บทที่ 328 กลุ่มย่อยเป่ยป้าเทียน
ฝนตกติดต่อกันหลายวันทำให้ผู้คนรู้สึกกลัดกลุ้มใจ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาฟ้าแลบก็ราวกับกรงเล็บที่แหลมคมปรากฏ เปรียบเสมือนคลื่นพายุสีทองส่องให้ท้องฟ้าที่จากเดิมราวกับถูกสาดด้วยหมึกกลายเป็นสีขาว
กระเบื้องเคลือบในเมืองหลวงถูกกระทบจนเกิดเสียงดัง ฝนเม็ดใหญ่ราวกับถั่วเหลืองตกลงไปในสระ ทหารยามสองแถวสวมเสื้อคลุมกันฝนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน หยดน้ำบนดาบที่คาดเอวรวมกันเป็นสายและไหลลงมา ทำให้ผู้คนเย็นยะเยือกตั้งแต่ฝ่าเท้าเข้าไปถึงกระดูก
เนื่องจากฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด บนถนนจึงไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนเมื่อยามปกติ หลายคนมองดูสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายแล้วถอนหายใจออกมา เพราะเกรงว่าฤดูหนาวปีนี้คงจะผ่านไปได้อย่างยากลำบากเป็นแน่
แต่กลับมีลูกหลานตระกูลใหญ่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่ารวมถึงชนชั้นสูง พากันขนของออกจากเมืองหลวงด้วยตัวเอง
อู๋ซิ่วที่ตอนนี้เฝ้าประตูเมืองอยู่เช่นทุกวัน วันนี้กลับว่างงานอย่างมาก เมื่อเห็นตระกูลหนึ่งให้ลูกหลานในตระกูลขนของออกไป จึงถามออกมาด้วยความสนใจ “ขนอะไรกันอีกล่ะนี่ ฝนตกหนักเช่นนี้ไม่กลัวรถติดหล่มหรืออย่างไร?”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ รถคันนั้นก็ติดร่องประตูเมืองจริง ๆ คนขับรถกระวนกระวายใจ ฟาดแส้ใส่ม้าอย่างแรง ทำให้ม้าตัวนั้นส่งเสียงร้องและเตะขาหลังทันที ของในรถม้าจึงพลิกคว่ำ
แม้จะมีคนรีบปิดและช่วยกันยกขึ้น แต่อู๋ซิ่วก็ยังเห็นอยู่ดี ว้าว ข้าวสารกระสอบใหญ่ หากไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นการขนย้ายทรัพย์สิน
“นายน้อยเมิ่ง เหตุใดเดี๋ยวนี้ท่านถึงมาขนของเองเล่าขอรับ?” อู๋ซิ่วเอ่ยถามขึ้นมาส่ง ๆ
อาแท้ ๆ ของเมิ่งเยี่ยนก็คือพระสนมเต๋อเฟย และเป็นญาติแท้ ๆ ขององค์ชายสาม ตามหลักแล้วเรื่องขนข้าวสารออกจากเมืองหลวงให้คนงานไปทำก็ได้ ตระกูลเมิ่งในเวลานี้แม้จะไม่นับว่ามีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ก็ไปเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในมณฑลต่าง ๆ มากมาย และล้วนเป็นสถานที่ที่ดีทั้งนั้น
เมิ่งเยี่ยนปกติแล้วไม่เคยเห็นค่าคนอย่างอู๋ซิ่ว อู๋ซิ่วยังมีคุณสมบัติไม่พอที่จะพูดกับเขา แต่วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดเขากลับพูดจาดีจนน่าเหลือเชื่อ
“ท่านแม่ข้านมัสการพระที่วัดหลงชุ่ยที่อยู่นอกเมือง และวันนี้ควรกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจึงไม่วางใจก็เลยจะไปรับนางกลับมาก็เท่านั้น”
นับว่าสมเหตุสมผล “เชิญขอรับ ท่านเดินทางก็ระวัง ๆ ด้วยนะขอรับ”
อู๋ซิ่วปัดมือไปมา พลางคิดว่าอย่าให้ปากเสียของตัวเองศักดิ์สิทธิ์เลย แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ขณะที่มองเมิ่งเยี่ยนออกประตูเมืองไป อู๋ซิ่วก็ได้สติขึ้นมา
“ทางที่เขาไปไม่ใช่ทางไปวัดหลงชุ่ยนอกเมืองนี่นา คงไม่ใช่ว่าในข้าวสารมีทองซ่อนอยู่หรอกกระมัง?”
ทหารชั้นผู้น้อยรินน้ำชาให้เขา “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ ตอนนี้องค์ชายสามได้รับความโปรดปราน น้ำขึ้นเรือย่อมสูง* ตระกูลเมิ่งจะหอบเงินหนีไปได้อย่างไรกันเล่าขอรับ”
* น้ำขึ้นเรือย่อมสูง (水涨船高) หมายถึง เมื่อผู้ที่พึ่งพาดีขึ้น สถานการณ์ของตนเองก็พลอยดีขึ้นไปด้วย
“เฮอะ คำพูดที่คนลือกันข้าไม่เชื่อเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเผยยวนตายไปแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลย ข้าว่าอาจจะเป็นเหมือนที่ข้าพูดก็ได้ เกรงว่าตระกูลเมิ่งคงจะเกิดเรื่องแล้วกระมัง”
…
ที่มั่นบนภูเขาของเป่ยป้าเทียน
เสี่ยวลิ่วจื่อพิจารณารอบ ๆ “เจ้าสวมหนังสัตว์เช่นนี้ทำไมกัน กลัวหนาวหรืออย่างไร!?”
ทหารเกราะเหล็กดึงหนังสัตว์ลงเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน
“เจ้าก็อีกคน บนหน้าเจ้ามีสีน้ำวาดเอาไว้แล้ว ไม่ต้องยืนตรงเช่นนี้ก็ได้ ทำท่าทางให้เหมือนพวกนักเลงหน่อยจะได้หรือไม่!” เสี่ยวลิ่วจื่อเขย่าเท้าอยู่กับพื้น “เห็นหรือไม่? เห็นหรือไม่ ท่าทางของโจรน่ะ”
จี้จือฮวนเดินเข้ามาจากด้านนอก “อบรมไปถึงไหนแล้ว?”
เสี่ยวลิ่วจื่อยิ้มหน้าบานทันที “แม่นางจี้วางใจเถอะ เรียบร้อยดีขอรับ”
เอี๋ยนเฉาเดินตามหลังเข้ามา “ฮูหยิน ข้าว่าใกล้จะได้เวลาแล้ว ข้าได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้ตระกูลเมิ่งขนของออกจากเมืองหลวง วันนี้คงจะมาถึงที่ที่พวกเราอยู่แล้วขอรับ”
“เจ้าทำได้ไม่เลว หนี้ของเดือนนี้ข้าจะผ่อนผันให้เจ้าก็แล้วกัน”
เอี๋ยนเฉาหมุนกายด้วยความดีใจ แต่เมื่อเห็นอาควนที่กำลังแทะเมล็ดแตงโมอยู่ ก็กลอกตามองบนและหันหน้าหนี
อาควน “???”
“มาแล้ว ๆ! มีคนมาแล้ว!”
จี้จือฮวนปรบมือ “รออะไรอยู่ พวกเจ้าระวังอย่าให้มีพิรุธล่ะ”
เหล่าทหารของกองทัพทหารเหล็กแต่ละคนต่างแบกกระบอง ดาบเล่มใหม่ พลางแยกเขี้ยวยิงฟัน “เข้าใจแล้วขอรับ”
“ดี ออกเดินทางได้!”
จี้จือฮวนเตรียมจะหาเนินเขาที่เหมาะ ๆ เพื่อดูฉากการปล้น เอี๋ยนเฉาวิ่งดุกดิกตามหลังมาด้วย “ฮูหยินเชิญทางนี้ขอรับ เอ๊ะ ๆ ๆ ทางด้านนั้นสกปรก ทางนี้ข้ากับอาควนมากวาดด้วยตัวเองแล้ว อีกทั้งยังทำศาลาเอาไว้ด้วย ท่านจะได้ไม่เปียกอย่างไรเล่าขอรับ”
จี้จือฮวนปรายตามองเขาเล็กน้อย “เจ้าคงว่างมากจริง ๆ”
ที่มั่นบนภูเขาไม่มีแล้ว รกร้างว่างเปล่า ไม่มีคนดูแล เมื่อคืนพอเขาได้ข่าวก็รีบวิ่งไปรายงานที่ตำบลฉาซู่ และตามพวกเขามาที่นี่ ยังมีเวลามาทำความสะอาดอีก
“แน่นอนขอรับ” ช่วงที่ผ่านมาเอี๋ยนเฉามองออกแล้ว
เผยยวนกลัวภรรยา เขาดูแลฮูหยินอย่างดียังกลัวว่าจะใช้หนี้ไม่หมดอีกหรือ?
จี้จือฮวนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเขา นางนั่งอยู่ในศาลานั่นและพบว่าเจ้าลูกผู้ดีคนนี้ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง อาทิ สถานที่ที่เขาหามาช่างพอเหมาะพอเจาะ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้สุดลูกหูลูกตา เมื่อมองผ่านกล้องส่องทางไกลก็เห็นกลุ่มคนและม้ากลุ่มหนึ่งได้อย่างชัดเจน
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำมีหน้าตาคล้ายคลึงกับเต๋อเฟยผู้นั้นอยู่หลายส่วน จี้จือฮวนใช้มือเคาะโต๊ะ “คนตระกูลเมิ่งอยู่ในราชสำนัก นับว่าโดดเด่นหรือไม่?”
เอี๋ยนเฉาส่ายหน้า “ไม่ขอรับ นับว่ากลาง ๆ อย่างไรเสียก็ไม่ต่างจากเต๋อเฟยจัดการเองเท่าใดนัก แต่คนที่มีความสามารถในตระกูลของพวกเขานับว่ามีอยู่หลายคนทีเดียว แต่ล้วนกระจายออกไปหมดแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ญาติคนหนึ่งของตระกูลเมิ่งยังไปที่หลูโจว เพื่อเข้ารับหน้าที่เป็นผู้ว่าการด้วยขอรับ”
จี้จือฮวนหันหน้าไปทันที “ใช่คนที่ชื่อเมิ่งซื่อหรือไม่?”
เอี๋ยนเฉาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปจำได้อย่างไรเล่าขอรับ แต่ถ้าแซ่เมิ่งไม่ใช่ก็ใกล้เคียงขอรับ”
ด้านล่างเนินเขา เมิ่งเยี่ยนเพิ่งมาถึงปากทาง สายฟ้าสายหนึ่งก็ฟาดลงมา บนถนนที่เดิมกว้างขวางไร้ผู้คน จู่ ๆ ก็มีชายฉกรรจ์หลายสิบคนกระโจนออกมา คนที่เป็นผู้นำถือดาบเล่มใหญ่ สายฝนโปรยปรายลงมา เมิ่งเยี่ยนตื่นตระหนกทันที “ทุกท่านคือ?”
สวรรค์ ไหนว่าเป่ยป้าเทียนถูกจับไปแล้วไม่ใช่หรือ! พวกนี้เป็นใครกันอีกล่ะเนี่ย?
“คนของเป่ยป้าเทียน เจ้าไม่รู้จักหรือ? เจ้ามีตาหามีแววไม่จริง ๆ!” เสี่ยวลิ่วจื่อขว้างผิงกั่วในมือใส่หน้าของเมิ่งเยี่ยน “พวกเรา มัวรออะไรอยู่ เห็นอะไรก็ปล้นไปให้หมด!”
ท่ามกลางสายฝน ดาบในมือของเมิ่งเยี่ยนยังไม่ทันชักออกมา ก็ถูกกองทัพทหารเกราะเหล็กจับตัวเอาไว้ได้แล้ว และถูกจับกดลงไปในแอ่งโคลน จึงกินโคลนเข้าไปเต็มปาก กำลังจะตะโกนก็มีกระสอบป่านมาคลุมหัว สอดคานไม้ไผ่หามขึ้นไปบนภูเขาราวกับจะฆ่าหมูก็มิปาน
เอี๋ยนเฉามองดูอย่างมีความสุข “ดูสิขอรับ ครั้งนี้ได้ของมาไม่น้อย ฮูหยิน อีกเดี๋ยวได้ป้ายหยกประจำตระกูลของเมิ่งเยี่ยนมา ข้าจะกลับเมืองหลวงไปแจ้งข่าวให้พวกเขารู้”
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าคิดคำพูดเอาไว้หรือยัง?”
“คิดเอาไว้แล้วขอรับ! ข้าฝึกพูดในความฝันมาร้อยกว่ารอบแล้วขอรับ ท่านป้าเมิ่ง พวกท่านรีบนำเงินไปไถ่ตัวคนสิขอรับ หรือว่าเพื่อเงินสามแสนตำลึง ท่านไม่เสียดายชีวิตของพี่เมิ่งเยี่ยนแล้วหรือขอรับ!”
เอี๋ยนเฉาแสดงได้สมจริงมาก แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป “อ่อ ตระกูลต่อไปคือตระกูลหลี่ น่าจะมาถึงตอนพลบค่ำ ข้ารอตระกูลหลี่ถูกลักพาตัวแล้วค่อยไปบอกทีเดียวดีกว่า!”
จี้จือฮวน “…”
“มีเจ้าอยู่ เป็นบุญของพวกเขาจริง ๆ”
เอี๋ยนเฉายิ้มหน้าบาน พลางเอ่ยอย่างกระบิดกระบวน “ฮูหยินไม่จำเป็นต้องชมข้าเช่นนี้หรอกขอรับ ขอเพียงท่านรับปากข้าว่าจะจัดการพวกเขาให้หนักเหมือนที่จัดการข้าก็พอ! ของดีในมือข้ายังมีอีกเยอะเลยขอรับ”
.
.
.