บทที่ 299 ดาบนี้คืนสนอง
จี้จือฮวนเป็นเช่นนี้มาเเต่ไหนเเต่ไร สำหรับคนกันเองและคนนอกนางจะปฏิบัติด้วยไม่เหมือนกัน คนที่นางไม่ชอบหน้านางไม่มีทางพูดจาดีด้วยอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ต้องการให้คนเหล่านี้มองนางในแง่ดี และยิ่งไม่ได้มาเพื่อทักทายหรือปลอบใจ
จื่อเยว่ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ แม้ว่าจะโมโหแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะเวลานี้ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับจี้จือฮวน ว่าจะยอมไว้ชีวิตพวกนางนายบ่าวหรือไม่
วันนั้นฮ่องเต้ก็อยู่แต่กลับไม่มองมาทางเซี่ยฉงฟางเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียเซี่ยฉงฟางก็เป็นพระญาติ ยงอ๋องสิ้นแล้ว เซี่ยอวินกลายเป็นนักโทษชั้นล่าง แม้แต่ท่านหญิงก็ไม่มีคนสนใจ
เมื่อจื่อเยว่คิดถึงเซี่ยฉงฟางที่ไม่เคยลำบากมาตั้งแต่เด็ก ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ ในใจก็แทบอยากจะฉีกเนื้อของจี้จือฮวนออกเป็นชิ้น ๆ
“อย่างไรซะท่านหญิงก็เป็นแม่ของนายน้อย เจ้าควรเรียกนางว่าแม่สามีไม่ใช่หรือ?”
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น แปลกใจอย่างมากที่จนถึงตอนนี้แล้วจื่อเยว่ก็ยังกล้าพูดคำเหล่านี้ออกมาได้อีก
“ดูท่านายของเจ้ากลายเป็นผักไปแล้ว จึงไม่มีแรงพูดกับเจ้า ทำให้เจ้าไม่รู้ข่าวอะไรกระมัง ในโลกนี้ใครก็สามารถเป็นแม่สามีของข้าได้ แต่ต้องไม่ใช่เซี่ยฉงฟาง และอย่าเอาเรื่องนี้มาพูดกับข้าอีก ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก”
จี้จือฮวนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะผลักจื่อเยว่ที่ขวางอยู่หน้าประตูออก เพื่อจะเข้าไปด้านใน
จื่อเยว่ถูกนางผลักจนเซไป ช่วยไม่ได้ที่วรยุทธ์ของนางถูกทำลายไปหมดแล้ว นางจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้จือฮวน ทำได้เพียงเดินตามหลังไปติด ๆ
“ตอนนี้ท่านหญิงกลายเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลว่านางจะทำร้ายเจ้าได้อีก พวกเจ้าปล่อยนางไปไม่ได้หรืออย่างไร?”
“ไม่ได้” จี้จือฮวนตอบกลับทันควัน “ข้าไม่ใช่เจ้าแม่กวนอิม เรื่องอะไรต้องปล่อยนางไปด้วย?”
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็น คงเป็นเรื่องยากที่คนถูกทำลายเส้นเอ็นมืออย่างจื่อเยว่ต้องมาดูแลคนที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้อย่างนาง
ด้วยเหตุนี้ทำให้จื่อเยว่ต้องอาศัยกระดานไม้ในการเคลื่อนย้าย แม้แต่มือนั่นก็ยังบวมอยู่เพราะไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
“เจ้าช่างจงรักภักดีจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่คนอย่างเซี่ยฉงฟางอาจจะไม่ได้รับรู้ในน้ำใจของเจ้า”
จี้จือฮวนมาที่นี่ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของคนที่มีเจตนาแอบแฝงเหล่านั้น
นางยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าใด คนผู้นั้นก็จะสงสัยเกี่ยวกับที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น และอาจจะไม่เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้
ภายในบ้านมีกลิ่นเหม็น โต๊ะ เก้าอี้ เตียง ตั่ง ล้วนสกปรก จี้จือฮวนเดินดูรอบ ๆ ก่อนจะยืนอยู่เฉย ๆ
จื่อเยว่มองนางอย่างระแวง “นายน้อยรู้หรือไม่ว่าเจ้ามาที่นี่?”
“เขารู้หรือไม่สำคัญด้วยอย่างนั้นหรือ?”
จื่อเยว่หันหน้ามาทันที “หากเจ้าดูถูกเหยียดหยามท่านหญิง…”
“ข้าเหยียดหยามนางแล้วเจ้าจะทำอะไรได้? ตามหลักแล้ว ข้าต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเผยเกอ นางทำให้พ่อแม่ข้าพลัดพรากจากกัน ทำให้ข้าต้องกำพร้าตั้งแต่เด็ก เหยียบย่ำผู้บริสุทธิ์อย่างเผยยวน บนโลกนี้คนที่มีสิทธิ์ดูถูกเหยียดหยามนางและทรมานนางมากที่สุดก็คือข้า”
จื่อเยว่ลมหายใจสะดุด เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะรู้เรื่องดีถึงเพียงนี้
“ไม่เป็นไร เจ้าไสหัวไปเถอะ แม้เซี่ยฉงฟางอยากตายข้าก็ยังไม่ให้นางตายง่าย ๆ หรอก เจ้าจะกังวลอะไรกัน”
แน่นอนว่าจื่อเยว่ไม่มีทางคล้อยตามกับคำพูดของนาง จี้จือฮวนอยู่ที่นี่นานเพียงใด นางก็จะอยู่ด้วยตลอดเวลานานเพียงนั้น
…
ด้านนอก
อาอินกับอาฝูกำลังเอาโคลนมาสร้างเมือง พอดีตุ๊กตาทหารที่องค์ชายสิบมอบให้สามารถใช้เป็นตัวแทนของกองทัพทั้งสองได้
“ร่องน้ำของเจ้ายังไม่ได้ขุดเลย!” หลี่ต้าจ้วงเอ่ยอย่างร้อนใจ
อาฝูเงยหน้าขึ้น “อ้าว ข้าลืมไปเลย”
“เด็กพวกนี้คงคิดว่าตัวเองเป็นทหารไปแล้วจริง ๆ!” ท่านป้าหยางที่นั่งอยู่ใต้ชายคาหัวเราะออกมาบราวนี่ออนไลน์
ฟางจวิ่นเหมยกำลังจัดการกับเมล็ดชาที่เก็บมา “ข้ารู้สึกว่าตอนนี้อาฝูสูงขึ้นไม่น้อย ฮวนฮวนพูดถูกจริง ๆ วิ่งมาก ๆ กระโดดมาก ๆ เคลื่อนไหวมาก ๆ เด็ก ๆ ถึงจะตัวสูง”
หลิงชุนและคนอื่น ๆ เข้าไปพักผ่อนแล้ว แต่เห็นว่ายังไม่มืดจึงยังนอนไม่หลับกัน ก่อนจะเดินออกมาจากเรือนทีละคน แต่ไม่กล้าออกไปไหนไกล เพียงแค่เดินไปมาในหมู่บ้านเท่านั้น
อาอินกลอกตาไปมา แสร้งทำเป็นเล่นโคลนกับเด็กคนอื่น ๆ แต่ความจริงแล้วกำลังเฝ้าสังเกตคนเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
อาฝูนำทหารตัวน้อยย้ายไปไว้บนที่สูง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ขึ้นมา “ลูกพี่อิน ท่านมองไปทางด้านหลังสิ คนผู้นั้นดูแปลก ๆ หรือไม่?”
อาอินหันไปมอง นั่นน่ะสิ ตั้งใจมุดเข้าไปตามมุมต่าง ๆ อย่างจริงจังจริง ๆ
“ไป พวกเราไปเล่นกัน”
หลิงชุนกำลังคิดจะไปดูเรือนสองสามหลังที่วันนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเด็กกลุ่มหนึ่งกระโดดออกมาจากที่ไหนไม่รู้ และวิ่งมาล้อมตัวนางเอาไว้
“โอ๊ย ท่านแม่ทัพอย่าฆ่าข้า ผู้น้อยผิดไปแล้ว”
“เอาชีวิตเจ้ามา ย้าก~~~”
หลิงชุนรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก แต่ภายนอกยังต้องแสร้งทำท่าทางอ่อนโยนออกมา
“วิ่งระวังหน่อย เดี๋ยวจะล้มเอานะ”
หลิงชุนมองไปที่เด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดในกลุ่ม ใจก็กระตุกขึ้นมาทันที นี่มันลูกสาวของเผยยวนไม่ใช่หรือ?
อาอินวิ่งมาหานาง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น อาศัยดวงตากลมโตแสร้งทำเป็นยิ้มหวานออกมา และเอ่ยเสียงเบา “พี่สาว ท่านสวยจังเลยเจ้าค่ะ”
ขอเพียงเป็นสตรีมีคนใดบ้างที่ไม่ชอบฟังคำพูดนี้ หลิงชุนเผยรอยยิ้มประหลาดใจขึ้นมาทันที ก่อนจะอุ้มอาอินขึ้นมา “เจ้าช่างปากหวานจริง ๆ”
อาอินโอบแขนรอบคอของหลิงชุน แสร้งทำเป็นพิงตัวในอ้อมแขนของนางอย่างสนิทสนม เรียกพี่สาวอย่างนั้น พี่สาวอย่างนี้ พูดประจบจนหลิงชุนยิ้มหน้าบาน
“พี่สาว ท่านชอบหมู่บ้านของพวกเราหรือไม่เจ้าคะ?” อาอินเอ่ยถาม
หลิงชุนพยักหน้ารับ “ชอบสิ อาอินน้อย พี่สาวขอถามเจ้าหน่อยสิ เรือนที่ประตูลงกลอนเหล่านั้นซ่อนอะไรเอาไว้อย่างนั้นหรือ? ใช่ข้าวสารหรือไม่?”
อาอินดวงตาเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ยังคงทำท่าทางน่ารักและสีหน้าใสซื่อ นางส่ายหน้าไปมาพลางเข้าใกล้หลิงชุนด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “ด้านในไม่ใช่ข้าวสารหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็น…”
อาอินเอ่ยถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็ปิดปากตัวเอง พลางชำเลืองมองไปทางพวกท่านป้าหยางด้วยแววตาหวาดกลัว จากนั้นก็ปัดมือไปมา “อาอินบอกไม่ได้เจ้าค่ะ”
ความกลัวบนใบหน้าของเด็กน้อยไม่สามารถเสแสร้งแกล้งทำได้ หลิงชุนเข้าใจแล้ว รอยยิ้มก็ยิ่งอ่อนโยนลง “ได้ ๆ ๆ พวกเราไม่พูดแล้ว”
ขนตายาวของอาอินหลุบลง ก่อนจะร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย “พี่สาวโกรธหรือไม่เจ้าคะ เช่นนั้นอาอินบอกท่านก็ได้เจ้าค่ะ”
นางเอามือป้องปาก แล้วเข้าไปใกล้หูของหลิงชุน “ด้านในขังคนที่ทำผิดเอาไว้เจ้าค่ะ”
หลิงชุนทำท่าทางราวกับตกใจเป็นอย่างมาก “เหตุใดถึงเป็นคนได้เล่า เป็นใครกันหรือ?”
อาอินไม่ได้พูดอะไรอีก “ข้าจะไปเล่นแล้วเจ้าค่ะ”
หลิงชุนเห็นนางขัดขืนจะลงให้ได้ ก็จับตัวนางไว้แล้วเอ่ยปลอบขึ้นมา “พี่สาวแค่ถามดูเท่านั้น อาอินไม่ต้องกลัว อ๊ะ เอาลูกอมไปกินนะ”
“อืม ขอบคุณพี่สาวเจ้าค่ะ” อาอินยิ้มหวานออกมา ทันทีที่หมุนกายรอยยิ้มนั้นก็พลันหายไปทันที
มีปัญหาจริง ๆ ด้วย
เมื่ออาอินกลับมา พวกอาฝูก็แสร้งทำเป็นคุยกันเรื่องต่อสู้ ก่อนจะถามเสียงเบา “เป็นอย่างไรบ้าง ใช่นางหรือไม่?”
“ใช่ แต่ไม่รู้ว่ามีนางแค่คนเดียวหรือมีคนอื่นด้วย พวกเราต้องจับตามองเอาไว้ อย่าชะล่าใจเด็ดขาด”
“ทราบแล้ว!”
ครั้งนี้ก็ต้องให้พวกเขาได้รู้ถึงความร้ายกาจของกองทัพทหารเกราะเหล็กตัวน้อยเสียบ้าง
หลิงชุนพูดคุยกับทางนี้เสร็จก็ไปอีกด้านหนึ่ง แต่ความสนใจของนางกลับอยู่ที่เรือนของเซี่ยฉงฟาง
ตอนช่วยท่านป้าหยางจัดการใบหม่อน บางครั้งนางก็นึกสงสัยขึ้นมา จึงได้สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ
จนกระทั่งเห็นจี้จือฮวนออกมาจากด้านใน หลิงชุนก็พุ่งเป้าไปที่เรือนหลังนั้นทันที
ทว่าหลังจากนั้นหลิงชุนก็เลิกสอดรู้สอดเห็นไปทั่ว ทุ่มเทแรงกายแรงใจส่วนใหญ่ไปกับการช่วยงาน ไม่นานทุกคนก็ประทับใจและรู้สึกดีกับนางอย่างมาก ชื่นชมว่าแม่นางหลิงชุนเป็นคนขยันและจิตใจดีกันไม่ขาดปาก
.
.
.