บทที่ 365 เจอกับเชลยอ้วนอีกแล้ว
แต่แม้ว่าจี้จือฮวนจะฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อใช้สูตรโกงจึงทำให้นางในตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมพลังตามที่ใจคิดได้ ตอนที่กินข้าวเย็นจึงไม่สามารถคีบเนื้อปลาที่ลื่นได้ เพราะออกแรงเพียงนิดเดียวก็เกือบทำให้โต๊ะพังแล้ว
คราวนี้จี้จือฮวนจึงรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะกลับไปฝึกฝนก่อน
วันต่อมาจึงได้เข้าไปในช่องว่างเพื่อเรียนรู้การควบคุมพลังภายในอีกครั้ง
หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อส่งข่าวกลับมา บอกว่าองค์หญิงใหญ่กับอาฉือกำลังอยู่ระหว่างทางกลับมาเมืองหลวงแล้ว ไท่ซ่างหวงช่วงนี้ก็ค่อนข้างยุ่ง เพราะมักมีคนถูกจางตงไหลพาเข้ามาปรึกษาหารือในจวนตระกูลฮวา พวกเขาล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนักที่ถูกปลดจากตำแหน่ง
เผยยวนย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปฟังอยู่ข้าง ๆ
ส่วนอาชิงกับอาอินก็เล่นกับพวกเด็ก ๆ ของค่ายองครักษ์ลับกลุ่มนั้นอยู่ในสวน แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็อายุยังน้อย เห็นอะไรก็ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ทว่าเมื่อเล่นในสวนนาน ๆ ก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา
“ท่านอาเสี่ยวลิ่วจื่อ พวกเราไปเที่ยวบนถนนได้หรือไม่?”
เสี่ยวลิ่วจื่อจึงส่งเสียงสูดปากออกมา “ตามหลักแล้ว จะไปก็ไปได้”
“ดีเลยเจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกเราไปเดินที่ถนนกันเถอะเจ้าค่ะ ข้ากับอาชิงมีของเล่นแล้ว แต่พวกเสี่ยวเฮยยังไม่มีเลย ก่อนหน้านี้ข้าขายเกลือมีเงินเก็บนิดหน่อย ข้าอยากซื้อของเล่นให้พวกเขาเจ้าค่ะ” อาอินหันหน้าแล้ววิ่งไปอย่างมีความสุข
น่าเสียดายที่เซียวเซวียนจิ่นอยู่ในวังหลวง ไม่อย่างนั้นนางก็คงไปเล่นกับเขาแล้ว
เสี่ยวลิ่วจื่อ “???”
ฮะ? ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!
ทว่าไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะอาอินได้พาน้องชายและบรรดาสหายน้อยของค่ายองครักษ์ลับออกไปเที่ยวอย่างลิงโลดแล้ว
เสี่ยวลิ่วจื่อกับอาอู๋รับหน้าที่คอยติดตาม คาดว่านี่เป็นครั้งแรกที่มาเดินถนน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกระสับกระส่าย เห็นอะไรแปลกใหม่น่าสนใจก็ไม่กล้ามองนาน ๆ ความพิการบนร่างกายทำให้พวกเขารู้สึกมีปมด้อยอยู่ภายในใจ
เดิมทีคิดว่าจะถูกคนภายนอกมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม คิดไม่ถึงว่าทุกคนล้วนจำลูกของเผยยวนได้ แต่ละคนจึงได้เข้ามาทักทาย
“โอ๊ะ สองพี่น้องออกมาเที่ยวหรือ?”
“มา ๆ ๆ ข้ามีนกไม้ที่เพิ่งมาถึง ส่งเสียงได้ด้วยนะ”
“ชอบก็เอาไปได้เลย ข้าจะห่อม่ายหยาถัง*ให้เจ้าด้วยดีหรือไม่?”
* ม่ายหยาถัง (麦芽糖) หมายถึง ลูกอมข้าวบาร์เลย์
อาอินกับอาชิงก็คิดไม่ถึงว่าแค่ใช้หน้าตาก็สามารถได้ของมาโดยไม่เสียเงินแล้ว ทว่าอาอินกลับยึดหลักการเป็นอย่างมาก “ท่านลุง หากไม่รับเงินข้า ข้าก็ไม่สามารถรับของท่านได้เจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นกลับไปท่านพ่อกับท่านแม่จะลงโทษให้พวกเราเขียนหนังสือสำนึกผิดอีกเจ้าค่ะ”
นางเกลียดการเขียนหนังสือที่สุดแล้ว
“ได้ ๆ ๆ เด็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังอยากได้หรือไม่?!”
ในดวงตาเล็ก ๆ ของพวกเขาทั้งดีใจทั้งสับสน แต่ด้วยกำลังใจจากอาอิน พวกเขาจึงพยักหน้ารับ
“เอาไปเถอะ!”
พวกเขายื่นมือออกไปด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เมื่อพบว่าไม่มีใครแสดงท่าทีรังเกียจพวกเขาจึงได้ผ่อนคลายลง
ความกล้าหาญก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น เดินตามหลังของพวกอาอินและฉีกยิ้มอย่างมีความสุข
“ข้างหน้ามีชนไก่ คุณหนูอาอิน พวกเราไปดูชนไก่ดีหรือไม่ขอรับ?”
“ดีสิ แต่พวกเจ้าห้ามเรียกข้าว่าคุณหนูอีก เรียกข้าว่าอาอินก็พอ”
แม่บ้านตัวน้อยตอนนี้มีจิตใจเหมือนนกอินทรีคอยปกป้องลูกไก่ พวกเขาต่างเป็นสหายของนาง การเรียกนางว่าคุณหนูเช่นนั้นห่างเหินเกินไปแล้ว
…
บนถนนอีกด้านหนึ่ง
องค์ชายสิบเซี่ยห่วงกำลังเดินพุงยื่นไปตามถนนอย่างเบื่อหน่าย
เนื่องจากเขาอายุยังน้อย และบรรดาเสด็จพี่เริ่มมีส่วนร่วมทางการเมืองแล้ว แต่เขายังเรียนหนังสืออยู่ ซูเฟยจึงไม่คาดหวังที่จะพึ่งพาเจ้าอ้วนน้อยอย่างเขาในการชิงอำนาจ หากเซี่ยห่วงต้องการไปตระกูลเดิมของซูเฟยเมื่อใด ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็จะตอบตกลงทันที
ดังนั้นเซี่ยห่วงที่อายุยังน้อยจึงเดินไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว
คนที่คอยประจบสอพลออยู่ข้าง ๆ ล้วนเป็นเด็กในวัยเดียวกันในตระกูล ตอนนี้องค์ชายรองและองค์ชายสามต่างถอนตัวออกจากสนามรบแล้ว จึงเหลือเพียงเซี่ยซั่วคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ชิงตำแหน่งนี้
ในฐานะน้องชายแท้ ๆ ของเซี่ยซั่ว การได้เป็นสหายร่วมศึกษาขององค์ชายสิบจึงเป็นที่เป้าหมายของทุกคน เมื่อรู้ว่าเซี่ยห่วงออกจากวัง แต่ละตระกูลจึงมีความคิดที่ต้องการจะประจบเขา
“องค์ชายสิบ ตรงนั้นมีการแสดงหุ่นกระบอกเปิดใหม่ พวกเราไปดูกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยห่วงเบะปาก “น่าเบื่อ”
สนุกสู้กระดานลื่นของหมู่บ้านตระกูลเฉินได้ที่ใดกัน นายช่างในวังหลวงเหตุใดถึงไม่สามารถสร้างของเช่นนั้นได้
“องค์ชายสิบ ท่านดูลูกข่างของข้าสิพ่ะย่ะค่ะ อันนี้ลูกขนไก่”
“หรือไม่พวกเราไปเล่นชู่จวี**กันเถอะ”
** ชู่จวี (蹴鞠) หมายถึง การเตะบอลแบบโบราณ
เซี่ยห่วงเงยหน้ามองฟ้า เฮ้อ อยากเห็นกระดานล้อเลื่อนจังเลย
เซี่ยห่วงกวาดสายตามองส่ง ๆ เข้าไปในตรอก ก็พบอาอินที่สวมชุดสีแดงเดินผ่านไปพร้อมรอยยิ้ม
เซี่ยห่วงขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ แม่จ๋า ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่หรือไม่ สตรีที่มีพลังมหาศาลของหมู่บ้านตระกูลเฉินเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“องค์ชายสิบ ทรงมองอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยห่วงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเร็ว ๆ ผ่านตรอกเล็ก ๆ เพื่อไล่ตามไป ขณะที่วิ่งไปถึงปากทางก็ชนเข้ากับอาชิงน้อยอย่างจัง
“เอ๊ะ เป็นพวกเจ้าจริงด้วย!!” เซี่ยห่วงดีใจเป็นที่สุด คิดถึงอะไรก็เจออย่างนั้นจริง ๆ!
อาชิงเกาหัวเล็กน้อย เซี่ยห่วงจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “เจ้าลืมข้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าคือเชลยอ้วนอย่างไรเล่า?”
ลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ตามประจบด้านหลังมาหลายวัน “…”
เชลยอ้วน? องค์ชายสิบเปลี่ยนชื่อเล่นแล้วอย่างนั้นหรือ?
อาชิงจึงนึกออกทันที “อ้อ เจ้าเองหรือ ขอโทษที หน้าเจ้าจำยากมาก”
เซี่ยห่วงใบหน้าบึ้งตึง แต่ไม่นานก็จางหายไป “เหตุใดพวกเจ้าถึงมาเมืองหลวงได้? พาเมี้ยวเมี้ยวมาด้วยหรือไม่?”
“เปล่า เมี้ยวเมี้ยวต้องเฝ้าบ้าน”
อาอินวิ่งนำอยู่ด้านหน้า เมื่อหันกลับมาก็พบว่าอาชิงไม่ได้ตามมาด้วย แต่กลับบังเอิญเห็นองค์ชายสิบเข้าพอดี
“เอ๊ะ เจ้าอ้วน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
“บังอาจ! กล้าเสียมารยาทกับองค์ชายสิบอย่างนั้นหรือ!” ญาติผู้พี่ของเซี่ยห่วงจ้องอาอินพลางตะคอกออกมา
เรื่องที่อาอินอารมณ์รุนแรงนั้นเซี่ยห่วงรู้ดี เพื่อหัวของญาติผู้พี่ เซี่ยห่วงจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “ไม่เป็นไร พวกเราล้วนเป็นสหายกัน พวกเจ้ามาเมืองหลวงต้องมีที่สนุกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไปกระมัง ข้าพาพวกเจ้าไปเที่ยวเป็นอย่างไร?”
อาอินกับอาชิงสบตากันเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปทางท่านอาเสี่ยวลิ่วจื่อที่เดินตามมาทางด้านหลัง
“ท่านอาเสี่ยวลิ่วจื่อ” อาอินวิ่งไปจูงเสี่ยวลิ่วจื่อไปข้าง ๆ “นั่นคือองค์ชายสิบที่อยู่ในวัง ลูกชายคนที่สองของซูเฟย พวกเราสามารถตามเขาไปเที่ยวได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เสี่ยวลิ่วจื่อคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กสองคนนี้จะรู้จักกับองค์ชายสิบด้วย
“องค์ชายสิบมีนิสัยเป็นเช่นไร?”
“เป็นคนโง่ ๆ แต่ไม่ได้เป็นคนไม่ดีเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้ากับท่านอาอู๋ของเจ้าจะคอยตามเอง”
“ได้เจ้าค่ะ หากมีปัญหาอะไรล่ะก็ ข้าจะชกเขาหนึ่งยกก่อน”
อาอินแจ้งผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้วจึงได้กลับมา “ไปเที่ยวที่ใด พวกเรายังมีสหายมาด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง”
องค์ชายสิบได้ยินดังนั้นก็มองไปทางเด็กที่เดินเข้ามากลุ่มนั้น หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงด่าไปนานแล้ว คนพิการเป็นเสนียดตาของเขา ลงโทษสถานหนักก็สมควรแล้ว แต่หลังจากที่เขาผ่านประสบการณ์ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินมา ก็ได้รู้ว่าองค์ชายสิบอย่างเขาหาใช่คนสำคัญอะไรไม่
ดังนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่เป็นธรรมชาติออกมา “ได้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูละครหุ่นเชิดเป็นอย่างไร สนุกมากเลยนะ”
เหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ถูกรังเกียจเมื่อครู่ เหตุใดท่านถึงมีสองหน้าเช่นนี้เล่า?
อย่างไรเสียอาอินก็ไม่เคยดูละครหุ่นเชิดมาก่อน อีกทั้งเด็กบางคนก็แข้งขาไม่สะดวก ไปดูละครจึงกำลังดี
“ไปเถอะ”
เซี่ยห่วงหันไปพูดกับคนที่แนะนำเมื่อครู่ “ได้ยินหรือไม่ รีบนำทางสิ”
ความรังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกลูกหลานตระกูลใหญ่ ทว่าพวกเขาก็ยังคงยิ้มประจบออกมา และอาศัยตอนที่พวกอาอินไม่ได้สนใจพูดเบา ๆ ขึ้นมา “องค์ชายสิบ สองคนนี้เอาแต่ชี้นิ้วสั่งท่าน ไม่ทราบว่าเป็นกฎระเบียบของตระกูลใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
อาชิงอายุยังไม่มากพอที่จะเป็นสหายร่วมศึกษา ส่วนอาอินก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
แต่คนที่เติบโตมาในตระกูลใหญ่ล้วนเป็นคนที่ไม่ธรรมดา สืบให้ชัดเจนก็ไม่มีอะไรเสียหาย
.
.
.