บทที่ 280 เจ้าหุบปากไปเลยดีกว่า
จี้จือฮวนรู้สึกว่าบางครั้งเผยยวนก็ทำตัวเหมือนสุนัขที่ไร้ยางอายสิ้นดี
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องทักทายแล้ว ดึกดื่นป่านนี้พวกเด็ก ๆ คงนอนกันหมดแล้ว”
ได้ยินคำตอบเช่นนี้เผยยวนก็ไม่อยากจะเชื่อ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความน้อยใจเล็กน้อย “เจ้าได้ข้าแล้วก็ทิ้ง”
จี้จือฮวน “…”
คำนี้เอามาใช้เช่นนี้หรือ?
“เจ้าหุบปากไปเลยดีกว่า”
จี้จือฮวนรู้สึกว่าครั้งนี้แช่น้ำพุร้อนนานเกินไปแล้ว เวลาคิดอะไรจึงเริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็มีเม็ดฝนตกลงมาบนใบหน้า
โชคดีที่เผยยวนฉีกผ้าที่ใช้บังรอบ ๆ มา ก่อนจะอุ้มนางเข้าไปในกระท่อมไม้
หลังจากจุดเตาถ่านในกระท่อมเสร็จแล้ว จี้จือฮวนที่ฟังเสียงฝนด้านนอกก็รู้สึกงุนงงขึ้นมา
ฝนตกลงมาอย่างกะทันหัน จากเดิมที่แค่โปรยปรายลงมาเบา ๆ จู่ ๆ ก็ราวกับฟ้ารั่วอย่างไรอย่างนั้น ฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วตกกระทบหลังคาอย่างแรง ทำให้น้ำกระเซ็นไปทั่ว
เผยยวนไปหยิบไข่ต้มที่น้ำพุร้อนด้านนอกกลับมา ทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกโชกไปหมด “คืนนี้เกรงว่าคงจะกลับไปไม่ได้แล้ว”
ทางบนภูเขานั้นเดิมก็เดินลำบากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อฝนตกหนักขนาดนี้ อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
จี้จือฮวนเห็นว่าผมของเผยยวนผ่านไปครู่หนึ่งก็แห้งสนิทแล้ว ดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “นี่เป็นเพราะกำลังภายในอย่างนั้นหรือ?”
“อืม”
“ข้าอยากเรียน”
จี้จือฮวนเคยเห็นแต่ในนิยายกับในละคร โลกของคนในนิยายทำได้ทุกอย่างจริง ๆ
“แต่ตอนนี้พวกเรามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ”
จี้จือฮวนนั่งพิงหมอนนุ่ม มองดูเขาค่อย ๆ โน้มตัวลง…
ฝนข้างนอกตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ดอกไม้เล็ก ๆ ตามพุ่มไม้ก็แกว่งไกวไปมาท่ามกลางลมและฝน
ทันใดนั้นข้างนอกก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ทำให้ภายในห้องที่มืดสลัวสว่างไสวราวกับตอนกลางวัน ผมสีดำสยายอยู่บนผ้าห่มขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวราวกับหิมะ กิ่งของต้นไห่ถังสั่นไหวเล็กน้อยเนื่องจากลมที่พัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง
ขับให้ดอกเหมยสีแดงที่ปรากฏอยู่บนผ้าห่มที่ขาวราวกับหิมะ ยิ่งดูนุ่มนวลมากขึ้นไปอีก
เผยยวนรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าช่างดูงดงาม
ราวกับว่ายังอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน ผิวของน้ำกระเพื่อม และหิมะในฤดูหนาวก็หลอมละลายอยู่ในฝ่ามือ
เส้นทางคดเคี้ยวที่นำไปสู่สถานที่เงียบสงบ คนจนน้ำล้นทะลักปากบ่อออกมา ทำให้บรรยากาศโดยรอบแฝงไว้ด้วยความร้อนระอุ ราวกับว่าเตาไฟนั่นกำลังสร้างปัญหา
ลมฝนอดทนมากพอ รอให้คราบน้ำกระเซ็นออกมา จากนั้นจึงมุดเข้าไปในผนังถ้ำตรงหน้าผา
ประตูปิดสนิท เหล็กกล้าบริสุทธิ์ทว่าอ่อนนุ่มเมื่ออยู่ในฝ่ามือ และในที่สุดช่องว่างนั้นก็ถูกเจาะผ่านด้วยหยดน้ำ ลมและฝนแผ่ซ่านไปทั่ว ทันใดนั้นราตรีที่สงบเงียบ ก็ถูกคลื่นระลอกใหม่ถาโถม
เสียงลมหวีดหวิวกลบเสียงร้องเบา ๆ ไปจนสิ้น
แต่จู่ ๆ จี้จือฮวนก็ฝืนกายลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก เผยยวนก็สังเกตเห็นบางอย่างเช่นกัน
หลังจากวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง เผยยวนก็รินน้ำอุ่นจากกาน้ำชาที่เตรียมเอาไว้ให้นางหนึ่งถ้วย เขาปรับลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวนอนลงซ้อนหลังของนาง พลางกดฝ่ามือลงบนท้องน้อยของนาง “ครั้งนี้ไม่ทรมานเหมือนครั้งก่อนแล้วกระมัง”
ช่วงที่ผ่านมานางไม่ได้เป็นหวัดและดูแลตัวเองอย่างดี
จี้จือฮวนรู้สึกอับอายเล็กน้อย ระดูของนางมาไม่ตรง บทจะมาก็มาไม่มีการเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด
ความเจ็บปวดทำให้นางไม่มีเรี่ยวแรง จึงเอนกายอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนแรง
เผยยวนห่มผ้าให้นางและตัวเอง “นอนเถอะ”
“หากเจ้าทรมาน…”
“ไม่ทรมาน เจ้าสำคัญกว่า”
จี้จือฮวนเอาหัวหนุนแขนของเขาและค่อย ๆ เข้าสู่นิทราด้วยจิตใจที่สงบ
ทว่าเผยยวนไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ จึงลืมตามองนางอยู่เช่นนั้น ฝนด้านนอกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ ดูท่าพวกฮ่องเต้เซี่ยเจินคงต้องหลบฝนอยู่ในป่าเป็นแน่
…
หมู่บ้านตระกูลเฉิน
ไป๋จิ่นหยิบอ่างไม้ออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะย้ายงูของเขาไปไว้ในรัง บ้านที่ทรุดโทรมฝนตกทีไรจึงรั่วทุกที
ขณะกำลังเตรียมจะกลับไปที่ห้องเพื่อนอนต่อ เยว่พั่วหลัวก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับผี
ไป๋จิ่นตกใจอย่างแรง หลังจากมองเห็นชัดแล้วก็ต่อว่านางทันที “ดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่หลับไม่นอน เจ้าจะทำให้ข้าตกใจตายหรืออย่างไร!?”
เยว่พั่วหลัวหายใจกระชั้น จ้องหน้าเขาราวกับยากจะอดทนได้อีก พลางเอ่ยขึ้นมา “เหตุใดเจ้าไม่ซ่อมหลังคา?”
ที่ห้องของนางก็รั่วเหมือนกัน! อีกทั้งยังรั่วไม่เท่ากันเลยสักรู นางฝืนลืมตามองมาหนึ่งชั่วยามแล้ว อยากออกไปซ่อมหลังคาใจจะขาด แต่ก็รู้ว่าตัวเองทำไม่เป็น!
“ห้องของเจ้าเดิมไม่มีคนอยู่ มีอะไรต้องซ่อมกัน”
เยว่พั่วหลัวเอื้อมมือไปบีบคอของเขา “ไปซ่อมให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!!”
ไม่อย่างนั้นคืนนี้ใครก็อย่าหวังว่าจะได้นอน!!
“เจ้าจะปล่อยมือหรือไม่!”
“ไม่ปล่อย!!!”
“ได้! สู้ก็สู้ คืนนี้ข้าจะทำให้เจ้าเรียกข้าว่าพ่อให้ได้”
“เจ้าเรียกข้าว่าแม่ก่อนเถอะ!” เยว่พั่วหลัวเตะเก้าอี้และลงมือเล่นงานไป๋จิ่นทันที ทำให้งูในห้องเลื้อยพันกันเป็นก้อนด้วยความตกใจ และตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง
หมู่บ้านเงียบสงบ พวกเด็ก ๆ นอนหลับสนิทบนเตียงของพวกเขา
เพื่อนบ้านหลายหลังที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็เงี่ยหูฟัง เมื่อได้ยินเสียงบ้านข้าง ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็รู้สึกนอนไม่หลับและเริ่มบ่นขึ้นมา
“เสี่ยวไป๋นี่จริง ๆ เลย เหตุใดถึงได้หยาบคายเช่นนี้ ยังจะตีเมียอีก เดิมก็ทำนาไม่เป็นอยู่แล้ว การที่จะมีผู้หญิงมาชอบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปต่อว่าเขาสักหน่อย ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ”
“คงไม่ได้มีลูกก่อนแต่งหรอกกระมัง”
“โอ๊ย เรื่องนี้ก็พูดยาก”
…
บนเนินเขา
เซียวเย่เจ๋อก็เปิดประตูห้องออกมาทันที ฮวาเซียงเซียงที่อยู่ห้องข้าง ๆ ได้ยินเสียงก็ชะโงกหน้าออกมาเช่นกัน
เซียวเย่เจ๋อชะงักมือฉับพลัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ผู้ใด?”
“ข้าเอง!” ฮวาเซียงเซียงเอ่ยเสียงเบา
เสียงที่คุ้นเคย
เซียวเย่เจ๋อจุดเทียน ก่อนจะเห็นว่าฮวาเซียงเซียงชะโงกหัวเล็ก ๆ ออกมา
“เถ้าแก่เนี้ยฮวา ดึก ๆ ดื่น ๆ เจ้าไม่หลับไม่นอน ทำอะไรอยู่?”
“ฮวนฮวนยังไม่กลับมาเลย?! ด้านนอกฝนตกหนัก ต้องอยู่แปลกที่คนเดียวก็เลยไม่ชิน”
“หืม? แม่ทัพเผยก็ยังไม่กลับมาเหมือนกัน ข้าฝืนจนตาแดงไปหมดแล้ว ดูท่าสองคนนั่นคงออกไปเที่ยวเล่นสนุกลับหลังพวกเรากระมัง”
ทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเบนสายตาหนี
“เช่น…เช่นนั้นเจ้าลุกขึ้นมาจะไปที่ใด?”
“ข้าจะไปห้องส้วม เจ้ายังไม่นอนหรือ?”
“ข้าจะไปนอนเดี๋ยวนี้แหละ” ฮวาเซียงเซียงกำลังจะปิดประตู ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เซียวเย่เจ๋อสวมแต่เสื้อตัวใน ช่างน่าอายจริง ๆ
“นี่” เซียวเย่เจ๋อเคาะประตู “เจ้าหิวหรือไม่ ข้าจะไปเอาของกินที่ห้องครัวด้วย ข้าเห็นจี้จือฮวนตุ๋นตีนไก่เอาไว้ ยังมีถั่วลิสงต้มเกลือด้วย”
“ดีเลย” ฮวาเซียงเซียงกำลังจะเดินไปเปิดประตู ก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “เจ้าไปหยิบของกินก่อน ข้าจะไปเอาเหล้ามา” นางต้องสวมเสื้อนอกก่อน ไม่อย่างนั้นคงดูไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก
“ตกลง!” อย่างไรเสียเซียวเย่เจ๋อก็นอนไม่หลับ ข้างนอกลมฝนรุนแรง ไม่สู้นั่งพูดคุยเรื่องประสบการณ์การค้า พรุ่งนี้เช้านางก็จะไปแล้ว อยากจะคุยด้วยอีกก็ไม่รู้ว่าจะได้คุยกันวันไหนหรือปีไหน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็สนใจเรื่องในอดีตของกลุ่มกองเรือไม่น้อย ทว่าไม่สามารถหาคนวงในมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเขาจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไรกัน
ฮวาเซียงเซียงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งรอเขาที่ห้องโถง เซียวเย่เจ๋อวางตีนไก่กับถั่วลิสงลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าพ่อของเจ้าเคยปะทะกับโจรสลัดมาแล้วหลายครั้ง สู้กันเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
.
.
.