บทที่ 295 เตรียมกักตุนอาหาร
เมื่อเซียวหรงหรงกลับมาถึงบ้าน ก็รับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เซียวเย่เจ๋อกลัวว่านางจะหลบหน้า จึงตั้งใจมารอนางตรงที่ที่นางจะต้องเดินผ่าน
“ไปที่ใดมา?” เซียวเย่เจ๋อเอ่ยถามด้วยท่าทางเย็นชา
เซียวหรงหรงคิดคำแก้ตัวเอาไว้ก่อนแล้ว “ไม่ได้ไปที่ใดนี่นา ข้าแค่ไปเดินเล่นที่ตลาด เดิมคิดจะไปรับท่านอาน้อยกลับบ้าน แต่นางยังไม่เลิกเรียนข้าจึงกลับมาก่อน”
เซียวเย่เจ๋อตบโต๊ะทันที “เจ้ายังจะโกหกอีกหรือ!”
เซียวหรงหรงสะดุ้งขึ้นมา ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาทันที “ข้าไม่ได้ไปที่ใดจริง ๆ”
“จะไม่พูดความจริงใช่หรือไม่ เซียวผิง ลากคนที่ติดตามนางในวันนี้ทั้งหมดไปสอบปากคำ แล้วเก็บข้าวของของคุณหนูส่งไปที่บ้านเก่าทันที”
บ้านเก่าย่อมมีแม่นมชรามากมายคอยสอนกฎระเบียบนางใหม่ ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีอิสระเหมือนอยู่ที่จวนอีกแล้ว
เซียวหรงหรงย่อมไม่กล้าแข็งข้อต่อเซียวเย่เจ๋ออีก จึงทำได้เพียงเล่าเรื่องของจี้หมิงซูให้เขาฟัง
เซียวเย่เจ๋อเดินวนไปวนมาด้วยความโมโหอยู่สองรอบ พลางใช้นิ้วจิ้มไปที่หัวของเซียวหรงหรงจนแทบจะกลายเป็นรูอยู่แล้ว
“สมองเจ้าถูกสุนัขแทะไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ จี้หมิงซูจะเป็นคนดีได้อย่างไร? ผู้คนพูดถึงนางว่าอย่างไรเจ้าไม่ได้ยินหรือ!? ไม่เคยได้ยินก็ไม่รู้จักไปสืบข่าวก่อนหรืออย่างไร? เจ้ายังจะเอาเงินไปให้นางอีก!? เซียวผิง ไปตามเอาเงินคืนมา! …เดี๋ยวนะ จี้หมิงซูอยู่ในคุกไม่ใช่หรือ? นางออกมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เซียวหรงหรงเงยหน้าขึ้น “ก่อนหน้านี้หานกุ้ยเฟยเอาตัวนางออกมา เรื่องนี้พวกเราไม่สามารถควบคุมได้”
ตระกูลเซียวคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง ไม่เคยขัดใจกับตระกูลอื่น แค่มีเงินก็พอแล้วพวกเขาไม่แสวงหาอำนาจ ดังนั้นหานกุ้ยเฟยเป็นคนนำตัวจี้หมิงซูออกมา เซียวเย่เจ๋อจึงไม่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้ และเขาก็ไม่สามารถนำคนกลับไปส่งทางการได้ ไม่อย่างนั้นอาจนำปัญหามาสู่ตระกูลเซียวได้
“หานกุ้ยเฟยตายไปแล้ว แต่เจ้ากลับรีบเอาเงินไปช่วยจี้หมิงซูเนี่ยนะ นับแต่นี้ไปให้เจ้าทบทวนตัวเองอยู่ที่จวน เรื่องของจี้หมิงซูเจ้าไม่มีสิทธิ์สอดมือเข้าไปยุ่งอีก อีกอย่าง ชาดทาปากของร้านเครื่องประทินโฉมของเราก็ใกล้จะวางขายแล้ว เจ้าตั้งใจจัดงานชมดอกเบญจมาศซะ” เซียวเย่เจ๋อเอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เซียวหรงหรงโมโหอย่างมาก ได้แต่ร้องไห้น้ำตารินไหล ตัวเขาเองก็ออกไปอยู่ข้างนอกไม่เห็นหน้าเห็นตาเกือบครึ่งเดือนไม่ใช่หรือ นางแค่ออกไปวันสองวันเท่านั้นเอง
เซียวผิงถอนหายใจออกมา “คุณหนูขอรับ ซื่อจื่อล้วนทำเพื่อท่าน กฎของจวนอู่อันโหวของเราท่านลืมหมดแล้วหรือขอรับ? จี้หมิงซูตอนนี้มีฐานะเช่นไรท่านยังจะเอาตัวไปแปดเปื้อนอีก หากมีคนเอาไปพูดจะทำเช่นไรเล่าขอรับ?”
เซียวหรงหรงสะดุ้งขึ้นมา “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่ทำอีก”
เซียวผิงรู้ว่าบรรดานายน้อยของตระกูลเซียวมีนิสัยใสซื่อและมีเมตตา หากไม่ชี้แนะเสียบ้างจะถูกคนชักจูงไปในทางที่ผิดได้ง่ายมาก หวังว่าเซียวหรงหรงจะสามารถจำบทเรียนในวันนี้ได้
เซียวหรงหรงยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ก่อนจะกลับห้องไป ผ่านไปสักพักเซียวเย่เจ๋อก็ให้คนเอาตัวอย่างสีชาดทาปากมาส่งให้ ครั้งนี้มีสีให้เลือกมากกว่าครั้งก่อน ส่วนหลอดสีขาวเมื่อหยิบขึ้นมาดูด้านบนเขียนว่าใช้บำรุงริมฝีปาก
“เจ้าไปห้องเก็บของ เลือกแบบลายของเทียบเชิญมาที ข้าจะเขียนด้วยตัวเอง”
ทางด้านนี้หลังจากที่เซียวเย่เจ๋อออกไป ก็ให้หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อนำจดหมายฉบับหนึ่งไปส่งให้จี้จือฮวนที่หมู่บ้านตระกูลเฉินโดยเฉพาะ จี้หมิงซูนั่นยังก่อปัญหาอยู่ในเมืองหลวง มาดูกันว่าลูกพี่ฮวนจะจัดการกับนางเช่นไรต่อ
…
ตำบลฉาซู่
จี้จือฮวนแก้ไขจุดบกพร่องของโต๊ะหม้อไฟแบบใหม่อยู่ นางเจาะช่องตรงกลางเพื่อวางเตาถ่านโดยเฉพาะ ด้านข้างของเตาควรมีที่ย่างด้วย
ฮวาเซียงเซียงรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก “ได้รับจดหมายแล้ว พ่อข้าใกล้จะมาถึงแล้ว”
นางวิ่งมาอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นจดหมายให้กับจี้จือฮวน “เจ้าดูสิ พ่อข้ายังบอกว่าจะมาขอบคุณเจ้าด้วยตัวเองด้วยนะ”
จี้จือฮวนเช็ดมือเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะรับกระดาษจดหมายมา ลายมือของฮวาเส้าจงดีกว่าที่จี้จือฮวนคิดเอาไว้มาก ฉวัดเฉวียนดูมีพลัง ทั้งยังยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
ฮวาเซียงเซียงเอ่ย “ลายมือพ่อข้าไม่เลวใช่หรือไม่ หลังจากที่เขาได้เป็นหัวหน้ากองเรือก็ไปหาอาจารย์มาสอนโดยเฉพาะ บอกว่าคนเราต้องรู้หนังสือ หากไม่รู้หนังสือจะถูกคนหลอกเอาได้”
“พ่อเจ้าพูดมีเหตุผล พรุ่งนี้พวกเขาก็มาถึงแล้วหรือ?” จี้จือฮวนเลิกคิ้ว
“ใช่แล้ว ครั้งนี้พ่อของข้าวางงานในมือเพื่อพาสมาชิกครอบครัวทหารเหล่านั้นกลับมาส่งให้พวกเจ้า เขาบอกว่านี่เป็นครอบครัวของนักรบต้องคุ้มกันมาด้วยตัวเอง เจ้าคงวางใจแล้วกระมัง”
จี้จือฮวนตบบ่าของนาง “ดูเจ้าพูด มีอะไรที่ข้าจะต้องไม่วางใจกัน พ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นสุนัข เถ้าแก่เนี้ยฮวาของเราคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า ชื่อเสียงของกลุ่มกองเรือโด่งดัง”
ฮวาเซียงเซียงสะบัดผ้าเช็ดหน้าหนึ่งครั้ง “ไม่ต้องมาเล่นไม้นี้กับข้าเลย เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้ากับแม่ทัพเผยจะไปรับคนที่ท่าเรือด้วยกันอย่างนั้นหรือ?”
“อืม มารับเจ้าก่อน จากนั้นค่อยไปด้วยกัน” จี้จือฮวนส่งจดหมายคืนให้นาง แต่ฮวาเซียงเซียงกลับมีท่าทางอึกอัก
“มีอะไรหรือ?”
ฮวาเซียงเซียงจัดผมเล็กน้อย “เซียวซื่อจื่ออยู่เมืองหลวงการค้าเป็นเช่นไรบ้าง ข้าคิดว่าหากไปเมืองหลวงควรมีคนท้องที่อย่างเขาช่วยแนะนำ จะได้ไม่ถูกหลอกเอาได้”
จี้จือฮวนแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เซียวเย่เจ๋อน่ะหรือ? ไม่รู้สิ เขาไม่ได้เขียนจดหมายให้ข้าเลย คาดว่าคงลืมพวกเราไปแล้วกระมัง”
ฮวาเซียงเซียงกัดฟัน “เช่นนั้นก็เป็นคนอกตัญญูมากจริง ๆ”
จี้จือฮวนพยักหน้าเงียบ ๆ “ก็ใช่น่ะสิ”
ฮวาเซียงเซียงเบะปาก “ข้าจะกลับไปดูลูกค้าแล้ว”
“นี่ ๆ ๆ ๆ แค่นี้เจ้าก็เชื่อหรือ เอาไปเถอะ เจ้าเด็กนั่นส่งจดหมายมาทุกสามวันข้ารำคาญจะตายอยู่แล้ว เจ้าเอาไปดูเองเถอะ เขาเร่งให้เจ้าไปเปิดร้านที่เมืองหลวงตั้งนานแล้ว บอกว่าตัวเองใกล้จะหิวตายเหมือนหยกงามที่ใกล้แตกสลายอยู่แล้ว”
“ถุย หิวตายก็หิวตายสิ ยังจะมาหยกงามที่ใกล้แตกสลายอะไรกัน ช่างยกยอตัวเองจริง ๆ!” ฮวาเซียงเซียงรับจดหมายไป จากนั้นก็มองจี้จือฮวนเล็กน้อย เห็นใบหน้าของนางแฝงไว้ด้วยความหยอกล้อ ก็ทำเป็นปากแข็งพลางเอ่ยขึ้นมา “ข้าเพียงจะดูว่าเขาลืมที่พวกเรากำชับให้หาเงินขยายกิจการหรือไม่ ไม่ได้มีหมายความอย่างอื่นนะ”
“ใช่ ๆ ๆ เถ้าแก่เนี้ยฮวาจะหมายความว่าอะไรได้ เพียงแค่จะดูว่าเซียวซื่อจื่อกำลังทำอะไรอยู่ใช่หรือไม่?”
“เจ้ายังจะพูดอีก!” ฮวาเซียงเซียงถลึงตาใส่นางไปหนึ่งที จี้จือฮวนจึงไม่ล้อนางเล่นอีก “แต่ข้ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เจ้าหรือว่าพ่อเจ้ารู้จักร้านค้าข้าวหรือไม่?”
“ทำการค้าย่อมรู้จักกันอยู่แล้ว เจ้าจะเลี้ยงกองทัพทหารเกราะเหล็กเองสินะ แต่เจ้าเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าข้าวในตำบลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อยากซื้อธัญพืชแค่ปรึกษาพวกเขาก็พอแล้ว เจ้าเป็นลูกค้าประจำใครจะกล้าโก่งราคากับเจ้ากัน”
“มันน้อยเกินไป พวกเขาล้วนเป็นร้านค้าขนาดเล็ก ที่ข้าต้องการคือธัญพืชจำนวนมาก ทางที่ดีสามารถกักตุนเก็บธัญพืชเอาไว้ได้สักหนึ่งโรงถึงจะพอ”
เรื่องราวในตอนนี้แตกต่างจากเนื้อเรื่องในนิยายโดยสิ้นเชิง หากว่าเขื่อนที่หลูโจวพังขึ้นมา ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องพลัดจากที่อยู่อย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว นอกจากนี้โรคระบาดต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นเนื่องจากภัยธรรมชาติและภัยที่มนุษย์สร้างขึ้น ถึงเวลาคงลำบากกันน่าดู
การกักตุนอาหารแต่เนิ่น ๆ ยังสามารถป้องกันไม่ให้มีคนฉวยโอกาสหาเงินตอนบ้านเมืองลำบากได้ด้วย อย่างไรเสียก็มีกองทัพทหารเกราะเหล็กมากมายเพียงนั้น ไม่กลัวกินไม่หมดอยู่แล้ว และยิ่งไม่ต้องกลัวว่ากักตุนแล้วจะไม่มีที่ใช้
แต่ในเมื่อจี้จือฮวนต้องการกักตุนอาหาร เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างการเกิดภัยพิบัติ นางย่อมไม่มีทางให้ผลประโยชน์นี้ตกไปอยู่กับราชสำนัก นางจะให้คนทั้งใต้หล้าได้รู้ว่าสายเลือดของตำหนักบูรพาอย่างเซี่ยฉือยังอยู่
พระราชนัดดาห่วงใยราษฎรทั้งใต้หล้า
“เอาอย่างนี้ รอพ่อข้ามาถึงแล้วเจ้าลองถามเขาดู เขารู้เรื่องนี้ดีกว่าข้า”
“ได้ ข้าขอกลับไปเตรียมตัวกับเผยยวนก่อน พรุ่งนี้ไปรับครอบครัวของทหารที่ท่าเรือด้วยกัน”
.
.
.