนางบทจะไหลก็ไหลออกมาง่าย ๆ เวลาด่าคนไม่หอบหรืออย่างไร?
มีน้ำตาให้ไหลได้มากเพียงนี้เชียวหรือ?
“เถ้าแก่เนี้ยฮวา ความจริงพวกเขา…”
ฮวาเซียงเซียงตบต้นขาไปหนึ่งที “ข้าคิดออกแล้ว เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายส่งไปให้พ่อของข้า ให้เขาดูแลครอบครัวของเหล่าทหารให้ดี”
“เรื่องนี้บ้านข้ามีนกอยู่ ส่งจดหมายเร็วกว่านกพิราบทั่วไป รับรองว่าพ่อเจ้าจะต้องได้รับอย่างแน่นอน”
ฮวาเซียงเซียงมีแรงขึ้นมาทันที “เจ้ายังทำการค้ากับฮวนฮวนอยู่ไม่ใช่หรือ ข้าได้ยินฮวนฮวนบอกว่า นางจะเปิดโรงงานผลิตเวชสำอางและทำทะเลสาบเกลือ ดังนั้นการขนส่งสินค้าในแถบเจียงหนานมอบหมายให้กองเรือของเราได้เลย เห็นแก่ที่เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ จวนซิ่นอู๋โหวของพวกเจ้าเราก็จะไม่เก็บเงินด้วย”
เซียวเย่เจ๋อกะพริบตาปริบ ๆ คนไม่ขาดแคลนเงินช่างดีจริง ๆ แล้วตระกูลเซียวของพวกเขายังจะกล้าบอกใครว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในต้าจิ้นได้อีกหรือ ดูสิ่งที่ลูกสาวหัวหน้ากองเรือพูดสิ ช่วยประหยัดได้มากมายเพียงใดกัน
“อย่าเลย ข้าไม่อยากเอาเปรียบเช่นนี้ เจ้าบอกเองว่าเราคือมิตรภาพที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ไม่สู้เจ้าไปเปิดสาขาที่เมืองหลวงดีกว่า วันหน้าข้าอยากกินอะไรก็จะได้สะดวก”
“ตกลง! เปิดสาขาเมื่อใด ข้าจะเก็บห้องส่วนตัวไว้ให้เจ้าอย่างแน่นอน กินให้เต็มที่” ฮวาเซียงเซียงเอ่ยถึงตรงนี้ก็ขยับไปข้างหน้า “มา เกี่ยวก้อยสัญญากัน”
เซียวเย่เจ๋อมองไปที่นิ้วมือเล็ก ๆ ของนางที่ยื่นมา กำลังจะบอกว่าคงไม่ดีกระมัง ก็ถูกฮวาเซียงเซียงดึงนิ้วเรียวยาวของเขามาเกี่ยว และประทับนิ้วมือเองเสร็จสรรพ “ข้าไม่ขาดเงิน นับว่าเจ้าเก็บสมบัติได้ และได้รู้จักกับสหายอย่างข้า”
เซียวเย่เจ๋ออยู่มาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา
นางไม่ขาดแคลนเงิน ความรู้สึกนี้แปลกใหม่มากทีเดียว
.
.
.