บทที่ 354 คนอย่างเจ้าคู่ควรเป็นธิดาเทพด้วยหรือ
เจียงเช่อแม้ตาจะมองไม่เห็น แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดจากเสียงของผู้คนมากมาย
เขายกมุมปากขึ้นด้วยความพึงพอใจ และความพอใจนั้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาว ๆ ของเขา ดูสิ คนเหล่านี้ที่ปกติโอ้อวดว่าตัวเองเป็นราษฎรในเมืองหลวง เคยมองเขาเหมือนหมูเหมือนหมา ตอนนี้ก็ยังต้องกราบเท้า อ้อนวอนขอความเมตตา และเชื่อคำโกหกของเขาอยู่ดีมิใช่หรือ?
เขาหลอกฮ่องเต้และผู้คนในราชวงศ์ต้าจิ้นให้อยู่ในกำมือของเขาได้ ใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดทำได้อีก!?
เว่ยเจ๋อเซิงมองภาพเหลวไหลตรงหน้า แล้วก็ส่ายหน้าไปมา “ตอนนั้นอาจารย์รู้สึกว่าความคิดของเจียงเช่อนั้นสุดโต่ง จึงให้พวกเราคอยชี้แนะเขาให้มาก สังเกตคำพูดและการกระทำของเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะเดินมาถึงขั้นนี้จนได้”
จี้จือฮวนเอ่ย “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เจ้าเป็นศิษย์พี่ของเขา ให้เจ้าจัดการศิษย์ในสำนัก และขจัดความวุ่นวายให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว”
เว่ยเจ๋อเซิงหลุบตาลง ประกายความสงสารพาดผ่านใบหน้าหล่อเหลา “ไว้ชีวิตเจียงเช่อสักครั้งได้หรือไม่?”
จี้จือฮวนจ้องหน้าเขาด้วยแววตาเย็นชา “เจ้ากำลังใช้ความใจดีผิดที่ ข้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ โปรดมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ไม่เป็น ข้ารู้แค่ว่าเจียงเช่อทำความผิดมหันต์ คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย หากคนผู้นี้ยังอยู่จะมีเรื่องเดือดร้อนไม่รู้จบ
เจ้าอยากให้เขามีชีวิตรอด? ได้ถามคนที่ถูกเขาทำร้ายหรือยัง? สถานการณ์สำนักเทพพยากรณ์ของเจ้าตอนนี้ ก็เป็นเพราะตอนนั้นอาจารย์เจ้ารู้ว่าเจียงเช่อมีชะตาคิดทรยศ แต่ก็ยังหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะสามารถอาศัยความสามารถของตนแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ดังนั้นควรทำเช่นไรก็ควรต้องทำเช่นนั้น เจ้าเป็นคนที่ศึกษาเรื่องการดูดวงชะตา ย่อมสามารถตรวจดูดวงชะตาของเจียงเช่อได้ สุดท้ายแล้วเขาจะเดินไปบนเส้นทางนี้หรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าไม่ใช่หรือ?”
คำพูดของจี้จือฮวน ทำให้เว่ยเจ๋อเซิงเงียบไป
“หากเจ้าเห็นเขาเป็นศิษย์น้องจริง ๆ ก็เอาเกียรติของสำนักเทพพยากรณ์ของเจ้ากลับคืนมา เจ้าจะไม่ลงโทษเขาด้วยตัวเองก็ได้ เพราะคนผู้นี้…เป็นของข้าแล้ว”
ผ่านไปสักพัก เว่ยเจ๋อเซิงจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “แม่นางจี้พูดถูกแล้ว”
เผยเสี่ยวเตาถือเสื้อผ้าเข้ามา “เหตุใดเจ้ายังอยู่ดูเรื่องสนุกอยู่ตรงนี้อีกเล่า รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”
ช่วงที่ผ่านมาเว่ยเจ๋อเซิงอาศัยอยู่ในลานบ้านเดียวกันกับนาง จึงคุ้นเคยกับนิสัยไม่สนใจโลกของเผยเสี่ยวเตานานแล้ว คำพูดที่ว่าชายหญิงแตกต่างกันเขาก็พูดกับนางจนเบื่อแล้วเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและโค้งคำนับให้จี้จือฮวนหนึ่งครั้ง “สำนักเทพพยากรณ์ต้องฝากแม่นางจี้แล้ว”
…
บนแท่นพิธี เจียงเช่อเริ่มเปิดแท่นบูชาอย่างอลังการ ส่วนจี้หมิงซูก็สวดมนต์อยู่ข้าง ๆ เขา ทั้งสองคนแสดงได้ยอดเยี่ยมทีเดียว กอปรกับผู้ช่วยที่เจียงเช่อเสาะหาและรวบรวมในช่วงที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่อยู่ในยุทธภพ เป็นคนที่คุ้นเคยกับการแสดงเป็นอย่างดี การเล่นละครฉากใหญ่นั้นจึงทำได้อย่างง่ายดาย
เจียงเช่อนับนิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้กับจี้หมิงซูที่อยู่ข้าง ๆ เบา ๆ
นางจึงสะบัดแขนเสื้อออกเล็กน้อย แล้วเดินไปที่ด้านหน้าฝูงชน ชาวบ้านทั้งหมดที่กำลังคุกเข่าต่างก็เงียบเสียงลง และมองไปที่จี้หมิงซูอย่างเงียบ ๆ
“ท่านราชครูหยั่งรู้ฟ้าดิน เมื่อคืนมีเทพเข้าฝันบอกว่าเมืองหลูโจวมีมังกรคะนองน้ำตัวหนึ่งบรรลุเป็นเทพไม่สำเร็จ จึงได้มาสร้างความวุ่นวายในเมืองหลวง”
ผู้คนตกอยู่ในความโกลาหล ไหนว่าโรคของพวกเขาติดมาจากผู้ที่ประสบภัยในหลูโจวไม่ใช่หรือ?
“ท่านธิดาเทพ เช่นนั้นควรทำเช่นไรดีขอรับ?”
“ขอท่านธิดาเทพประทานน้ำมนต์ด้วย”
“ขอท่านราชครูช่วยปราบมังกรตัวนั้นด้วย”
จี้หมิงซูพยักหน้าหงึก ๆ “ทุกคนวางใจ ท่านราชครูจะทำพิธีทันที และสั่งให้เทพสายฟ้าจับมังกรตัวนั้น จากนั้นก็จะนำไปหลอมในเตาหลอมโอสถ เมื่อพวกเจ้ากินยาแล้ว ต้องหายจากอาการป่วยได้อย่างแน่นอน”
“ท่านราชครูช่างมีพระคุณยิ่งนัก”
“ขอบคุณท่านราชครูที่ช่วยพวกเราจากความเดือดร้อน”
จี้หมิงซูรอให้พวกเขาร้องห่มร้องไห้ ตั้งหน้าตั้งตารออย่างจริงจัง และตอนนี้ก็เริ่มคุกเข่าคำนับแล้ว จึงเอ่ยเสียงดังขึ้นมา “ท่านราชครูต้องใช้กายใจในการหลอมร่างมังกร สยบจิตใจอันชั่วร้ายของมัน ยาที่ล้ำค่าเช่นนี้จะมอบให้คนที่มีวาสนาเท่านั้น”
มีคนได้สติขึ้นมา “ข้ายอมจ่ายสามพันตำลึง!”
“ข้า…ข้าก็จ่ายสามพันตำลึง!”
ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนมีแววตาสิ้นหวัง อย่าว่าแต่สามพันตำลึงเลย หากทั้งครอบครัวสามารถนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาได้ ก็นับว่าเป็นสมบัติทั้งหมดที่มีของพวกเขาแล้ว ถ้าสามพันตำลึงเป็นราคาที่ถูกที่สุด เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าพวกเขาต้องรอความตายอย่างนั้นหรือ?
สวรรค์ ในเมื่อไม่มีทางรอด เหตุใดต้องให้ความหวังพวกเขาด้วย?
จี้จือฮวนหรี่ตาลง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยออกมา “ได้เวลาแล้ว! ส่งสัญญาณ”บราวนี่ออนไลน์
ยอดฝีมือของกลุ่มกองเรือที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางผิวปากให้ทางด้านล่างทันที
จี้หมิงซูกวาดตามองใบหน้าของผู้คนด้านล่าง ในใจก็เกิดความคิดเช่นเดียวกับเจียงเช่อ ความรู้สึกที่ได้เหยียบย่ำทุกคนไว้ใต้ฝ่าเท้านั้นช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!
ธิดาเทพควรได้รับความเคารพและกราบไหว้จากทุกคน และนางก็จะก้าวขึ้นไปสู่บันไดขั้นใหม่ด้วย!
ในตอนนั้นเองกลับมีลมกรรโชกพัดมาจากที่ใดไม่ทราบได้ ทำให้หมวกคลุมหน้าของจี้หมิงซูถูกลมหอบนั้นพัดจนตกลงไปที่พื้นทันที แม้ว่าบรรดาชาวบ้านจะสงสัยอย่างมากว่าธิดาเทพที่มีชะตาฮองเฮามีหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ทันใดนั้นดวงตาของทุกคนจึงเบิกกว้างขึ้นเพื่อรอชมความงามอันน่าทึ่ง
ผู้คนบนโลกมักมีจินตนาการมากมายเกี่ยวกับสตรีที่มีตำแหน่งสูง ตัวอย่างเช่น ความงดงาม
ในเมื่อสามารถเป็นฮองเฮาทั้งยังเป็นธิดาเทพ ผู้คนจึงคิดว่านางต้องงดงามราวกับเทพธิดาเป็นแน่
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าธิดาเทพผู้นั้นจะปิดบังใบหน้าของตัวเองทันที แม้ว่าผิวของนางจะขาว ทว่าก็ไม่ได้ขาวเหมือนคนปกติ ดวงตาคู่นั้นก็ไม่เป็นประกาย ด้วยความที่บนหัวเต็มไปด้วยไข่มุกและมรกต แม้จะดูงดงามก็จริง แต่จากดวงตาที่ดูธรรมดาคู่นั้นก็เดาได้ว่ารูปร่างหน้าตาต้องธรรมดาอย่างมากเป็นแน่
ในใจทุกคนจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แม้ว่าจี้หมิงซูเตรียมพร้อมที่จะเปิดเผยใบหน้าในวันนี้ แต่ต้องไม่ใช่การเปิดเผยใบหน้าด้วยความร้อนรนเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว และต้องการสวมหมวกคลุมหน้าใหม่อีกครั้ง
ทว่าในตอนนั้นเองกลับมีหญิงชราผู้หนึ่งที่อยู่ในฝูงชนรีบวิ่งออกมา และดึงชายกระโปรงของจี้หมิงซูจากด้านล่างแท่น พลางตะโกนเสียงดัง “คุณหนู! เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่ได้เล่าเจ้าคะ ท่านรีบไปช่วยท่านกั๋วกงกับนายน้อยท่านอื่น ๆ เถอะเจ้าค่ะ พวกเขาน่าเวทนาอย่างมากเลยนะเจ้าคะ”
เกิดความโกลาหลและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมา
จี้หมิงซูมองหญิงชราผู้นั้นด้วยความตื่นตระหนก รู้สึกว่าแรงของนางมีมากกว่าบุรุษเสียอีก จนนางไม่สามารถดึงเท้ากลับได้
“ปล่อย! เจ้าได้ยินหรือไม่! เด็ก ๆ รีบลากตัวนางออกไป!”
จี้หมิงซูรู้สึกร้อนใจขึ้นมา ใบหน้าก็ยิ่งเปิดเผยต่อหน้าผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในฝูงชนเริ่มมีคนตะโกนขึ้นมา “ธิดาเทพผู้นี้ปากบอกว่ามีเมตตากรุณาและศีลธรรม แต่เมื่อช่วยรักษาโรคกลับเรียกตั้งหลายพันตำลึง เหตุใดไม่ไปปล้นเอาเล่า?”
“นั่นสิ หย่งอันถังแจกยาโดยไม่คิดเงิน ถึงแม้ว่าจะให้โดยไม่ต้องคิดเงินทุกคนก็ได้ แต่ยาอะไรกันประมูลตั้งสามพันตำลึง? หากหมายความตามนี้ ชาวบ้านทั่วไปก็ไปตายกันให้หมดเถอะ”
“คำพูดนี้ข้าอดกลั้นมานานแล้ว นางเป็นธิดาเทพจริงหรือ ธิดาเทพจะให้ความสำคัญข้าวของเงินทองเช่นนี้หรือ?”
เจียงเช่อเมื่อได้ยินความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ ก็ตบโต๊ะและยืนขึ้น “ผู้ใดกล้าวิจารณ์ธิดาเทพ ลากตัวมันออกมา!”
ประโยคนี้กระตุ้นความโกรธแค้นของราษฎรทันที
เจียงเช่อคิดว่าฐานะของตัวเองเพียงพอที่จะได้รับการนับถือจากทุกคน แต่เขาไม่คิดบ้างว่าหากผู้คนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แล้ว ทั้งยังได้ยินที่คนของเขาบอกว่าหากไม่มีเงินก็ไม่สมควรแม้แต่จะได้กินยา
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้สูญเสียหัวใจของราษฎรไปแล้ว
วิธีการที่แข็งกร้าวเช่นนี้ รังแต่จะทำให้การต่อต้านของราษฎรทวีความรุนแรงขึ้น
มีคนเริ่มปาผักขึ้นไปบนแท่นพิธี “ถุย มีแต่นักต้มตุ๋น! สุนัขของพวกตระกูลสูงศักดิ์!”
ส่วนทางด้านจี้หมิงซูก็ยังคงติดพันอยู่ หญิงชราผู้นั้นตะโกนเสียงดังขึ้นมา “คุณหนู เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนใบหน้าไปเล่าเจ้าคะ แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ข้าก็ยังจำท่านได้นะเจ้าคะ”
มีคนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย “คุณหนูอะไรกัน นางไม่ใช่ธิดาเทพหรอกหรือ? ยายเฒ่า คุณหนูที่เจ้าพูดถึงคือผู้ใดกัน!”
หญิงชราผู้นั้นปาดน้ำตาหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยขึ้นมา “คุณหนูของข้าคือสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวงในอดีต จี้หมิงซู”
จี้หมิงซูถลึงตาใส่ด้วยความโมโห ก่อนจะตะโกนขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง “เหลวไหลพวกเจ้าจะมัวอึ้งอยู่ทำไมกัน รีบเอาตัวยายแก่นี่ไปตัดลิ้นซะ”
.
.
.
————