บทที่ 286 ทะเลสาบเกลือเปิดกิจการ
“หาที่ใหม่อะไรกัน ข้าว่าให้ไปอยู่บ้านข้าดีที่สุดแล้ว” ฮวาเซียงเซียงเดินเข้ามาพลางพิจารณามู่หรงจาว “หน้าตางดงามจริง ๆ พ่อของลูกเจ้าเล่า?”
ฮวาเซียงเซียงไม่ขาดแคลนเงินและมีคุณธรรมเหมือนพ่อของนาง เมื่อเห็นผู้หญิงด้วยกันมีชีวิตที่ยากลำบากก็ชอบช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ยกกระทะเหล็ก รถเข็น และมีดดี ๆ เช่นนั้นให้จี้จือฮวนตั้งแต่แรกหรอก
หากไม่รู้ฐานะของมู่หรงจาว จี้จือฮวนไม่มีทางเห็นด้วยที่ฮวาเซียงเซียงจะรับคนที่มีความเป็นมาเป็นไปไม่ชัดเจนคนหนึ่งเอาไว้อย่างแน่นอน
แต่จักรพรรดินีที่เหยียบย่ำบุรุษ และทำเรื่องต่าง ๆ อย่างบ้าระห่ำในนิยายผู้นี้ต่างออกไป
มู่หรงจาวได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลง และพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “เด็กคนนี้ไม่มีพ่อเจ้าค่ะ”
ฮวาเซียงเซียงได้ยินดังนั้นก็รู้ได้ทันที เป็นคนที่น่าสงสารอีกคนสินะ
“ที่บ้านข้าเปิดเป็นภัตตาคาร แต่มีสาวใช้และเสี่ยวเอ้ออีกหลายคน นอกจากนี้ยังมีพ่อครัว แม่ครัวอยู่ด้วย หากเจ้าไม่ถือสาก็สามารถมาอยู่กับข้าได้ รอจนเจ้าคลอดลูกออกมาก่อน”
ส่วนหมู่บ้านตระกูลเฉินมีคนมากมายเพียงนั้น นางไปอยู่ที่นั่นก็คงไม่เหมาะเท่าไรนัก และฮวาเซียงเซียงก็ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นลูกไม้อะไรได้
มู่หรงจาวเงยหน้าขึ้น “แม่นางทั้งสองไม่กลัวว่าข้าจะเป็นคนไม่ดีหรือเจ้าคะ?”
ระหว่างทางนางขอร้องผู้คนมานับไม่ถ้วน มีใครเต็มใจรับนางไว้ด้วยความจริงใจบ้าง? บ้างก็เห็นว่านางหน้าตางดงามจึงคิดจะฉวยโอกาส แต่เมื่อเห็นท้องของนางแล้ว ผู้ชายเหล่านั้นก็รีบวิ่งหนีจนไม่เห็นแม้แต่เงา
นางร่อนเร่อยู่หลายวันจนมาถึงตำบลฉาซู่ กลับเจอคนสองคนที่เต็มใจรับนางไว้
อย่าว่าแต่พวกจี้จือฮวนจะกลัวนางหรือไม่เลย ตัวมู่หรงจาวเองก็ไม่กล้ารับปากส่งเดชเพราะกลัวว่าพวกนางจะเอาตัวนางไปขายเช่นกัน
จี้จือฮวนมองความกังวลของนางออก “ในเมื่อข้ากล้ารับเจ้าเอาไว้ ข้าย่อมไม่กลัวว่าเจ้าจะสร้างปัญหา เจ้าอยู่อย่างสบายใจเถอะ”
ว่าที่จักรพรรดินี
มู่หรงจาวซาบซึ้งใจจนไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี จนกระทั่งฮวาเซียงเซียงประคองนางออกมา เมื่อเห็นเผยยวนที่รออยู่ด้านนอก ทันใดนั้นมู่หรงจาวก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความตื้นตันใจ “ไม่ทราบว่าท่านคือแม่ทัพเผย เผยยวนใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อครู่ตอนที่ถูกคนอุ้มมู่หรงจาวไม่กล้ามองหน้า เพียงแค่มองตามแผ่นหลังของจี้จือฮวนเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างชัด ๆ เขาก็คือเผยยวนไม่ใช่หรอกหรือ?
เผยยวนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
มู่หรงจาวปล่อยมือจากฮวาเซียงเซียง ก่อนจะคุกเข่าลงคารวะให้กับเผยยวน “แม่ทัพเผยอาจจะไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักท่านดีเจ้าค่ะ ตอนนั้นที่เผ่าของเราถูกลอบโจมตีและเกือบตายทั้งเผ่า กลายเป็นหมูหมาใต้คมดาบของคนชั่ว ก็ได้ท่านที่พาทหารผ่านมาช่วยพวกเราเอาไว้พอดี”
เผยยวนไม่เพียงเป็นเทพสงครามในใจของชาวต้าจิ้นเท่านั้น แต่ยังมีบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อราษฎรของชนเผ่าต่าง ๆ ตามชายแดนอีกด้วย โจรขี่ม้าและโจรพเนจรรังควานราษฎรมานาน เมื่อถึงฤดูหนาวก็จะมาปล้นชิงเสบียง จับผู้หญิงไปขังเอาไว้ในกรง ไม่สู้ตายเสียยังดีกว่า
หากพวกเขาไม่ได้พบเผยยวนในปีนั้น พวกเขาคงเสียวัว แกะ และเสบียงอาหารทั้งหมดไปเป็นแน่
เผยยวนจำไม่ได้จริง ๆ แต่กลับเป็นมู่หรงจาวที่จดจำแม่ทัพของต้าจิ้นท่านนี้ได้มาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบเขาที่นี่
“เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ เจ้าท้องโตเช่นนี้ไม่เหมาะที่ข้าจะรับการคารวะจากเจ้า”
มู่หรงจาวไม่ใช่คนที่พิรี้พิไร นางจึงรีบลุกขึ้นและเอ่ยขอบคุณเขา “แม้แม่ทัพเผยจะไม่ต้องการ แต่มู่หรงจาวและคนในเผ่าจะจดจำบุญคุณของท่านตลอดไปเจ้าค่ะ”
ฮวาเซียงเซียงมองหน้ามู่หรงจาว จากนั้นก็มองหน้าจี้จือฮวนสองสามีภรรยา “เฮ้อ พวกเจ้านี่ช่างมีวาสนาต่อกันจริง ๆ เมื่อก่อนแม่ทัพเผยช่วยเจ้าเอาไว้ บัดนี้ภรรยาของเขาก็ช่วยเจ้าเอาไว้อีก โอ้โฮ เจ้านี่ช่างเป็นคนมีวาสนาจริง ๆ”
มู่หรงจาวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจได้ทันที คิดไม่ถึงว่าผู้มีพระคุณจะมีสามีแล้ว ทั้งยังแต่งกับแม่ทัพเผยอีกด้วย
นางจึงเลือกจะคารวะตามธรรมเนียมของชนเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน ปากก็พึมพำไปด้วย หวังว่าสวรรค์จะช่วยคุ้มครองคนดี ๆ คู่นี้
หลังจากพามู่หรงจาวไปส่งที่เค่ออวิ๋นไหลเรียบร้อยแล้ว ทั้งครอบครัวจึงได้เตรียมตัวกลับกัน
อย่างไรเสียฟ้าก็มืดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เร่งรีบ เผยยวนเดินจูงม้าไป โดยที่จี้จือฮวนกับอาฉือนั่งอยู่บนหลังม้า
“ท่านแม่ขอรับ มู่หรงจาวผู้นั้นแม้ว่าจะน่าสงสาร แต่ว่านางมีความเป็นมาเป็นไปไม่ชัดเจน พวกเราอย่าเชื่อใจนางมากจะดีกว่านะขอรับ”
จี้จือฮวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่รู้ดี ที่รับนางเอาไว้แม่มีจุดประสงค์อื่นด้วย”
อาฉือหันหน้าไป “นางเป็นแค่ผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่ง มีประโยชน์อันใดต่อพวกเราด้วยหรือขอรับ?”
“ประการแรก แม่สงสารชีวิตของนางในตอนนี้ ประการที่สอง ยังไม่สะดวกที่จะบอกเจ้าในตอนนี้ ถือเป็นความลับเล็ก ๆ แต่ภายหน้าเจ้าจะมีโอกาสได้ติดต่อพูดคุยกับนางอีกหลายครั้งอย่างแน่นอน”
อาฉือไม่เข้าใจ เขากับผู้หญิงต่างเผ่า อีกทั้งนางยังโตกว่าเขามาก จะมีโอกาสติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไร
เผยยวนได้ยินนางพูดเป็นนัย ๆ ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยในตัวมู่หรงจาวผู้นั้นมากขึ้นไปอีก
…
ในขณะที่การต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพากำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ตำบลฉาซู่ก็เริ่มเป็นที่รู้จักเนื่องจากฮ่องเต้เซี่ยเจินเคยมาคารวะไท่ซ่างหวงที่นี่ถึงสามครั้ง
บัณฑิตหลายคนจึงมาเยี่ยมชมที่นี่ บวกกับชื่อเสียงของเค่ออวิ๋นไหล ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันล้วนเกี่ยวกับอาหารใหม่ ๆ ของเค่ออวิ๋นไหล ราวกับว่าคนที่ไม่เคยกินอาหารของเค่ออวิ๋นไหลไม่นับว่าเป็นนักชิม และไม่เข้าใจอาหารรสเลิศ
เรื่องการตามสมัยนิยม ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน จะในหรือต่างประเทศ เมื่อมีคนเริ่มไม่ว่าสิ่งนั้นจะอร่อยหรือไม่ ก็มักจะมีความพิเศษอยู่เสมอ
ส่วนกิจการทะเลสาบเกลือของหมู่บ้านตระกูลเฉิน ก็ได้เริ่มทำการตากเกลืออย่างเป็นทางการในวันที่อากาศดีและเงียบสงบ
จี้จือฮวนวางแผนที่จะทำเกลือออกมาเป็นหลายชนิด คนทางเจียงหนานให้ความสำคัญกับความประณีต มั่งคั่ง จะต้องขายเกลือเกล็ดหิมะ ซึ่งไม่แตกต่างจากเกลือหลวงชั้นดี หากต้องการเพิ่มความพิเศษก็ต้องทำเกลือไม้ไผ่ เกลือหนิงเหมิง* ที่เหลือจะทำเป็นเกลือกุหลาบที่ใช้สำหรับความงาม
* หนิงเหมิง (柠檬) เลมอน
และตอนนี้พวกชาวบ้านก็เพิ่งจะรู้ว่าทะเลสาบที่ไม่มีใครสนใจบนภูเขาด้านหลังคือทะเลสาบน้ำเค็มที่ใช้ทำกิจการทะเลสาบเกลือของพวกเขา โชคดีที่ไม่ถูกราชสำนักพบเข้า
ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องถูกต้อนไปทำเกลือกันหมดแน่ และไม่แน่ว่าจะได้เงินมากน้อยเพียงใด ไร่นาที่เป็นของครอบครัวก็คงไม่มีเวลาไปเพาะปลูกอีก
ฮวนฮวนมีความสามารถและยังโชคดีอีกด้วย ดังนั้นจึงมีวิธีหาเงินทางแล้วทางเล่า ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก
คนของจวนจี้กั๋วกงที่ถูกจับมาเป็นเชลยก็ตกตะลึงเช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาจะโกรธแค้นจี้จือฮวน แต่เมื่ออยู่ที่นี่นานวันเข้าก็รู้ว่าจี้จือฮวนมีความสามารถมากจริง ๆ
อย่าว่าแต่จับเผยยวนได้อยู่หมัดเลย แม้แต่ทหารเหล่านั้นก็เคารพเลื่อมใสนาง ตอนนี้ยังมีทะเลสาบเกลืออีก!
พวกเขารู้สึกสิ้นหวังที่จะได้กลับไปแล้วจริง ๆ
ยังคิดว่าฮ่องเต้มาแล้วจะสามารถคืนความเป็นธรรมให้พวกเขาได้ และพาพวกเขาไปจากที่นี่ จัดการเผยยวนและจี้จือฮวนไม่ช้าก็เร็ว
แต่ตอนนี้นางมีสิ่งนี้อยู่เงินย่อมไหลมาเทมา หากราชสำนักคิดจะจัดการนาง ด้วยนิสัยของนางย่อมไม่กลัวอย่างแน่นอน
บรรดาคุณหนูของจวนจี้กั๋วกงรวมตัวกันเก็บหินเกลือ
“ไม่รู้ว่าจี้หมิงซูนางสารเลวนั่นตายแล้วหรือยัง!”
“หากไม่ใช่เพราะนาง พวกเราจะถูกจี้จือฮวนจับมาเช่นนี้หรือ ตอนนี้ฝ่าบาทก็กลับไปแล้ว ดูท่าพวกเราคงจะต้องอยู่นี่ไปตลอดชีวิตเสียแล้วล่ะ”
“ข้าไม่เต็มใจ ข้าอายุยังน้อย ข้ายังอยากจะแต่งงานอยู่นะ”
คนที่อายุน้อยที่สุดเบะปากออกมา “ร้องไห้มีประโยชน์อันใด ตอนที่จี้จือฮวนแต่งออกไปคิดว่านางอายุมากแล้วอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อมาแล้วก็จงอยู่ให้เป็นสุข ไม่แต่งงานก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“เจ้าจะไปรู้อะไร เดิมพวกเราอยู่ดีกินดีกว่านี้นะ”
“แต่พวกเราถูกยึดอำนาจแล้ว ที่บ้านยังมีคนมากมายต้องเลี้ยงดู ไม่แน่อาจจะถูกขายให้ไปเป็นอนุก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นอยู่ไม่สู้ตาย ไม่สู้อยู่ทำงานที่หมู่บ้านตระกูลเฉินซะยังจะดีเสียกว่า”
เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น ทุกคนต่างก็เงียบลง ใช่แล้ว บนโลกนี้ไม่มีจวนจี้กั๋วกงอีกต่อไปแล้ว
“จี้หมิงซูนางสารเลว นางจะต้องไม่ตายดี พวกเราทำผิดต่อจี้จือฮวน แต่ไม่เคยทำผิดต่อนาง เรื่องอะไรนางถึงไม่เจอความลำบากอย่างที่พวกเราเจอ! ข้าขอสาปแช่งนางให้นางอยู่ไม่สู้ตายอยู่ในคุกนั่น”
.
.
.